My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 113 ข่าวร้ายธรรมดา ข่าวร้ายพิเศษ ข่าวร้ายพิเศษใส่ไข่

My Death Flags Show No Sign of Ending

ขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินอย่างรีบเร่ง เอลล์พยายามห้ามตัวเองอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ตนเผลอวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไปถึงจุดหมายให้เร็วขึ้น ไม่ใช่ว่าเธออายที่จะเปิดเผยกริยาที่ไม่สุภาพอย่างการวิ่งบนทางเดินออกมา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสงบสติอารมณ์ของเธอเอาไว้

เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ที่เธอกำลังเผชิญอยู่นั้นเข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้นจึงต้องพยายามมองภาพรวมในมุมกว้าง และตัดสินใจในเรื่องต่างๆอย่างมีสติเพื่อฟันฝ่ามันไปให้ได้

 

 

( แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ไม่มีความคิดอะไรดีๆในหัวเลยซักนิด ) – เอลล์

 

 

ท้านที่สุด เอลล์ก็ไม่มีความคิดดีๆอะไรที่สามารถใช้มันเป็นทางออกของปัญหา ณ ตอนนี้ได้ และสุดท้ายเธอก็มาจบลงที่หน้าห้องๆหนึ่ง เธอหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องซักพักเพื่อสงบสติอารมณ์และหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับเปลี่ยนลมหายใจให้เข้าที่

เธอพยายามที่จะปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนดั่งปกติเพื่อไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกของเธอหลุดรอดออกมา และเคาะไปยังที่ประ——-

 

[ จะยืนอยู่ที่หน้าห้องไปถึงเมื่อไหร่ ? ] – ฮาโรลดฺ

[ อุว้าาา ! ] – เอลล์

 

เอลล์เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอดีดตัวกลับหลังไปตามเสียงเรียกนั้น

เพราะนั้นคือคนที่เอลล์ต้องการจะมาคุยด้วย

หรือก็คือ ฮาโรลด์ เขายืนอยู่ตรงนั้น เขากำลังมองมาที่เอลล์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

[ นะ-นายดูแข็งแรงดีนะ ] – เอลล์

[ ชั้นหลับไป 5 วันและเธอกลับมาบอกว่าชั้นแข็งแรงดีเนี้ยนะ ? อะไร ? ประชดกันรึไง ? ] – ฮาโรลด์

[ ปะ-ปล่าวๆ! ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้คิดที่จะฆ่าตัวตายโดยการยั่วยุนายแบบนั้น ] – เอลล์

 

แม้ว่าเอลล์จะไม่ได้คิดว่าฮาโรลด์เป็นคนที่อันตรายถึงขนาดนั้น แต่เธอก็เข้าใจดีว่าฮาโรลด์นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แม้ว่าสำหรับเธอ ฮาโรลด์จะเป็นคนที่มีเหตุผลมากคนหนึ่ง แต่ถ้าเธอบังเอิญไปจี้จุดต่อมความโกรธของเขาเข้า มันอาจทำให้เธอกลายเป็นเครื่องสังเวยในการรองรับความโกรธของเขา บางทีเธอคงต้องบอกลาชีวิตของตัวเองแล้วล่ะ แม้ว่าเอลล์จะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองเพื่อความปรารถนาอันสูงสุดของตระกูล แต่จะให้เอาชีวิตมาทิ้งกับเรื่องโง่ๆแบบนี้ก็ไม่เอาด้วยหรอก

 

[ หืมม ..  เธอมาหาชั้นที่นี้คงมีเรื่องที่อยากจะคุยด้วยสินะ ? งั้นก็เข้าไปด้านในได้แล้ว ] – ฮาโรลด์

[ ฉันก็หวังเอาไว้ว่านายจะไม่ว่าอะไร แต่ฉันมีหลายๆสิ่งที่จำเป็นจะต้องรายงานโดยด่วน ] – เอลล์

 

“แม้ว่าหลายๆสิ่งที่รายงานจะยิ่งทำให้นายป่วยหนักกว่าเดิมก็เถอะ” ประโยคนี้เธอพูดแค่ในใจของเธอคนเดียว

