ตอนที่ 351 ตรรกะผิดเพี้ยนทั้งสามโลกทัศน์
ตอนที่ 351 ตรรกะผิดเพี้ยนทั้งสามโลกทัศน์
เสิ่นเสี่ยวเหมยตกใจกับเสียงคำรามของเสิ่นเถี่ยจวิน หุบปากเงียบอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเถี่ยจวินไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือไดอารี่ที่ลูกสาวของเขาเขียน แต่ลายมือนั้นเป็นเอกลักษณ์จนไม่สามารถปลอมแปลงได้
หลินเซี่ยมองเสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะสำนึก ทั้งยังโง่เขลาและตรรกะป่วย ก็ให้รู้สึกทั้งยินดีและเหยียดหยาม
เธอคว้าสมุดไดอารี่ที่เฉินเจียเหอถือไว้แล้วมองดูพวกเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ฉันจะสรุปให้ว่าในนี้เขียนอะไรไว้บ้าง ตอนที่เสิ่นอวี้อิ๋งเรียนอยู่มัธยมปีที่ห้า หล่อนตกหลุมรักพี่ชายของเจิ้งต้าหมิง แต่พี่ชายของเจิ้งต้าหมิงเพิกเฉยต่อหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงเกิดความแค้น และจงใจเข้าหาเจิ้งต้าหมิงซึ่งทำงานอยู่ในสถานีซ่อมแซมเครื่องจักรประจำเทศมณฑลเพราะหวังให้เขาเป็นทางผ่านเพื่อใกล้ชิดกับพี่ชายของเขา ไม่คาดคิดว่าเจิ้งต้าหมิงจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ทุ่มเทให้กับเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยความหลงใหล นานเข้ายิ่งยากต่อการกำจัดเพราะเจิ้งต้าหมิงมีเงินเดือน สามารถตอบสนองความต้องการด้านวัตถุของเสิ่นอวี้อิ๋งได้ เสิ่นอวี้อิ๋งเลยยอมคบกับเขา
แต่หลังจากภูมิหลังของเสิ่นอวี้อิ๋งถูกเปิดเผยเมื่อปีที่แล้ว หล่อนก็กลับมาที่ไห่เฉิงโดยไม่บอกลาเขาสักคำ เจิ้งต้าหมิงแทบคลั่งไคล้ด้วยความวิตกกังวล ถ่อสังขารจากเทศมณฑลมาที่บ้านตระกูลหลินเพื่อก่อปัญหา เฉินเจียเหอสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้”
เฉินเจียเหอพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “ใช่ครับ เซี่ยเซี่ยกับผมเพิ่งแต่งงานกัน วันที่ผมพาหล่อนกลับไปเยี่ยมบ้าน ผู้ชายที่ชื่อเจิ้งต้าหมิงได้มาสร้างปัญหาถึงบ้านของตระกูลหลินจริง”
หลินเซี่ยกล่าวต่อ “เขาบอกว่าเงินทั้งหมดที่เขาหามาได้ล้วนใช้ปรนเปรอให้กับเสิ่นอวี้อิ๋งไปหมดแล้ว แถมเสิ่นอวี้อิ๋งยังเอามรดกของตระกูลเขาไปด้วย ตอนนั้นเขาโกรธมาก ลั่นวาจาไว้ว่าตราบใดที่ตระกูลหลินไม่ยอมคืนมรดกตกทอดของเขา เขาก็จะไม่จากไปง่าย ๆ เว้นแต่จะยกเสิ่นอวี้อิ๋งให้เขา พอรู้ว่าคนอย่างเขาจัดการไม่ง่าย ในที่สุดฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกที่อยู่ใหม่ของเสิ่นอวี้อิ๋งไป ให้เขามาที่ไห่เฉิงเพื่อทวงสมบัติชิ้นนั้นจากเสิ่นอวี้อิ๋ง ถามหน่อยฉันทำผิดตรงไหน?”
