ตอนที่ 362 ผมเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา
ตอนที่ 362 ผมเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา
แม่เฒ่าเซี่ยเดินทอดน่องไปยังร้านอาหาร ซึ่งเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงกำลังทดสอบเครื่องรีดแป้งอยู่ในครัวด้านหลัง
เครื่องรีดแป้งเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ จึงจำเป็นต้องใช้มือหมุนร่วมด้วย
หลิวกุ้ยอิงนวดแป้งบะหมี่ โดยมีเซี่ยเหลยเป็นคนหมุนเครื่องรีดแป้ง จากนั้นหลิวกุ้ยอิงก็ใส่แป้งที่นวดแล้วไปด้านบนเพื่อทำเส้นบะหมี่ออกมา
เซี่ยเหลยเตือนหล่อนว่า “ระวังอย่ายื่นนิ้วเข้าไปด้านในนะ”
“ค่ะ”
“แป้งเหลวไปหรือเปล่า? เส้นเหนียวติดกันไปนิด โรยแป้งแห้งลงไปหน่อย”
เมื่อคุณแม่เซี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเห็นว่าเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ
ลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้เข้ากันได้เป็นอย่างดียิ่ง
ส่วนลูกสาวและลูกชายคนเล็กต่างก็มีคนในใจ ในที่สุดสวรรค์ก็ตอบรับคำอธิษฐานของนางแล้ว
ในที่สุดนางก็ก้าวผ่านความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบมาได้
หญิงชราสูดหายใจลึก การได้เห็นภาพนี้ทำให้รู้สึกว่าทุกความยากลำบากที่ต้องประสบพบเจอมาล้วนคุ้มค่า
เซี่ยเหลยหันศีรษะไปเห็นหญิงชราซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง จึงเอ่ยถาม “แม่ครับ มาที่นี่ได้ยังไง?”
คุณแม่เซี่ยหัวเราะเบา ๆ “แม่มาดูว่าพวกเธอเตรียมตัวยังไงบ้างน่ะ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ เจรจาจัดซื้อวัตถุดิบต่าง ๆแล้ว เหลือแค่รอเปิดกิจการเท่านั้นครับ”
แม่เฒ่าเซี่ยเดินไปในครัวแล้วจับมือของหลิวกุ้ยอิงขึ้นมา พร้อมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “อิงจื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมจริง ๆ เสี่ยวเหลยได้ทำธุรกิจร่วมกับเธอถือเป็นพรสำหรับเขาแล้ว”
การได้แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับหล่อนถือเป็นพรอันประเสริฐยิ่ง
ถ้อยคำของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้หลิวกุ้ยอิงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “เซี่ยเหลยเองก็เป็นหุ้นส่วนที่ดีมากเช่นกันค่ะ”
“จริงสิ พวกเธอรู้จักกันมาก่อนนี่นะ อย่างไรก็พูดคุยเรื่องในวันวานกันให้มากหน่อยเถอะ”
เซี่ยเหลยกล่าว “เราพูดคุยกันไปบ้างแล้วครับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ดีแล้ว”
วันนี้คุณแม่เซี่ยกระตือรือร้นอย่างยิ่งกับการเชิญหลิวกุ้ยอิงไปกินอาหารเย็นที่บ้านของนาง
ในเมื่อสองศรีพี่สาวน้องชายจะพาคนรักมาที่บ้าน สะใภ้ใหญ่คนนี้ก็ควรจะอยู่ที่นั่นด้วย ทว่าในเวลานี้หน้าต่างกระดาษยังไม่ถูกเจาะ คุณแม่เซี่ยจึงไม่กล้าเผลอออกปากอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ปล่อยให้พวกเขาเข้ากันได้ดีในฐานะหุ้นส่วนก่อน แล้วค่อยให้กลับมาทำความรู้จักมักคุ้นกันอีกครั้ง
รอให้เซี่ยเหลยสามารถจดจำบางเรื่องได้แล้ว ค่อยบอกความจริงทั้งหมดให้เขาฟัง
มิฉะนั้นแล้ว หากเซี่ยเหลยไม่ยอมรับในถ้อยคำที่พวกเขากล่าว ซ้ำร้ายเขาอาจปฏิเสธที่จะเป็นหุ้นส่วนกับหลิวกุ้ยอิง โอกาสที่จะได้คบค้าสมาคมกันย่อมสูญสิ้น
ข้าวปลาที่กินมามากกว่าหกสิบปีของแม่เฒ่าเซี่ยนั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์ นางมองพวกเขาพลางกลอกตาไปมาเล็กน้อย แล้วถามเซี่ยเหลยว่า “เสี่ยวเหลย เมื่อครู่แม่ไปชวนเซี่ยเซี่ยและเจียเหอไปกินข้าวเย็นที่บ้านเราด้วย ค่ำนี้มีคนไม่น้อยเลยทีเดียว ลูกทำคนเดียวไหวไหม?”
