วัยเด็ก ตอนที่ 1
ชีวิตของฉันมันไม่มีความหมายอะไรเลย
กี่ครั้งแล้วนะที่เอาแต่สาปแช่งชีวิตที่ราวกับสวะแบบนี้
เข้าร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในฐานะบัณฑิตจบใหม่ หนึ่งปีหลังจากเข้าร่วมงานกับบริษัทก็แต่งงานกับแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และมีลูกด้วยกัน
ถึงตรงนั้นก็พูดได้ว่าชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่นละ
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ฟันเฟืองแห่งชีวิตนั้นยุ่งเหยิงมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกยุติธรรมอันงี่เง่าของตัวเองเท่านั้น
จากเหตุการณ์ที่บังเอิญไปพบเข้ากับการทุจริตของหัวหน้า
ตัวเองที่เกลียดการคดโกงจึงรีบเข้าไปตำหนิหัวหน้าคนนั้นในทันที
ทว่า พอมาคิดดูตอนนี้แล้วก็คงจะหัวเราะเยาะตัวเองที่เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นมีความดีงามเป็นพื้นฐาน
ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความดีงาม
ทว่า ของแบบนั้นมันไม่ใช่อะไรนอกจากภาพลวงตา
แก่นแท้ของมนุษย์นั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับความชั่วร้าย
นั่นคือสิ่งที่หากเป็นตอนนี้เข้าใจดี
คงพูดได้ว่าเป็นไปตามที่คาดล่ะมั้ง หัวหน้าคนนั้นหัวเราะเล็กน้อยโดยไม่มีท่าทีขุ่นเคืองอะไร ทำเพียงแค่ตอบกลับโดยเย้ยหยันฉัน
ฉันรู้สึกโกรธกับเรื่องนั้นดังนั้นจึงพยายามค้นหาหลักฐานการฉ้อโกงของหัวหน้าและรายงานให้ผู้บริหารระดับสูงทราบ
ฉันไม่สามารถให้อภัยต่อความไร้เหตุผลที่ผู้กระทำความผิดใช้อำนาจบาตรใหญ่กับตัวเองได้
จากนั้นก็พบเข้ากับหลายๆเรื่อง หัวหน้าคนนั้นไม่ใช่แค่ฉ้อโกงเล็กๆน้อยๆที่ไม่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรม แต่ยังยักยอกเงินบริษัทด้วย
ทว่า พอมาคิดดูตอนนี้แล้วฉันไม่ได้เก่งเรื่องการสืบสวนเลย เพราะการที่หาหลักฐานการฉ้อโกงได้อย่างง่ายดายถึงขนาดนี้ด้วยตัวเองที่เป็นคนธรรมดาแค่คนเดียวมันแปลกอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้น ฉันนำหลักฐานที่รวบรวมมาทั้งหมดยื่นเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
ผู้บริหารระดับสูงหลังจากรับฟังสิ่งที่ฉันพูดอย่างจริงจัง ก็พยักหน้าบอกว่าปล่อยให้ฉันจัดการเอง แล้วนำข้อมูลทั้งหมดติดตัวไปด้วย
ฉันคิดจริงๆว่าเรื่องมันจะจบลงแค่นั้น
คงจะกำลังหลงมัวเมากับความยุติธรรมอันงี่เง่าที่ว่าเพียงเท่านี้ความชั่วร้ายหนึ่งอย่างก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้วล่ะมั้ง
ทว่า ฉันในเวลานี้คงจะเป็นคนโง่ที่ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
ทำไมฉันถึงส่งให้โดยไม่ก็อปปี้ข้อมูลเอาไว้เลยนะ
ทำไมถึงไม่ส่งให้หลายๆคนแทนที่จะเป็นแค่คนเดียวกันนะ
ทำไมไม่มีมาตรการรับมืออย่างอื่นเลยโดยแสดงให้คนภายนอกรับรู้เลยนะ
ทำไมในตอนนั้นถึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนแค่คนเดียวกันนะ
แค่ฟันเฟืองผิดพลาดไปชิ้นเดียว แค่ชิ้นเดียวฉันก็……
ฉันคิดว่าในโลกนี้มีแต่คนดีๆหากแค่แสดงหลักฐานค้อนเหล็กแห่งความยุติธรรมก็จะร่วงหล่นใส่หัวหน้าคนนั้นอย่างแท้จริง
คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าคนเลวเป็นเพียงตัวตนที่ดำรงอยู่แค่อีกฝากหนึ่งของจอทีวีซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเท่านั้น
คิดถึงสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกับตัวเอง ราวกับเป็นเรื่องของคนอื่นเช่นนั้น
แต่ทว่าโลกนี้พวกคนเลวนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ฉันไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นเลย
พอไปที่บริษัทในวันถัดมา ก็ถูกประธานเรียกพบทันที
พอมุ่งไปยังห้องประธานโดยคิดว่าจะได้ฟังเกี่ยวกับคดีของหัวหน้าคนนั้น แต่เสียงแรกที่ได้ยินเมื่อเข้าไปในห้องนั้นกลับเป็นเสียงตะโกนว่า แกเอาเงินห้าร้อยล้านที่ยักยอกไปไว้ที่ไหน!