ผู้เฒ่าเฉินยืนเคียงข้างและสนับสนุนหลินเซี่ยอย่างมั่นคง “เซี่ยเซี่ย เธอทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ความอยุติธรรมทุกอย่างมีที่มา หนี้ทุกก้อนมีเจ้าของ ไม่ว่าใครก็ไม่ควรขโมยของของใครทั้งนั้น”
หลินเซี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “คุณปู่พูดถูกทุกอย่างค่ะ ขนาดยืมเงินเรายังต้องหามาคืนเลย เราไม่อาจรู้ได้ว่ามรดกตกทอดของตระกูลคนอื่นหน้าตาเป็นยังไง ทำได้เพียงปล่อยให้เขาไปทวงคืนจากเสิ่นอวี้อิ๋งเท่านั้น”
ผู้เฒ่าเสิ่นซึ่งตอนแรกแสดงท่าทางหยิ่งผยองมาก จู่ ๆ ก็อารมณ์เสียเพราะเนื้อหาในไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋ง จนรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะสั่งสอนคนอื่น
“ผู้อำนวยการเสิ่น คุณบอกว่าลูกสาวของคุณถูกเจิ้งต้าหมิงคุกคามมาครึ่งปีเนื่องจากการสมรู้ร่วมคิดของฉัน ขอโทษนะคะ ฉันเคยขอให้ลูกสาวคุณขโมยมรดกของตระกูลคนอื่นไปหรือเปล่า? ฉันเคยบอกให้ลูกสาวคุณคบหากับเจิ้งต้าหมิงไหม? ถ้าโดนคุกคามอย่างไร้เหตุผลจริง ทำไมหล่อนถึงไม่ยอมบอกคุณแต่แรก? ถ้าหล่อนไม่รู้สึกผิดเกินกว่าจะบอกให้คุณรู้ คิดว่าคนอย่างหล่อนจะกล้ำกลืนซ่อนมันไว้หรือไง?”
ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินมืดมน เขาพูดอะไรไม่ออก
ผู้เฒ่าเฉินพูดกับผู้เฒ่าเสิ่นว่า “เหล่าเสิ่น คุณมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้โดยเปล่าประโยชน์จริง ๆ นอกจากจะตามืดบอดแล้ว ยังไม่มีสติปัญญาไตร่ตรองอีกด้วย ถึงได้ถูกละครตบตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นหลอกลวงเข้าจนได้”
ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่เฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยหย่าร้างกันไปแล้ว
ไม่มีใครในครอบครัวนี้ที่ตรรกะไม่ผิดเพี้ยนสักคน
ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว แม้แต่ลูกสาวของเสิ่นเถี่ยจวินซึ่งไม่ได้ถูกเขาเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกยังมีกระบวนความคิดชั่วร้ายตั้งแต่เด็ก
กรรมพันธ์ุนี้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างทรงพลังและน่าขัน
เขามองไปยังสมาชิกตระกูลเสิ่น จากนั้นเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หลินเซี่ยเป็นสะใภ้ตระกูลเฉินของเรา ถ้าพวกคุณยังกล้าบุกมาสอนบทเรียนให้หล่อนอย่างไม่สนสี่สนแปดอีก จากนี้ก็อย่าได้ตำหนิพวกเราที่หยาบคาย”
เซี่ยไห่ก็ทนไม่ไหวเช่นกัน คำพูดของเขาไม่ได้สงวนซึ่งความสุภาพเท่ากับผู้เฒ่าเฉิน
“ผู้อำนวยการเสิ่น แทนที่จะวิ่งโร่ออกไปกัดคนเหมือนหมาบ้า กลับไปสั่งสอนลูกสาวตัวเองก่อนดีกว่าไหม แต่ผมเกรงว่าจิตใจดำมืดของหล่อนคงชำระล้างได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว…ในเมื่อคานบนยังไม่ตรง ยังไงคานล่างก็เบี้ยวตาม!”
คำพูดประโยคสุดท้ายของเซี่ยไห่ประกอบกับสีหน้าท่าทางที่มองดูสมาชิกครอบครัวเสิ่นทั้งสามอย่างเยาะเย้ย ทำให้พวกเขาโกรธมากจนแทบกระอักเลือดตาย
“แก…” ผู้เฒ่าเสิ่นโกรธมากจนเริ่มหอบหายใจแรง
“ผมมันทำไมเหรอ? คุณน่ะเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า กลับลากสังขารแก่ ๆ ออกจากบ้านแล้วนำความอับอายขายหน้ามาสู่ตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณมีอายุยืนยาวมาจนถึงป่านนี้ได้ยังไงกัน?”