ภายในห้องแห่งนี้มีเพียง เตียง โต๊ะ พรม เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่จะใช้ในการหาลือเรื่องต่างๆต่อจากนี้

และแน่นอนว่าการพูดคุยต่องจากนี้คงจะไม่ผ่านไปด้วยบรรยากาศสบายๆได้

อันที่จริง จะมาคาดหวังรอยยิ้มหรือบรรยากาศที่สบายๆจากชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอคงไม่ถูกเท่าไหร่นัก เพราะทั้งหมดที่เอลล์เคยเห็นจากเขามีเพียงคำดูถูกและเหยียดหยามเพียงเท่านั้น

 

[ งั้น ก่อนที่จะรายงาน นายอยากจะฟังเรื่องไหนก่อน? ฉันมีข่าวร้ายเล็กๆ ข่าวร้ายทั่วๆไป และก็ข่าวร้ายมากๆ ] – เอลล์ 

[ เธอไม่มีข่าวดีบ้างรึไง ? ไม่ใช่ว่าเธอฝีมือตกหรอ ? ] – ฮาโรลด์

[ ความสามารถของนักค้าข้อมูลไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นจะดีหรือร้าย แต่ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของข้อมูลต่างหากล่ะ ] – เอลล์

 

ฮาโรลด์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ 

เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะบ่นอะไรออกมาอีก แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นั้นเพราะเขาพึ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากสลบไป 5 วันเต็ม ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมาพอที่จะเคลื่อนไหวได้บ้าง แต่ต้องมาเผชิญก็เรื่องที่ทำให้กระทบต่อสภาพจิตใจของเขาทันที

ถึงกระนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฮาโรลด์ต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นเอลล์แต่อย่างใด

 

[ ก่อนที่เราจะเริ่ม ฉันอยากจะแจ้งเรื่องหนึ่งให้นายทราบ ไลเนอร์และคนอื่นๆไม่ได้ถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกคฤหาสน์ของแฮร์ริสัน ] – เอลล์

 

แม้ว่าเจ้าพวกนั้นจะอาละวาดกันค่อนข้างเละเทะ แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็มีเหตุผลที่ถูกต้องรองรับ นั้นคือทวงคือสมบัติที่ตนถูกขโมยไป ถึงกระนั้น หากเหตุการณ์บานปลาย พวกเขาก็ยังมีนามสกุล สุเมรากิ ของเอริกะ และนามสกุล อาร์คไรด์ ของฟรานซิส ซึ่งป็น 2 ไพ่ใหญ่ในมืออยู่

สุดท้ายแล้วผู้ที่ถูกกระทำก็เป็นคนของกองทัพ ไม่ใช่หน่วยอัศวิน และกลุ่มของไลเนอร์ก็ไม่ได้ถูกสอบสวนหรือจับกุมใดๆ และจากที่เธอได้ฟังมาจากฮาโรลด์ ถ้าผลของเหตุการณ์ทำให้ความผิดของแฮร์ริสันแดงออกมาก็ถือว่าแผนการดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี

 

[ แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ค่อยกังวลเรื่องที่ฉันเล่าไปเมื่อซักครู่เท่าไหร่นะ ] – เอลล์

 

ฮาโรลด์นั้นรู้อยู่แล้วถึงความเป็นไปได้ที่กลุ่มของไลเนอร์จะบุกไปยังคฤหาสน์ของแฮร์ริสัน ถึงกระนั้น เขาก็ไม่เคยพูดถึงผลลัพธ์ของมันออกมาชัดๆเลยซักครั้ง บางทีคงจะเป็นเพราะความสามารถในการคาดเดาหรือการมองเห็นอนาคตของเขา ทำให้เขารู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรในท้ายที่สุด

คำสั่งเดียวที่เอลล์ได้รับจากเขาคือหลังจากการบุกโจมตีของกลุ่มไลเนอร์จบลงแล้ว ให้เข้าไปยึดอาวุธที่แฮร์ริสันรวบรวมมา มันเป็นงานที่ค่อนข้างยาก เอลล์จึงพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อใช้เป็นไพ่ตายกับแฮร์ริสันและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเธอก็สามารถผ่านมันมาได้ด้วยดี

