นางไปยั่วยวนเขาตอนไหนกัน นางแค่อยากให้เขาได้ฟังเสียงของลูกๆ ต่างหาก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก นางตระหนักได้ว่านางคงไม่มีวันเข้าใจความคิดอันสูงส่งขององค์ชายได้
”เจ้าเสียใจที่ข้าไม่ยอมจูบเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางม้วนกระดาษโบราณที่อยู่ในมือลงข้างตัว แล้วเชยคางนางขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้พูดอะไร บุตรแห่งราชานรกที่อยู่บนรถม้าคันเดียวกับพวกเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาแยกเขี้ยวใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับเอ่ยว่า ”ข้าขอเถอะ ที่นี่มีเด็กอยู่ด้วย อย่าสอนอะไรแปลกๆ ให้กับข้าจะได้ไหม แล้วก็อย่าแสดงความรักกันต่อหน้าหนุ่มโสดเช่นข้าด้วย!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเยือกเย็น แล้วถามอย่างเย็นชาว่า ”ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก”
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าทำไมข้ายังอยู่ที่นี่อีก?! บุตรแห่งราชานรกชักเริ่มโมโห เขาจึงแผดเสียงขึ้นว่า ”เจ้ายังไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า! เจ้าบอกว่าถ้าข้าตามเจ้าไปที่แดนพระพุทธศาสนา แล้วเจ้าจะไปปรโลกเพื่อสู้กับท่านพ่อของข้า!”
”จริงอยู่ที่ข้าพูดเช่นนั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนตัวลงอย่างเกียจคร้านพร้อมกับโอบเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ เขามองบุตรแห่งราชานรก และเสริมว่า ”แต่ข้าบอกหรือว่าจะทำตามสัญญา”
บุตรแห่งราชานรกโกรธจนควันออกหู เขาชี้นิ้วใส่อีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาลว่า ”เจ้าคนปลิ้นปล้อน! ไร้ยางอาย!”
”ปีศาจก็มีนิสัยปลิ้นปล้อนมาแต่ไหนแต่ไร คนจากปรโลกอย่างพวกเจ้าเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกข้านักหรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหิ้วร่างของบุตรแห่งราชานรกขึ้น แล้วโยนเขาออกไป
บุตรแห่งราชานรกกลิ้งไปกับพื้นขณะที่ทำได้เพียงแค่มองรถม้าเร่งความเร็วมุ่งสู่เมืองหลวง แต่เขาก็ไม่ได้โมโหกับเรื่องนี้แต่อย่างใด เขากลับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายพลางหยิบขวานเล่มยักษ์ของตัวเองขึ้นมาพาดบ่า พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า ”ในเมื่อเจ้าไม่อยากไปปรโลกเพื่อพบท่านพ่อของข้า เช่นนั้นข้าก็จะให้ท่านพ่อเป็นฝ่ายมาหาเจ้าแทน อย่างไรเขาก็มีเจ้าเป็นศัตรูหัวใจอยู่แล้ว ผิดที่เจ้าดันหน้าตาดีกว่าเขาเอง”
บุตรแห่งราชานรกกระหยิ่มยิ้มย่องหลังจากพูดจบ จากนั้นเขาก็หยิบกระจกพกบานเล็กๆ ขึ้นมาจัดผมตัวเองอย่างวางมาด
เนื่องจากถนนเส้นนี้เป็นถนนเส้นหลัก จึงทำให้มีผู้ใช้เส้นทางนี้เพื่อเข้าเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก
แม้คนเหล่านั้นจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางของตัวเองอย่างมาก แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเด็กถูกโยนออกมาจากรถม้าต่อหน้าต่อตา
ที่น่าตกใจกว่าคือแรงเหวี่ยงนั้นน่าจะรุนแรงอย่างมากจนทำให้สมองของเด็กคนนั้นเกิดการกระทบกระเทือน เด็กชายเอาแต่จ้องมองตัวเองในกระจกเหมือนอยากให้มีดอกไม้ปรากฏขึ้นบนหน้าก็ไม่ปาน
ช่างน่าสงสารจริงๆ เสียดายหน้าตาของเขายิ่งนัก เฮ้อ
พวกเขาส่ายหน้า แล้วออกเดินทางต่อ
เมืองหลวงแตกต่างจากในอดีตลิบลับ เพราะด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดขึ้นอย่างมากในเวลานี้
อาจเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้กำลังประชวร และองค์ชายสามก็ยังไม่กลับมา องค์ชายเจ็ดก็ยังเด็กเกินไป จึงทำให้วังหลวงถูกขุนนางทั้งสี่จากราชสำนักยึดครอง
นับตั้งแต่ตอนที่องค์ชายสามปฏิรูปราชสำนักไปครั้งนั้น ก็แทบไม่มีใครกล้าใช้อำนาจของตัวเองในทางที่ผิดอีก
แต่คราวนี้ กลับมีเสนาบดีจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ
เป็นไปได้ว่าข่าวลืออาจเป็นความจริง หลายคนกล่าวกันว่าองค์ชายสามไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้หลังจากเข้าไปในสุสานโบราณที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเพื่อป้องกันไม่ให้พลังปีศาจเข้ามาสู่เมืองหลวงได้ เสนาบดีเหล่านั้นเริ่มทำตัวกร่างเพราะสาเหตุนั้นหรือ
ประชาชนไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่โดยไร้เหตุผลทุกครั้งที่เข้าเมือง ถ้าไม่จ่าย คนพวกนั้นก็จะไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าเมืองหลวง
รถม้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ถูกหยุดเอาไว้เช่นกัน
องครักษ์เงาสองนายซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีลอบมองตากัน แล้วสั่งอย่างเย็นชาไร้อารมณ์ว่า ”หลีกไป”
บรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่เคยเห็นใครหยาบคายกับพวกเขาเช่นนี้มาก่อน เขาจึงชักดาบของตัวเองออกมา แล้วตะโกนขึ้นว่า ”เจ้าอยากให้ข้าหลีกทางให้หรือ กล้าดีทีเดียว! วันนี้ข้าอารมณ์ดี ดังนั้นข้าจะไม่ทะเลาะกับคนโง่เขลาไม่รู้กาลเทศะอย่างเจ้าก็แล้วกัน ส่งเงินของเจ้ามา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าเข้าไป ถ้าไม่ละก็ มาทางไหนก็จงกลับไปทางนั้นเสีย ข้าไม่อยากจับใครอีก ข้าทำเช่นนั้นทุกวันจนเหนื่อยแล้ว!”
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาที่รถม้าพร้อมกับแส้ในมือ
ที่ด้านในของรถม้า เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ในอ้อมกอดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางเผลอเลิกคิ้วสวยของตัวเองขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่
อีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังดูเฉยเมยไม่แยแส แต่มือของเขาหยุดพลิกหน้ากระดาษ ดวงตาของเขาเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
เขาเกลียดการถูกขัดจังหวะเป็นที่สุด
นี่เป็นเรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้มาโดยตลอด
แต่ชายคนนี้ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนางอย่างมาก แม้กระทั่งตอนอ่านหนังสือ เขาก็ยังต้องโอบแขนเอาไว้รอบตัวนาง เขากอดนางจากทางด้านหลัง พร้อมกับสั่งให้นางพลิกหน้ากระดาษอย่างเกียจคร้านด้วยสายตาเฉยชา
ทำตัวสมกับเป็นเจ้านายจริงๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิกมือเขา แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะนางชอบเล่นกับมือคู่นั้น พวกมันดูสง่างามและผอมเพรียว ทั้งยังมีอุณหภูมิที่พอเหมาะอีกด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็ชอบให้นางสัมผัสเขาแบบนี้เช่นกัน มันให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังจับอุ้งเท้าลูกแมวของตัวเองอยู่ ถึงเขาจะไม่เคยเลี้ยงแมว แต่เขาก็เคยเลี้ยงหงส์เพลิงมาก่อน เขารู้สึกดีอย่างมากที่ได้เป็นที่พึ่งให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
เวลานี้เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอก เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหยุดเล่นกับมือของเขา แล้วแอบมองออกไปข้างนอก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงคว้ามือของนางกลับมาอีกครั้ง และใช้น้ำเสียงเย็นชาเฉยเมยเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างนอกเพียงสั้นๆ ว่า ”ไสหัวไป”