ผู้เฒ่าเสิ่นกรุ่นโกรธกับคำพูดของเซี่ยไห่จนหายใจเร็ว ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยนิ้วอันสั่นเทา “คนแซ่เซี่ย แก… แกมันไม่ใช่คนดี”
เซี่ยไห่สอดแขนกอดอก มองดูเขาอย่างไม่แยแส แค่นเสียงเยาะ “อย่ามาหัวใจวายที่นี่เชียวนะ ต่อให้คุณโกรธจนเป็นลมล้มพับก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา”
ผู้เฒ่าเสิ่นยืนไม่มั่นคงจนเกือบล้มลงกับพื้น เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงเข้ามาประคองเขาไว้อย่างรวดเร็ว
เฉินเจียเหอดึงเซี่ยไห่กลับมา เตือนให้เขาพูดน้อยลงหน่อย
ขืนทำให้ชายชรามีอันเป็นไปในบ้านของเขา คงเป็นเรื่องอัปมงคลมากแน่
“คุณลุง พวกเรากลับกันเถอะค่ะ” เสิ่นเสี่ยวเหมยช่วยพยุงผู้เฒ่าเสิ่นออกจากประตู
ก่อนที่เสิ่นเถี่ยจวินจะออกไป เขามองไปที่สมุดไดอารี่ในมือของหลินเซี่ย และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ขอสมุดบันทึกเล่มนี้ให้ฉันหน่อย”
หลินเซี่ยไม่หวงแหน แทบจะปาสมุดไดอารี่ให้เสิ่นเถี่ยจวินด้วยซ้ำ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงแฝงนัยยะ “ได้ เอามันกลับไปอ่านดู แล้วลองดูเถอะว่าตัวตนที่แท้จริงของลูกสาวคุณมันชั่วร้ายขนาดไหน”
ครอบครัวเสิ่นล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวัง
เมื่อถูกฉีกหน้าอย่างจัง ภาวะอารมณ์ของทุกคนก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
เมื่อหลินเซี่ยเห็นแบบนี้ ภายในใจเธอก็ลิงโลดอย่างยิ่ง เดาว่าตอนนี้เสิ่นเถี่ยจวินอาจจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเจิ้งต้าหมิงแล้ว พวกเขาถึงได้ตื่นตัวกันมาก และเสิ่นอวี้อิ๋งก็น่าจะตั้งครรภ์
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งครอบครัวของพวกเขาน่าจะรู้เรื่องที่เสิ่นอวี้อิ๋งตั้งครรภ์โดยทั่วกันแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งถึงสร้างเรื่องโกหกมาโทษว่าเป็นความผิดเธอ ทำให้ครอบครัวเสิ่นต้องการระบายโทสะลงกับเธออีกครั้ง
ชาติก่อน ครอบครัวพวกเขาจัดการส่งเสิ่นอวี้อิ๋งไปที่อื่นโดยที่ไม่มีใครรู้ หลังจากคลอดลูกแล้วหล่อนถึงกลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ไห่เฉิงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนนังเด็กปีศาจนั่นถูกส่งไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันทีที่เกิดมา
จนกระทั่งเธออายุได้สามขวบ เธอถึงไปติดต่อรับเลี้ยงมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าภายใต้การล้างสมองของเสิ่นอวี้อิ๋ง
พอมาชาตินี้ เธอก็สงสัยว่านังเด็กปีศาจคนนั้นจะมีโอกาสได้เกิดมาเหมือนเดิมไหม?
หลินเซี่ยมีสีหน้ามืดมน ตอนนี้เธอและตระกูลเสิ่นตัดขาดจากวงโคจรของกันและกันแล้ว ชีวิตนี้เธอไม่มีทางรับเลี้ยงลูกบุญธรรมคนนั้นอีก
แต่… เธอยังอยากให้เด็กปีศาจคนนั้นเกิดมา
เฉินเจียเหอดึงหลินเซี่ยให้นั่งลง พยายามปลอบโยนให้เธอสงบสติอารมณ์ โดยมีเซี่ยไห่คอยพูดจากด้านข้าง
“เซี่ยเซี่ย ต่อให้อีกหน่อยพวกเขาจะเทียวมาสร้างปัญหาให้เธออีกก็อย่ากลัวไปเลย ตราบใดที่พวกเราอยู่ตรงนี้ อารองไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาทำตามใจหรอก”
ผู้เฒ่าเฉินผู้วางตัวสง่างามมาโดยตลอดก็โกรธมากเช่นกัน “เซี่ยไห่พูดถูก ถ้ายังมีคราวหน้า ฉันจะทุบตีพวกเขาและโยนพวกเขาออกไปให้หมด”
“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดกับคุณย่าเฉิน “คุณย่า มาเถอะค่ะ เมื่อกี้นี้ยังวัดตัวไม่เสร็จดี เรามาสานต่องานที่ค้างไว้กันดีกว่า”
คุณย่าเฉินมองหลินเซี่ยด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เซี่ยเซี่ย อย่าเพิ่งเลย ไว้ค่อยทำครั้งหน้าดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า วันนี้เรามาวัดตัวกันก่อน ไว้ฉันมีเวลาว่างเมื่อไหร่ค่อยตัดให้ก็ได้ค่ะ”
ช่วงสองวันที่ผ่านมา เธอตัดเสื้อสวย ๆ ให้ผู้เป็นแม่และหลินเยี่ยนไปแล้ว เมื่อนึกขึ้นได้เธอจึงโทรหาย่าสามีในวันนี้เพื่อวัดตัวสำหรับตัดเสื้อให้อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
อารมณ์ของหลินเซี่ยกลับมาคงที่อีกครั้ง แต่ยิ่งเธอทำท่าเฉยเมยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าใด พวกเขาเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์มากเท่านั้น
พอได้เห็นธาตุแท้ของคนตระกูลเสิ่น พวกเขาทุกคนก็พอจะจินตนาการได้ว่าชีวิตของหลินเซี่ยตกต่ำแค่ไหนเมื่อครั้งยังอยู่ในตระกูลเสิ่นมากว่ายี่สิบปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเสิ่นเถี่ยจวินที่ทึกทักเอาเองมาตลอดว่าหลินเซี่ยไม่ใช่ลูกตัวเอง คนเห็นแก่ตัวแบบนี้จะปฏิบัติต่อลูกของคนอื่นอย่างจริงใจได้อย่างไร?