ในขณะที่สับสนไม่รู้เรื่องอะไรเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนท้ายที่สุดก็บอกว่า ฉันจะฟ้องแก! รีบออกไปเดี๋ยวนะซะ!
ถึงตรงนั้นในขณะที่รู้สึกสับสน ถึงฉันจะแก้ต่างว่าไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครฟังและบอกมาว่ามีหลักฐานหมดแล้ว
ถึงจะมองไปยังผู้บริหารระดับสูงที่อยู่ตรงนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ทำเพียงแค่นิ่งเงียบแสดงสีหน้าอึมครึมราวกับว่าตัวเองดูแลได้ไม่ดีพอ
ฉันไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรจึงพยายามแก้ตัว แต่ก็ถูกไล่กลับโดยไม่ให้ใครเข้ามาข้องเกี่ยวและบอกว่า ที่เหลือไปเจอกันในชั้นศาล!
ถึงจุดนั้นโชคชะตาของฉันคงจะถูกตัดสินแล้ว
เพราะไม่สามารถซ่อนสถานการณ์แบบนี้จากภรรยาได้ หลังจากกลับถึงบ้านก็อธิบายเรื่องราวด้วยคำพูดตะกุกตะกัก
ภรรยารับฟังคำอธิบายที่ไม่ปะติดปะต่อ ราวกับตื่นตระหนก ราวกับเร่งรีบของฉันจนถึงท้ายที่สุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ภรรยาที่ได้ฟังเรื่องนั้นไม่ได้โกรธหรือเยาะเย้ยฉันแต่กลับช่วยให้กำลังใจแทน
「ถ้ามีหลักฐานชัดเจนละก็ไม่เป็นไรหรอก! ต้องพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ทำอยู่แล้วค่ะ!」
เพียงแค่นั้นหัวใจของฉันที่วิตกกังวลก็รู้สึกเหมือนสดใสขึ้นเล็กน้อย
แต่ว่าคงเพราะความรู้สึกผิด หรือไม่ก็เพียงแค่ศักดิ์ศรีอันงี่เง่า จึงไม่ได้บอกกับภรรยาถึงการกระทำอันโง่เขลาที่ว่าได้มอบหลักฐานทั้งหมดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่าการกระทำนั้นกำลังทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากแม้แต่ฉันที่โง่เขลาก็สามารถเข้าใจได้
แม้จะได้ยินคำพร่ำบอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
หลังจากนั้นพอผ่านเรื่องราวมากมายวันพิจารณาคดีก็มาถึง
ผลคือมีความผิด
ตามปกติจะมีการยื่นอุทรณ์ แต่ถูกปัดตกเนื่องจากมีหลักฐานแน่นหนา
หลังจากนั้นก็ถูกรับรู้จากสาธารณะว่าเป็นอาชญากร และถูกบอกว่าให้ส่งคืนเงินที่ยักยอกมาทั้งที่ไม่ได้ทำ
แม้จะคิดว่าไม่อยากสร้างความเดือนร้อนให้ภรรยาและลูกไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจพูดคุยเรื่องเลิกลากัน แต่ถึงอย่างนั้นภรรยาก็ยังพูดทั้งน้ำตาว่าหลังจากนี้เองก็จะยังสนับสนุนต่อไป
นั่นคือคำพูดอันอบอุ่นที่ช่วยเติมเต็มหัวใจมากกว่าสิ่งอื่นใด สำหรับฉันที่กำลังจมดิ่งไปกับความสิ้นหวัง
กับฉันที่เป็นคนโง่แบบนี้ก็ยังจะติดตามอยู่อีกงั้นหรือ
ทว่า ถึงอย่างนั้นก็พยายามโน้มน้าวและหย่ากัน
ความรู้สึกคำนึงถึงภรรยานั้นเป็นของจริง เพราะคิดดูแล้วตัวเองไม่น่าจะอดทนได้มากกว่านี้แล้ว
มันราวกับว่ากำลังถูกกดทับท่ามกลางช่องว่างระหว่างความสิ้นหวังต่อชีวิตและความรู้สึกผิดต่อภรรยา
ไม่เพียงแค่นั้นตัวฉันยังรู้สึกเหมือนกำลังพังทลายลงเรื่อยๆ
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นอย่างน้อยก็อยากให้ภรรยาและลูกที่ยังเด็กจดจำตัวเองในสภาพที่ยังเป็นปกติอยู่