 

( ฉันล่ะอยากรู้จริงๆว่าเขามองเห็นอนาคตได้ไกลขนาดไหน เขารู้จริงๆรึปล่าวว่าเหตุการณ์มันจะกลายมาเป็นเช่นนี้ … ) – เอลล์

 

อันที่จริง ฮาโรลด์ไม่ควรที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้เลยซักนิด แต่เพราะว่ากลุ่มของไลเนอร์ดำเนินเหตุการณ์มาถึงจุดนี้เร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งตัวของเอลล์เองก็ไม่รู้เลยว่ามีเหตุการณ์ไหนบ้างที่ฮาโรลด์หวังให้มันลงเอยเช่นนั้น หรือมีเหตุการณ์ไหนที่ไม่เป็นไปตามแผนกันแน่

 

[ พวกเราสามารถนำอาวุธที่เหลือออกมาจากคฤหาสน์ได้สำเร็จ ที่เหลือก็แค่ให้นายนำมันไปมอบให้กับคนที่เหลือในกลุ่มตามเวลาที่กำหนด … นั้นคือแผนของนายใช่รึปล่าว ? แล้วจะให้นำอาวุธพวกนี้ไปส่งมอบเมื่อไหร่ล่ะ ? ] – เอลล์

[ ดำเนินแผนตามเดิม แต่ชั้นไม่เคยพูดว่าชั้นจะเป็นคนนำอาวุธเหล่านี้ไปมอบให้ด้วยตัวเองซักหน่อย ] – ฮาโรลด์

[ เลือกใช้คำพูดได้ดีจริงนะ ] – เอลล์

 

จริงๆการส่งมอบอาวุธมันคงจะราบลื่นกว่านี้หากความไว้วางใจกันที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างฮาโรลด์กับกลุ่มของไลเนอร์ไม่ถูกทำลายลงจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อน แต่ยังดีที่ในกลุ่มมีลีฟา ผู้ซึ่งรู้ถึงสถานการณ์โดยรอบของฮาโรลด์เป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มของไลเนอร์ไม่อาจเป็นศัตรูกับฮาโรลด์ได้อย่างเต็มที่ แต่ไลเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม คงไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปได้ และอาจทำให้ความคิดภายในกลุ่มเกิดการไม่ลงรอยกัน

บางที นี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ฮาโรลด์ไม่ต้องการเท่าไหร่นัก

 

[ ไม่ว่าชั้นหรือเธอจะเป็นคนที่ต้องไปส่งมอบ ผัลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกัน ] – ฮาโรลด์

[ ฉันก็หวังว่านายจะถูกนะสำหรับเรื่องนี้ … ไงก็เถอะ ฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่จะต้องเข้าหัวข้อหลักแล้ว งั้นฉันขอเริ่มต้นข่าวร้ายเล็กๆน้อยๆก่อน ซึ่งมันเกี่ยวกับกลุ่มของไลเนอร์ ] – เอลล์

 

สายตาทีที่ทิ้มแทงมาจากฮาโรลด์ราวกับพยายามกดดันให้เอลล์พูดต่อโดยเร็ว

 

[ นายเคยบอกเอาไว้ว่ามีความเสี่ยงที่จะมีฝูงมอนเตอร์จำนวนมากบุกถล่มเมืองทราวิส และตอนนั้นนายยังบอกเอาไว้ว่า กลุ่มของไลเนอร์และเหล่าอัศวินจะเป็นผู้ที่จัดการเรื่องนี้ แต่ … จากแหล่งข่าวที่ฉันได้มา เกรงว่าพวกเขาอาจจะมีเวลาไม่พอสำหรับเรื่องนั้น ] – เอลล์

[ หมายความว่าไง ? ] – ฮาโรลด์

[ พวกมอนเตอร์ต่างคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากพวกมันคงเริ่มต้นบุกโจมตีไปแล้วตอนนี้ ] – เอลล์

 