ฝูงชนที่อยู่รอบข้างอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยิน…
พวกเขาต่างตกตะลึงกับความกล้าหาญของเจ้าของคำพูดนั้น
พวกเขารู้จักเจ้าหน้าที่คนนั้น เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสี่เสนาบดี และเพียงแค่ทำงานตามที่ได้รับคำสั่งมาเท่านั้น แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่จากกรมขุนนางส่วนมากก็ยังไม่กล้าท้าทายเขาเพราะบารมีที่เขามี ทั้งยังถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินให้กับพวกเขาอย่างว่าง่ายอีกด้วย
แต่ผู้ชายที่อยู่ในรถม้าคันนั้นกลับกล้าพูดกับเขาว่าไสหัวไปหรือ
”เฮ้อ ข้าชักอารมณ์เสียขึ้นมาอีกแล้วสิ ใครกันที่มันบอกให้ข้าไสหัวไป” เจ้าหน้าที่คนนั้นนึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะโง่เง่าถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นรถม้าคันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นของคุณชายคนใดจากในเมืองหลวงด้วยซ้ำ เมื่อความโกรธนั้นมาถึงจุดเดือด เขาจึงโพล่งออกไปว่า ”ข้าหรืออุตส่าห์ใจดียอมปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับโง่เกินกว่าที่จะยอมรับข้อเสนอของข้าเอง! ทหาร ทำลายรถม้าคันนี้ แล้วจับทุกคนที่อยู่ข้างในไปขังคุกซะ!”
เจ้าหน้าที่ตะโกนพร้อมกับเงื้อแส้ในมือขึ้น เขากำลังจะฟาดมันลงมา
แต่ในวินาทีถัดมา ร่างของเขาก็ถูกองครักษ์เงานายหนึ่งหิ้วตัวขึ้นจากทางด้านหลัง แล้วโยนลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังตุ้บ!
ใบหน้าของเจ้าหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด และเขายังรู้สึกได้อีกด้วยว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ดังนั้นเสียงของเขาจึงยิ่งฟังดูเกรี้ยวกราดขึ้นในตอนที่คำรามออกมาว่า ”เรียกกองกำลังของเรามา ส่งทหารมาให้มากที่สุด! ไปพาท่านลุงของข้ามาที่นี่ด้วย! ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าเจ้าพวกโง่พวกนี้ให้หมดเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินดังนั้น องครักษ์เงาก็สบตากันอีกครั้ง พวกเขายืนเงียบและไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปราวกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่
จนกระทั่งคำพูดอันไร้ซึ่งความปรานีดังก้องออกมาจากรถม้าอีกครั้ง
”ฆ่า”
จากนั้นพวกเขาถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว ทั้งสองชักดาบออกจากฝักแล้วฟันฉับลงมาด้วยการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วราวกับเงา ทหารสี่ห้านายตัวกระตุก แล้วล้มลงไปกองกับพื้นทันที
เจ้าหน้าที่เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ใบหน้าของเขาซีดจนกลายเป็นสีขาวด้วยความหวาดกลัวขณะจ้องมองไปยังรถม้าคันนั้นด้วยสีหน้าสยดสยอง
เจ้าของเสียงนั้นไม่ได้แสดงตัวแม้แต่นิดเดียว
แต่การที่เขาไม่เปิดเผยตัวเช่นนี้กลับทำให้สถานการณ์นี้น่าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
ตอนแรกเขาคิดว่าคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงแค่ทหารธรรมดาๆ ที่พอจะรู้วรยุทธ์อยู่บ้าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ขึ้น…
เขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย
แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างทั้งสองก็ยังต้องรับคำสั่งจากคนที่อยู่ในรถม้าคันนั้น
คนคนนั้นเป็นใครกันแน่…