เซี่ยไห่ยิ่งโกรธแค้นและเสียดายอย่างยิ่งที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้ต่อยเสิ่นเถี่ยจวินให้ล้มลงไปกองบนพื้น
เขากัดฟันด้วยความโกรธ จากนั้นก็ให้คำมั่นกับหลินเซี่ยอีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าพวกเขายังกล้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันจะสั่งสอนพวกเขาอย่างสาสม”
หลินเซี่ยหยิบสายวัดมาทาบกับลำตัวของคุณย่าเฉิน จากนั้นก็พูดอย่างใจเย็น “เราอย่าไปยุ่งกับครอบครัวพวกเขาเลยดีกว่าค่ะ อีกไม่นานทุกคนก็จะได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง”
ถึงอย่างไรชาตินี้เธอก็วาดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างตัวเธอกับตระกูลเสิ่นแล้ว สิ่งที่ต้องทำมีแค่การเฝ้าดูพวกเขาทำลายตัวเองเท่านั้น!
หลังจากวัดตัวตัดเสื้อให้คุณย่าเฉินแล้ว เซี่ยไห่ก็เสนอว่าพวกเขาควรออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เฉินเจียเหอดูนาฬิกา แล้วก็รีบร้อนจะออกไปรับหู่จือ
เมื่อกี้นี้เขากำลังรีบกลับบ้าน จนลืมแวะไปรับลูกเสียสนิท
หลินเซี่ยเองก็เป็นกังวลเช่นกัน ไม่ลืมเตือนให้เฉินเจียเหอเดินเร็วหน่อย
ปรากฏว่าขณะที่พวกเขาเดินลงมาชั้นล่าง หู่จือก็กลับมาถึงแล้วพร้อมกระเป๋านักเรียนใบเล็ก
“หู่จือ ลูกเดินกลับมาเองเหรอ?”
หู่จือตอบกลับ “ป้าซิ่วฟางพาผมกลับมาฮะ”
เมื่อได้ยินว่าหวังซิ่วฟางผู้กระตือรือร้นเป็นคนรับหู่จือกลับมาด้วยกัน หลินเซี่ยก็รู้สึกขอบคุณและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีเพื่อนบ้านดีแบบนี้
“เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ”
…
นอกจากตระกูลเสิ่นจะเอาเรื่องใครไม่ได้แล้ว ยังอับอายขายหน้าอย่างเปล่าประโยชน์ พวกเขากลบเกลื่อนด้วยการแสร้งทำเป็นจากไปด้วยความโกรธ
เสิ่นเถี่ยจวินขอให้ผู้เฒ่าเสิ่นและเสิ่นเสี่ยวเหมยกลับไปก่อน แต่ผู้เฒ่าเสิ่นโกรธมาก ยืนกรานจะกลับไปที่บ้านพักในเขตโรงงานเพื่อวิพากษ์วิจารณ์เสิ่นอวี้อิ๋ง
ระหว่างทาง เขายังขอสมุดไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋งไปอ่านอย่างละเอียดด้วย
เสิ่นเถี่ยจวินพยายามหลีกเลี่ยง “พ่อ อย่าไปอ่านมันเลย”
เขาเพิ่งเปิดอ่านไปสองหน้า แต่กลับพบว่าทุกประโยคในไดอารี่เผยให้เห็นตัวตนของเด็กสาวคนนั้นจนหมดเปลือก!
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขนาดอ่านไม่กี่ประโยคในไดอารี่ยังแทบจะลมจับกันขนาดนี้ ถ้าได้อ่านทั้งเล่มนี่จะสิ้นชีพกันยกครัวหรือเปล่าเนี่ย นังอวี้อิ๋งหล่อนสวดมนต์ให้ตัวเองได้เลย ทั้งพ่อทั้งปู่จ้องจะเชือดหล่อนแล้ว
ไหหม่า(海馬)