จากข้อมูลที่ได้รับมาจากฮาโรลด์ ทำให้เอลล์สามารถเดาได้คร่าวๆว่าเหล่ามอนเตอร์จะบุกมาจากทิศทางไหน หลังจากนั้นเธอก็ระดมกำลังคนจากทั้งกิฟเฟลต์ และกลุ่มฟรีรี่เพื่อค้นหาฝูงมอนเตอร์ที่ว่าและพบพวกมันตั้งแต่เมื่อ 10 วันก่อน

สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนสุเมรากิ แต่ต่างกันที่เหล่ามอนเตอร์ยังไม่ถูกตรวจพบ

ซึ่งสถานที่นั้นคือซากปรักหักพังขนาดใหญ่ที่ถูกทางอาณาจักรสั่งห้ามไม่ให้มีการสำรวจ เนื่องจากที่นั้นมีมอนเตอร์ระดับสูงมากมายอาละวาดกันอยู่ภายใน ซึ่งสมาชิกคนหนึ่งจากกลุ่มฟรีรี่ได้เสี่ยงตายฝ่าแนวลาดตะเวณของเหล่าอัศวินเพื่อเข้าไปตรวจสอบภายใน และได้เห็นกับตาตัวเอง ซึ่งแทบไม่เชื่อสายตา เขาบอกว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือมอนเตอร์นับหมื่นได้รวมตัวกันอยู่ภายในนั้น

 

[ ถ้าเช่นนั้น กลุ่มของไลเนอร์จำเป็นที่จะต้องไปถึงทราวิสให้ไวขึ้น แล้วทางฝั่งอัศวินล่ะเป็นยังไงบ้าง ? ] – ฮาโรลด์

[ ดูเหมือนว่าเหล่าอัศวินจะจริงจังกับสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาเตรียมทั้งเรือสำหรับอพยพไว้หลายลำและแบ่งกำลังพลบางส่วนเพื่อเตรียมอพยพชาวเมืองหากเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ] – เอลล์

[ … แสดงว่าความสงสัยของกองอัศวินที่มีต่อยูสทัสได้รับการยืนยันแล้ว ? ] – ฮาโรลด์ 

[ ฉันเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีรายงานมาว่าเหล่าอัศวินได้บุกเข้าไปยังให้ทำงานของยูสทัส แต่กลับพบว่าสถานที่แห่งนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า ] – เอลล์

 

ฝูงมอนเตอร์เริ่มเคลื่อนไหวทันทีที่ยูสทัสหายตัวไป แม้ว่าหน่วยอัศวินยังไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ต่างๆได้ แต่พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

 

[ ชั้นไม่คิดไอ้หมอนั้นจะเป็นพวกที่ทิ้งหลักฐานไว้หรอกนะ ] – ฮาโรลด์

[ พวกข้อมูลสำคัญๆที่ถูกบันทึกหรืออะไรก็ตามคงถูกทำลายไปหมดก็จริงอยู่ แต่อย่างห้องแล็บหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่องานวิจัยอื่นๆคงไม่สามารถทำลายมันได้หรอกนะ ] – เอลล์

 

แน่นอนว่าการทดลองกับมนุษย์จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ชนิดพิเศษเพื่อใช้สำหรับการทดลอง ซึ่งต่อให้ยูสทัสระเบิดห้องทดลองทิ้ง ยังไงก็ต้องหลงเหลือหลักฐานอยู่บ้าง

ที่สำคัญกว่านั้น การที่ยูสทัสปล่อยให้พวกอัศวินเข้าแทรกแซงแผนการของเขาได้ก็แสดงว่าแผนการของเขาคืบหน้าไปไกลเกินว่าจะมาสนใจเรื่องของพวกอัศวินอีกต่อไปแล้ว

 

[ …. หลายๆสิ่งก็ตามที่คาดเอาไว้ ดังนั้น แค่นี้คงไม่นับว่าเป็นข่าวร้ายเท่าไหร่หรอก ] – ฮาโรลด์

[ ฮืมม งั้นฉันขอข้ามไปหัวข้อต่อไปละกัน พวกเราได้ตรวจพบฝูงของมอนเตอร์ขนาดใหญ่อีกกลุ่ม ]

 