เซี่ยเหลยกำลังจะบอกว่าเขาทำได้ เขาก็ได้ยินหญิงชราพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอย่างมาก
“รวม ๆ แล้วเกือบสิบคน อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เซี่ยอวี่พาคนรักมาที่บ้าน พวกเราต้องต้อนรับด้วยอาหารที่หรูหราและมากมายกว่านี้อีกหน่อย ต้องมีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ แม่เกรงว่าลูกทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”
ดวงตาอันฉลาดเฉียบแหลมของคุณแม่เซี่ยพลันเบนไปเล็กน้อยไปทางหลิวกุ้ยอิง แล้วเอ่ยหยั่งเชิง “หากว่าหลังจากนี้อิงจื่อไม่มีธุระอะไร ให้หล่อนไปช่วยเราไม่ดีกว่าเหรอ?”
แม่เฒ่าเซี่ยพูดเองเออเองเบ็ดเสร็จโดยไม่ให้โอกาสเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงได้ปริปากเอ่ย นางมองหลิวกุ้ยอิงตาปริบ ๆ เพื่อขอความเห็น
“อิงจื่อ บ่ายนี้เธอว่างไหม เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่จะพาคนรักของพวกเขามากินอาหารเย็นที่บ้าน ฉันได้เชิญเซี่ยเซี่ยและเจียเหอมาด้วย ทำให้มีคนค่อนข้างเยอะ ฉันจึงอยากจะเชิญเธอไปที่บ้านของฉันเพื่อช่วยเสี่ยวเหลยทำอาหาร ฉันเองแก่เฒ่าแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้นักหรอก เฮ้อ”
แม่เฒ่าเซี่ยกล่าวพลางทำสีหน้าไร้เรี่ยวแรงระคนรู้สึกผิด ประกอบกับผมสีดอกเลาที่ขึ้นเต็มศีรษะและท่าทางเศร้าใจกลัดกลุ้มของนาง ทำให้มองดูแล้วรู้สึกว่าน่าสงสารอย่างยิ่งจนยากจะปฏิเสธได้
หลิวกุ้ยอิงจึงเอ่ยว่า “คุณป้า ฉันมีเวลาว่างอยู่ค่ะ”
เมื่อแม่เฒ่าเซี่ยได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็พลันเป็นประกาย ก่อนเอ่ยกับเซี่ยเหลย “เสี่ยวเหลย รีบขอบคุณอิงจื่อเร็วเข้าสิ”
เซี่ยเหลยเชื่อฟังผู้เป็นแม่มาก เขามองหลิวกุ้ยอิง พร้อมกล่าวขอบคุณหล่อน “ขอบคุณนะครับ”
“ยินดีค่ะ”
แม่เฒ่าเซี่ยรีบเอ่ยอย่างดีใจ “ถ้าอย่างนั้นหลังจากจัดการธุระทางนี้เรียบร้อบแล้ว ก็กลับไปซื้อข้าวของกันเสียนะ”
อย่างไรเสียหลิวกุ้ยอิงก็เป็นคนที่มีลูกชายและลูกสาว อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์พิเศษกับเซี่ยเหลย ดังนั้นหล่อนจึงต้องคำนึงถึงความรู้สึกของลูกชายและลูกสาวของตน หากมีอะไรก็ต้องบอกกล่าวพวกเขาด้วย
“ฉันขอไปบอกกล่าวกับพวกจินซานกับเสี่ยวเยี่ยนสักหน่อยนะคะ”
แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยรั้งหล่อนเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เธอทำงานไปเถอะ เดี๋ยวฉันไปคุยกับพวกเด็ก ๆ เอง”