ถ้าหากกลายเป็นว่าเกือบจะถึงขั้นลงไม่ลงมือกับทั้งสองคนละก็ ฉันคงจะไม่ใช่ฉันอีกต่อไป
มีแค่เรื่องนั้นที่ไม่ได้
เพราะงั้นแหละถึงแยกทางกันในขณะที่ยังมีเหตุผลอยู่
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่ว่ามาเรื่องนั้นก็คงจะเป็นการหลบหนีของฉันด้วย
หลังจากนั้นเพราะตัวเองที่มีประวัติอาชญากรรมจึงไม่มีใครจ้างงานเลยทำงานหาค่าครองชีพด้วยงานพาร์ทไทม์รายวันในฐานะฟรีเตอร์
สิบปีหลังจากนั้น พอกำลังนอนอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะจู่ๆก็มีคนมาคุยด้วย
นั่นคืออดีตหัวหน้าที่เคยฉ้อโกงคนนั้น
อดีตหัวหน้าคนนั้นพูดถึงช่วงเวลานั้นและมองมาทางนี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม
พูดอย่างภาคภูมิใจว่าเงินที่ยักยอกนั้นผู้บริหารระดับสูงเองก็สมรู้ร่วมคิดด้วย อีกฝ่ายที่ส่งหลักฐานให้มันผิดพลาดตั้งแต่แรกแล้ว
ประธานมันโง่ไม่สงสัยและคิดว่าผู้บริหารระดับสูงเป็นครอบครัว
คำพูดของผู้บริหารระดับสูงกับพนักงานธรรมดาที่ทำงานกับบริษัทมาไม่กี่ปี เชื่อผู้บริหารระดับสูงโดยไม่ถึงขนาดต้องเปรียบเทียบ
และเงินห้าร้อยล้านนั้นก็เป็นเงินที่หัวหน้าและผู้บริหารระดับสูงยักยอกไป
และฉันที่เข้าทำงานแล้วประสบความสำเร็จมันเกินหน้าเกินตา ไม่มีความยืดหยุ่นไร้ช่องว่างดังนั้นจึงอยากจะกำจัดทิ้งก่อนที่จะเข้าตาประธาน
เนื่องจากในเวลาแบบนั้นมีโอกาสใส่พานมาเสิร์ฟถึงที่ถึงวางแผนโยนทุกอย่างมาให้ฉัน
เพราะหลักฐานทั้งหมดเองก็อยู่ในมือพวกตัวเองการปลอมแปลงจึงเป็นเรื่องง่าย
ฉันที่ได้ยินเรื่องนั้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยก็โกรธและเข้าคว้าตัว
จากนั้นก็เกิดการทะเลาะกันแล้วถูกผลักกระเด็น
แต่ว่าต้องพูดว่าโชคร้ายล่ะมั้ง ในระหว่างที่ทะเลาะกันพอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงทางเข้าสวนสวนสาธารณะแล้ว และทิศทางที่ถูกผลักกระเด็นไปคือถนน
ที่ตรงนั้นมีรถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็วซึ่งหยุดไม่ได้แล้วพุ่งมาทางฉัน
ภาพนั้นราวกับสโลโมชั่น
พอมองหน้าอดีตหัวหน้าเขาก็ทำหน้าซีด
เอ้ามองดูเซ่ ฉันหัวเราะขึ้นจมูก
หลังจากนี้แกเองก็เป็นอาชญกรเหมือนกัน
และฉันได้เรียนรู้ด้วยชีวิตนี้แล้ว
อย่างความรู้สึกยุติธรรมอันบอบบางน่ะผู้ที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจไม่ได้รับอนุญาตให้กล่าวถึง
และสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมนั้นมันเป็นของไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
ในโลกนี้คนที่เชื่อใจได้มีแค่ตัวเอง ผู้ที่ไม่มีสถานะ พลังที่จะผลักดันความคิดของตัวเองจะไม่สามารถทำอะไรได้
และแล้วฉันก็ถูกรถชน
เข้าใจได้ในทันทีว่าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
และถ้าหากมีครั้งต่อไปละก็จะไม่ผิดพลาดอีกเด็ดขาด ฉันสลักคำสาบานลงในจิตวิญญาณขณะกรีดร้องราวกับร้องไห้อย่างไร้เสียง แล้วชีวิตอันโง่เขลาของฉันก็ได้จบลง——