แม้ฮาโรลด์ผู้ที่แทบไม่แสดงอาการใดๆ ยังแข็งทื่อไปทันทีที่ได้ยินข้อมูลล่าสุด

ซึ่งเอลล์เองก็คาดไม่ถึงว่าฮาโรลด์จะสามารถแสดงปฎิกิริยาเช่นนี้ออกมาได้ นี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นอนาคตของฮาโรลด์นั้นไม่สมบูรณ์แบบ 

 

[ …. นี่ใช่ “ข่าวร้ายมากๆ” ที่เธอพูดถึงก่อนหน้ารึปล่าว ? ] – ฮาโรลด์

 

หลังจากเงียบไปซักพัก ฮาโรลด์ก็ถามขึ้น

ซึ่งเอลล์ก็ตอบสวนกลับมาในทันที

 

[ น่าเสียดาย นั้นเป็นเพียงข่าวร้ายทั่วๆไป ] – เอลล์

[ ชิ ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์เดาะลิ้นออกมาอย่างไม่พอใจและเริ่มใช้ความคิด เขาเป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่าสถานการณ์จะสิ้นหวังขนาดไหน เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดคิด 

หลังจากนั้นไม่นาน ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในใจ เขาก็เริ่มถามข้อมูลอื่นๆที่เขาต้องการ

 

[ จำนวนของพวกมัน ? ] – ฮาโรลด์

[ หากตัดสินด้วยสายตา น่าจะราวๆ 5000 ตัว ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มที่มุ่งตรงไปยังเมืองทราวิส ] – เอลล์

 

แม้ว่าจำนวนจะต่ำกว่าที่บุกไปยังทราวิส แต่จำนวนขนาดนี้ก็ไม่สามารถที่จะมองข้ามได้เช่นกัน พูดตามตรง มันหนักเอาการอยู่ และถ้าหากไม่สามารถหามาตรการมารองรับได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพวกมัน คงบอกได้ว่ามหาศาล

ฝูงมอนเตอร์ 2 กลุ่ม บุกโจมตีสถานที่ที่แตกต่างกัน แต่ว่าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ว่า 2 เหตุการณ์นี้จะไม่เกี่ยวข้องกัน

 

[ ฉันได้ใช้ชื่อของนายในการส่งข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กลุ่มอัศวินทราบเรื่องแล้ว แต่เพราะสถานการณ์ที่ทราวิสก็ค่อนข้างวิกฤติ ฉันจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถจัดสรรกำลังพลมาช่วยได้หรอก ] – เอลล์

[ ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร ] – ฮาโรลด์

[ นายพูดถูก เอาล่ะ เรามาพูดเกี่ยวกับข่าวร้ายมากๆกันดีกว่า ] – เอลล์

 

ขณะที่กล่าวออกมาเช่นนั้น เอลล์ก็หยิบม้วนแผนที่ 2 อันออกมาจากกระเป๋าของเขา แผนแรกเป็นแผนที่สำหรับทั้งอาณาจักร และอีกแผ่น เป็นแผนที่ของเมืองๆหนึ่ง

ซึ่ง เอลล์ได้กงแผนที่ของทั้งอาณาจักรลงบนโต๊ะเสียก่อน

 

[ พวกเราตรวจพบว่ามอนเตอร์กลุ่มที่ 2 ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองที่ชื่อ บาร์สตัน ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักร ] – เอลล์

 

เอลล์เริ่มต้นอธิบายพร้อมกันลากนิ้วไปบนแผนที่

เมืองบาร์สตันเป็นเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปในธรรมชาติยิ่งเสียกว่าเมือง แอสติส ที่ฮาโรลด์ได้พบกับลีฟาครั้งแรกเสียอีก ตามบันทึกล่าสุด มีผู้คนอาศัยอยู่ที่เมืองนั้น ราว 3000 คน แม้จะเป็นข้อมูลเมื่อหลายปีก่อน แต่ตัวเลขคงคาดเคลื่อนไม่มากเท่าไหร่นัก

 

[ จากที่นายสามารถดูได้ในแผนที่ เมืองนี้ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของหุบเขา ดังนั้นการอพยพชาวเมืองโดยทางเรือจึงไม่สามารถเป็นไปได้ ] – เอลล์