หญิงชรารีบสาวเท้าวิ่งไปยังร้านเสริมสวยอีกครั้งด้วยความกระตือรือร้น หลินเยี่ยนกำลังเขียนคิ้วให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณแม่เซี่ยจึงรอให้เด็กสาวทำงานให้เสร็จ ก่อนจะดึงหล่อนไปที่มุมหนึ่ง “เสี่ยวเยี่ยน วันนี้ฉันได้เชิญแม่ของเธอไปช่วยลุงเซี่ยทำอาหารที่บ้านของเรา เย็นนี้เธอก็ไปกินข้าวที่บ้านเราด้วยกันกับพวกพี่สาวของเธอสิ”
หลินเยี่ยนพลันปฏิเสธอย่างสุภาพอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “คุณย่าเซี่ย หนูไม่ไปดีกว่าค่ะ”
“ไม่เป็นไร เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไปด้วยกันเถอะ ที่บ้านจะได้ครึกครื้นสนุกสนาน”
“คุณย่าเซี่ย พี่สาวของหนูบอกว่าร้านใหม่กำลังจะเปิดเร็ว ๆ นี้ หนูจำเป็นต้องรีบฝึกปรือฝีมือ หนูขอไม่ไปนะคะ”
ในช่วงนี้ หลินเยี่ยนทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการเรียนรู้เรื่องการแต่งหน้า สหายหญิงที่มาตัดผมที่ร้านในช่วงหลังมานี้ก็ต่างยินดีให้หล่อนแต่งหน้าให้ ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวจึงค่อนข้างยุ่ง
“อย่างนั้นก็ได้ รอเธอว่างเมื่อไหร่ก็ไปที่บ้านฉันนะ”
หลินเซี่ยที่ได้ยินถ้อยคำของคุณย่าของตนถึงกับคิ้วกระตุก
เชิญแม่ของเธอไปทำอาหารด้วยงั้นหรือ?
เกรงว่าการทำอาหารจะเป็นข้ออ้างกระมัง?
คุณย่าของเธอฉลาดจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดีทีเดียว
………..
เมื่อหลินจินซานมาทำงานที่ห้องเต้นรำในตอนบ่าย เขาก็พบว่าคุณย่าเซี่ยรออยู่ พร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณหน้าประตูห้องเต้นรำ
“คุณย่าเซี่ย ทำไมมาที่นี่ล่ะครับ? เดี๋ยวผมช่วยพาเข้าไปนะครับ”
แม่เฒ่าเซี่ยหัวเราะ “จินซาน ฉันเข้าไปที่นี่นั่นย่อมไม่เหมาะ ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมารอเธอโดยเฉพาะน่ะ”
ในขณะที่อธิบายให้หลินจินซานฟังถึงเรื่องที่เซี่ยอวี่สละโสด และขอให้หลิวกุ้ยอิงไปช่วยเซี่ยเหลยทำอาหาร ใบหน้าของคุณแม่เซี่ยก็ฉายชัดถึงความเมตตาเอ็นดู
“จินซาน แม่ของเธออยากจะมาบอกกล่าวเธอด้วยตัวเอง แต่ฉันกลัวว่าเธอจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นฉันจึงมารอเธอที่นี่โดยเฉพาะ เพราะเชื่อว่าจินซานเป็นเด็กดีที่รู้ความ”
หลินจินซานถูกชมเชยแล้วก็ยิ้มยิงฟัน แล้วเอ่ยออกมาอย่างสบาย ๆ “คุณย่าเซี่ยครับ เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องไม่เห็นด้วยกัน? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปทำอาหารที่บ้านเลย ผมเห็นด้วยที่จะให้แม่ของผมและลุงเซี่ยแต่งงานกันด้วยซ้ำไป”
เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน