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันเมืองหรืออพยพชาวเมือง ล้วนเป็นเรื่องยาก วิธีเดียวที่ฟังดูเป็นไปได้ที่สุดคือให้ชาวเมืองอพยพไปตามที่ราบทางตอนใต้ไปยังเมืองแอสติสซึ่งอยู่ห่างจากเมืองบาร์สตันราวๆ 70 กิโลเมตร แม้ว่าเมื่อคำนึงจากระยะทางมันดูจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็มีเพียงตัวเลือกเดียว

 

[ เพราะเรื่องนี้หรอ เธอถึงบอกว่ามันเป็นข่าวร้ายมากๆ ? ] – ฮาโรลด์

[ มันก็ 1 ในเหตุผลทั้งหมด แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก ดูนี่สิ ] – เอลล์

 

เอลล์กางแผนที่แผ่นที่ 2 ออก มันคือแผนที่ของเมืองบาร์สตัน 

 

[ บาร์สตันไม่ใช่เมืองที่ใหญ่โตอะไรนัก ดังนั้นจึงไม่มีสถานที่แห่งไหนเลยที่ฝูงมอนเตอร์จำนวนขนาดนั้นจะไปหลบซ่อนตัวได้ ] – เอลล์

 

 ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วพวกมันไปซ่อนกันที่ไหน ?

และคำตอบนั้น ก็ถูกแสดงอยู่ภายในแผนที่อยู่แล้ว

 

[  ประเด็นคือ เมืองบาร์สตันเคยเป็นเมืองเหมืองแร่ที่เติบโตขึ้นมาจากการค้นพบโลหะหายากเช่นแพตตินัมจนกระทั้งเกิดอุบัติเหตุเหมืองถล่มเมื่อหลายปีก่อน แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เหมืองก็ถูกชาวเมืองขุดกันจนพรุนไปแล้ว ทำให้ภายในเหมืองมีอุโมงค์จำนวนมากมาย และอุโมงค์เหล่านั้นก็ทอดยาวไปทั่วภายใต้เมืองอีกด้วย ] – เอลล์

 

เนื่องจากอุบัติเหตุเหมืองถล่มเมื่อหลายปีก่อน ทำให้รายได้หลักของเมืองสูญเสียไป จึงเป็นสาเหตุที่เมืองบาร์สตันค่อยๆตกต่ำลงเรื่อยๆจนถึงกระทั้งตอนนี้

แต่อุโมงค์เหล่านั้นที่พวกเขาเคยขุดไว้ก็ยังคงอยู่ที่นั้น

 

[ เธอจะบอกว่า มอนเตอร์พวกนั้นซ่อนตัวอยู่ภายในเหมืองหรือไง ? ] – ฮาโรลด์

[ ถูกต้องตามนั้น ถึงตรงนี้ นายคงกำลังคิดว่า “เดี่ยวสิเอลล์ ถ้าพวกมันไปซ่อนตัวในเหมืองจริง แล้วพวกมอนเตอร์ที่มีขนาดใหญ่มันเข้าออกเหมืองได้ยังไงล่ะ” สินะ ? ] – เอลล์

[ หยุดเล่นลิ้น พูดแค่ในสิ่งที่จำเป็นซะ ] – ฮาโรลด์

[ หลังจากเหมืองถูกปิด ดูเหมือนว่าจะมีคนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเหมืองแห่งนี้ มีสัญญาณบ่งบอกว่าอุโมงค์และสิ่งปลูกสร้างภายในได้รับการเปลี่ยนแปลง ถ้าจะพูดให้เจาะจง มีหลุมขนาดใหญ่มหึมาถูกเจาะลึกลงไปภายในใต้ดิน ซึ่งดูเหมือนว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากการทำเหมือง ] – เอลล์

[ พวกมอนเตอร์หลับใหลอยู่ที่นั้นงั้นเหรอ ? ] – ฮาโรลด์

[ ใช่ แต่ที่ยิ่งกว่านั้น จากที่ตรวบสอบบันทึกของการขุดเจาะเหมืองแห่งนี้ พวกเราพบว่ามีหลายๆอุโมงค์ที่ไม่ควรมีอยู่ถูกสร้างขึ้น และอุโมงค์เหล่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์อื่นๆ หรือจะพูดให้ถูก มันน่าจะถูกสร้างเพื่อใช้เป็นทางเดินของพวกมอนเตอร์ขนาดใหญ่เสียมากกว่า ] – เอลล์

 

มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหล่ามอนเตอร์จะมาอยู่รวมตัวกันได้เองตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนสุเมรากิ

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้ถูกสร้างโดยฝีมือมนุษย์เพื่อเป้าหมายบางประการ

 

[ …… มีบางประเด็นที่ชั้นอยากได้คำตอบเพิ่มเติม ] – ฮาโรลด์

[ ฉันจะตอบเท่าที่ฉันสามารถตอบได้ ] – เอลล์

 

ถ้าตามปกติ ฮาโรลด์จะตอบกลับมาราวๆว่า “แค่นี้เรอะ ?” ด้วยน้ำเสียงเสียดสี หรือถ้อยคำประชดประชัน แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ เขากลับเริ่มถามคำถามต่อทันที นั้นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ร้ายแรงขนาดไหนในสายตาของเขา

 

[ เธอบอกว่า มีสัญญาณบ่งบอกว่าอุโมงค์ได้รับการเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? ] – ฮาโรลด์

[ พวเราไม่ทราบรายละเอียดขนาดนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกสักพัก แต่จากการประเมิณด้วยสายตา คาดว่าอุโมงค์เหล่านี้ถูกสร้างมามากว่า 10 ปี แล้ว ] – เอลล์

[ มีหมอกพิษอยู่ภายในรึปล่าว ? หมอกที่เหมือนกับในดินแดนสุเมรากิ ] – ฮาโรลด์

[ มี เกือบทั้งหมดอยู่ภายในหลุ่มขนาดมหึมาที่ถูกขุดขึ้น และบางส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปภายในตัวเหมือง ] – เอลล์

[ หากพวกมอนเตอร์ออกมาจากใต้ดิน พวกมันจะโจมตีเมืองยังไง ? และสถานการณ์จะกินวงกว้างขนาดไหน ? ] – ฮาโรลด์

[ ฉันเองไม่รู้ ถึงจะเป็นที่แน่ชัดว่าพวกมอนเตอร์เหล่านั้นถูกควบคุมอย่างแน่นอน แต่ฉันก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกมันสามารถถูกควบคุมได้พร้อมๆกันมากมายขนาดไหน …. อ่าา ใช่แล้ว จากที่พวกเราตรวจสอบมา พวกเราสามารถยืนยันอุโมงค์ที่พวกมอนเตอร์สามารถใช้เข้าออกได้แล้ว 3 ทาง ฉันเดาว่าพวกมันคงใช้การโจมตีจากทั้ง 3 ทางพร้อมๆกัน ] – เอลล์

 

จากคำกล่าวของเอลล์ นั้นแปลว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน

ถ้าหากเป็น ฮาโรลด์ เขาอาจจะรับมือกับมอนเตอร์ ได้ 500 – 1000 ตัว ด้วยตัวคนเดียว แต่นั้นในกรณีที่มันผุดออกมาจากอุโมงค์เพียงเส้นทางเดียว แต่อีก 2 อุโมงค์ที่เหลือ เขาก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรกับมันได้

ถ้าจะจัดการกับปัญหาเหล่านั้น ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วๆไป รวมถึงอัศวิน อาจจะต้องใช้คนเกือบ 300 คน เพื่อรับมือกับมอนเตอร์จำนวนมากที่แห่กันออกมาจาก อุโมงค์ในแต่ละจุด

และเมื่อพิจารณาจากวิกฤติที่เมืองทราวิสกำลังเผชิญ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถรวบรวมเหล่าอัศวิน หรือนักสู้ฝีมือดีกว่า 600 คน เพื่อไปทำภารกิจที่ 2 ที่เมืองบาร์สตันได้

 

[ …. ต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะอพยพคนทั้งเมืองออกมาได้หมด ? ] – ฮาโรลด์

[ ประมาณ 2 วัน หรืออาจใช้เวลามากกว่านั้นเล็กน้อยถ้าหากเขามีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าที่คาด ] – เอลล์