การที่ตนมีการมีงานทำและได้เงินเดือนสวัสดิการอย่างในตอนนี้ ก็ถือเป็นบารมีที่ได้อาศัยแล้ว
เป็นคนย่อมไม่สามารถทำตัวราคาถูกและไร้เหตุผล
แม่เฒ่าเซี่ยลูบแขนของหลินจินซานเบา ๆ พร้อมกล่าวชมเชยอีกครั้ง “จินซานเป็นคนที่รู้ความจริง ๆ วันไหนที่ว่างไม่ได้ทำงาน ก็แวะไปกินข้าวที่บ้านฉันนะ”
หลังจากจัดการเรื่องฝ่ายเซี่ยเหลยเรียบร้อยแล้ว หญิงชราก็กลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
หลินเซี่ยได้ยินข่าวอันน่าตื่นตระหนกอย่างยิ่งแล้วก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจ ซ้ำยังไม่มีกะจิตกะใจทำงาน โชคดีที่ลูกค้าเหล่านี้เป็นลูกค้าที่มาตัดผม อาจารย์หวางจึงสามารถรับผิดชอบในส่วนนี้ได้ทั้งหมด หลินเซี่ยรีบไปหาเซี่ยไห่ที่ห้องเต้นรำเพื่อพูดคุยซุบซิบถึงเรื่องคนรักของเขา ทว่าเซี่ยไห่ไม่ได้อยู่ที่นั่น
เธอจึงโทรศัพท์ไปยังโรงงานของเฉินเจียเหอ บอกว่าหลังจากเลิกงานแล้วให้เขาไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านตระกูลเซี่ยด้วยกัน จากนั้นจึงไปรับหู่จือ
ทันทีที่เฉินเจียเหอเลิกงานกลับมา หลินเซี่ยก็เล่าให้ผู้เป็นสามีฟังถึงเรื่องที่เซี่ยไห่และเซี่ยอวี่สละโสด
เฉินเจียเหอเมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “เหล่าเซี่ยมีคนรักแล้วเหรอ?”
“ฉันสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามคุณ คุณเป็นพี่น้องกับเขา คนที่ควรจะรู้ดีที่สุดว่าเขามีคนรักแล้วหรือไม่ก็คือคุณ”
เฉินเจียเหอสั่นศีรษะ “ผมไม่เคยได้ยินว่าเขามีคนรักแล้วเลย”
หลินเซี่ยลูบคางของเธอพลางวิเคราะห์ว่า “ฉันเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลก ๆ เหมือนกันค่ะ เมื่อวานนี้ตอนที่กลับมาจากบ้านของหมอแผนจีนเย่ คุณพ่อของฉันเร่งเร้าให้คุณอาหาคู่ครอง ทั้งยังเอ่ยถามถึงเย่ไป๋อยู่เลย แต่หล่อนและเถ้าแก่เซี่ยต่างก็ต่อต้านเรื่องนี้อย่างยิ่ง ไม่ได้มีทีท่าว่าจะมีคนรักเลยสักนิด แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งสองคนจะสละโสดในชั่วข้ามคืน?”
คำพูดของเธอไปกระตุ้นต่อมความสงสัยใคร่รู้ของเฉินเจียเหอ เขาเปลี่ยนจากชุดทำงานไปสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีดำ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยเรียกหู่จือให้ออกมา
ก่อนจะจับมือเล็กข้างหนึ่ง มือใหญ่ข้างหนึ่ง พลางเอ่ย “ไปเถอะ แค่ไปดูสถานการณ์ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ครอบครัวฝั่งแม่ของเซี่ยเซี่ยใจกว้างจังเลย ที่ให้แม่แต่งงานใหม่ได้
พี่เหอคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องสืบแล้วล่ะมั้ง
ไหหม่า(海馬)