 

หรือก็คือ ถ้ามอนเตอร์เริ่มเคลื่อนไหวตอนนี้ มันก็สายเกินไปที่จะเริ่มต้นการอพยพแล้ว

 

[ เดี่ยวนะ เมืองแห่งนั้นเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเหมืองแร่ ดังนั้นพวกเขาน่าจะมีวิธีขนส่งทรัพยาการของพวกเขาไปยังเชิงเขาในบางจุดสิ ] – ฮาโรลด์

[ ถูกต้อง มีถนนสายหนึ่งที่พวกเขาเคยใช้มันในการขนส่งสินค้าและทรัพยากรต่างๆ แต่ตอนนี้มันถูกดินถล่มทับไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ] – เอลล์

 

ทั้งๆที่เมืองบาร์สตันตกต่ำลงขนาดนี้ แต่สาเหตุที่ผู้คนภายในเมืองยังไม่ย้ายถิ่นฐาน นั้นเพราะพวกเขายังพาติดต่อค้าขายกับเมืองข้างเคียงๆที่อยู่ใกล้ๆด้วยรถม้าบนถนนสายนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถนนก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะหนุ่มสาวต่างพากันทิ้งถิ่นฐานออกจากเมืองไปเรื่อยๆ

ในทางกลับกัน มีเพียง ผู้คนวัยชราเท่านั้นที่ยังคงไม่ย้ายออกไป อาจเพราะพวกเราผูกพันกับสถานที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่มาเป็นเวลานาน

 

[ … ฮาโรลด์ ? เกิดอะไรขึ้น ? ] – เอลล์

 

ก่อนที่เอลล์จะรู้สึกตัว ฮาโรลด์ก็หยุดครุ่นคิดและคว้าแผนที่ของอาณาจักรมา เขาจ้องดูมันราวกับอยากจะกินมันเข้าไปจนหมด เอลล์คิดว่าบางมีฮาโรลด์คงพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

 

[ เอลล์ จากที่นี่ไปบาร์สตัน หากใช้ม้าหรือรถม้าต้องใช้เวลากี่วัน ? ] – ฮาโรลด์

[ หากขี่ม้าไปคงใช้เวลาซัก 3-4 วัน ถ้าเป็นรถม้า ก็คงราวๆ 7 วัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักสิ่งของที่ขนไปด้วย แต่นั้นเป็นเพียงระยะเวลาไปถึงบริเวณตีนเขาที่เมืองบาร์สตันตั้งอยู่เท่านั้น ถ้ารวมเวลาขึ้นเขาไปยังตัวเมือง คงใช้เวลาบวกเพิ่มไปอีก 1 วันเต็ม ] – เอลล์

[ ถ้างั้น เตรียมม้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งเธอและกลุ่มฟรีรี่จะต้องไปด้วย ] – ฮาโรลด์

[ ตอนนี้เลยเหรอ ? แกล้งกันรึไง ] – เอลล์

[ รวบรวมทุกสิ่งอย่างที่จำเป็น พวกเราจะต้องออกเดินทางเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ] – ฮาโรลด์

[ เข้าใจแล้ว ] – เอลล์

 

ความสามารถในการสั่งการสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วอย่างที่ฮาโรลด์พึ่งจะทำไปนั้นเป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การชมเชย แต่ว่า ไอ้คนที่จะปฎิบัติตามคำสั่งและทำตามทำสั่งได้ทันทีตามที่เขาต้องการแบบนั้นจะไปหาจากไหน เหมือนแกล้งกันชัด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะชะตากรรมของเอลล์เองก็เดิมพันไว้กับฮาโรลด์เช่นเดียวกัน 

 

( เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้ไปเป็นลูกน้องพวกที่ทำอะไรไม่ถูกเวลาปัญหาเกิดขึ้นตรงหน้าล่ะนะ ) – เอลล์

 

เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เอลล์จึงรีบรุดออกไปเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง

แม้ว่าสถานการณ์จะยังคงฉุกเฉิน แต่สีหน้าของเอลล์ก็แสดงออกถึงความโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท