บทที่ 293 เปิดตัวตำราชิงหนาง[1]
ไป๋เยี่ยพอใจกับรางวัลที่จับได้มาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว กล่าวได้ว่ามันจะทำให้อนาคตการแพทย์สดใสไปด้วย
เรื่องนี้ทำให้ไป๋เยี่ยมีความสุขเล็กๆ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าแจ่มใสด้านนอกหน้าต่างพลางกดจับรางวัลอีกครั้งหนึ่ง
เขายังเหลือโอกาสจับรางวัลหกดาวครั้งสุดท้ายอยู่ ต่อให้ครั้งนี้จะจับได้เนื้อชิ้นเดียว เขาก็ยอมรับได้
ไป๋เยี่ยตั้งจิตแน่วแน่และกดสุ่มรางวัลทันที
จานหมุนขนาดใหญ่เริ่มหมุนอย่างบ้าคลั่ง หยุด!
ทันใดนั้นก็มีหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าไป๋เยี่ย
‘ตำราชิงหนาง เล่มที่หนึ่ง’
ทันทีที่ชื่อ ‘ตำราชิงหนาง’ แวบเข้ามาในหัวของไป๋เยี่ย เขาก็ระงับความตื่นเต้นไม่ได้อีกต่อไป
‘ตำราชิงหนาง’ คืออะไร
ตามวรรณกรรม ‘สามก๊ก ‘ ของหลัวก้วนจง ‘ตำราชิงหนาง’ ก็คือตำราที่แพทย์ฮัวโต๋เขียนขึ้นเพื่อเล่าประสบการณ์ชีวิตของเขา
ว่ากันว่าตำราเล่มนี้บันทึกถึงความมุมานะบากบั่นและประสบการณ์ด้านการแพทย์ตลอดทั้งชีวิตของฮัวโต๋ อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยหลายประการทำให้หนังสือเล่มนี้สูญหายไปในที่สุด เหลือเพียงสองสามหน้าเท่านั้นที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันในหนังสือประวัติศาสตร์จึงมีบันทึกถึง ‘อู่ฉินซี่[2]’ และ ‘หมาฝู่ซ่าน[3]‘ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการที่ตำราเล่มดังกล่าวสาบสูญไป ก็ยิ่งทำให้ตัวตนของฮัวโต๋นั้นยิ่งลึกลับเข้าไปใหญ่ ทั้งยังทิ้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันลึกลับไว้มากมาย
เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกวนกงขูดกรของเข็มสิบเล่มและตัวหมากรุกขาวดำสองชิ้น เรื่องราวของกวนกง[4]ขูดกระดูกรักษาแผลหรือเรื่องราวตอนโจโฉปวดหัวล้วนแสดงให้เห็นว่าฮัวโต๋เริ่มใช้วิธีผ่าตัดระบบประสาทตั้งแต่ตอนนั้น
ทำให้หลายคนมองว่าทักษะการแพทย์ของฮัวโต๋นั้นยอดเยี่ยมถึงขั้นนำไปกล่าวขานเป็นตำนานปกรณัม
แม้แต่อู่ฉินซี่ก็ยังกลายเป็นวิธีการฝึกตนเป็นเซียน
ชื่อของฮัวโต๋เองก็กลายเป็นคำคุณศัพท์ ซึ่งใช้ในการนิยามบุคคลที่มีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยมเปรียบดั่งฮัวโต๋ที่ยังมีชีวิตอยู่
ทว่าในฐานะที่ไป๋เยี่ยเป็นบุคลากรทางการแพทย์แผนจีนสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาทุกแขนงในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ เขาจะต้องพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเขาจะคาดหวังกับตำราชิงหนางค่อนข้างมาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนได้รับตำราศักดิ์สิทธิ์อะไร
[ติ๊ง! ขอแสดงความยินดี คุณได้รับสำเนา ‘ตำราชิงหนาง เล่มที่หนึ่ง’ ฉบับไม่สมบูรณ์ แจ้งเตือน: ตำราดังกล่าวถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตของฮัวโต๋ มีคุณค่าต่อการนำไปอ้างอิงมาก]
ไป๋เยี่ยระงับความตื่นเต้นเอาไว้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ สักสองครั้งแล้วจึงลองเปิดตำราเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอย่างครุ่นคิด
ตำราชิงหนางค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าไป๋เยี่ย
ไป๋เยี่ยลองพลิกดูเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเวชระเบียนและการวิเคราะห์อาการเจ็บป่วยต่างๆ โชคไม่ดีที่มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตำราที่ยังไม่สมบูรณ์นัก
ไป๋เยี่ยเห็นว่าในตำรามีเพียงสามส่วนเท่านั้น
ส่วนแรกคือ ‘อู่ฉินซี่’ ซึ่งเป็นวิธีฝึกฝนลมปราณที่ฮั่วโต๋ใช้เพื่อรักษาสุขภาพและเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงผ่านท่าทางของสัตว์ห้าชนิด ได้แก่ เสือ, กวาง, หมี, ลิง และนกกระเรียน
ไป๋เยี่ยขมวดคิ้วลง อู่ฉินซี่ในตำราเล่มนี้ต่างจากที่เคยเห็นทั่วไป!
หลักสูตรพลศึกษาภาคบังคับที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน คือ มวยไทเก๊กและปาต้วนจิ่น[5] แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไป๋เยี่ยจึงเลือกอู่ฉินซี่เป็นวิชาเลือกเมื่อตอนปีสองและฝึกฝนมันอย่างหนักมาระยะหนึ่ง
อู่ฉินซี่ที่ปรากฏตรงงหน้านั้นมีความแตกต่างกับที่เขาฝึกฝนมา ทว่าไป๋เยี่ยก็คิดว่าเขาคงทำอู่ฉินซี่ตามแบบต้นฉบับนั้นไม่ได้
แต่แน่นอนว่ามันยังคงมีคุณค่าต่อการอ้างอิงและการทำวิจัยอยู่
ส่วนที่สองคือ ‘ข้อแนะนำและกรณีตัวอย่างในการผ่าตัด‘
ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคที่ต้องผ่าตัดและประสบการณ์ต่างๆ
ไป๋เยี่ยปิดตำราลงและเก็บมันไว้ในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่!
นี่แหละมรดกล้ำค่า!
แต่ว่ามีแค่ตำราชิงหนางเล่มแรกเองเหรอ ทำไมไม่เอามาให้ทั้งหมดล่ะ แล้วต่อไปเราจะต้องไปหาจากไหน
ระบบไม่ได้แจ้งอะไรมากนัก ไป๋เยี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
การจับรางวัลครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้ไป๋เยี่ยยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นเขาก็พอใจกับรางวัลที่ได้มา
การเดินทางจากสนามบินเมียนมากลับไปยังปักกิ่งนั้นใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งค่อนข้างเร็ว ทุกคนกินอาหารเที่ยงบนเครื่องบิน จนกระทั่งเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็เดินทางมาถึงสนามบินปักกิ่ง
ทุกคนถือสัมภาระลงจากเครื่องบิน ทันทีที่ทุกคนได้เห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองปักกิ่งก็พากันเบิกบานใจไปตามๆ กัน
หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายและความโกลาหลมาตลอดหนึ่งเดือน ทุกค่ำคืนต้องมัวแต่ดิ้นรนอยู่กับความวิตกกังวลและความเหนื่อยล้า ทำให้ตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกว่าชีวิตอันสงบสุขช่างเป็นสิ่งที่สวยงามเหลือเกิน
เดือนนี้ทุกคนได้รับอะไรมากมาย ไม่เพียงแต่ได้ฝึกฝนทักษะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือจิตวิญญาณอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา
ไป๋เยี่ยจำสิ่งที่อาจารย์เคยบอกได้ ตอนที่เขาไปดูงานที่แผนกฉุกเฉิน เคยมีแพทย์อาวุโสคนหนึ่งเคยบอกเขาว่า ‘เมื่อไหร่ที่คุณคุ้นเคยกับความเป็นความตาย คุณจะรู้ว่าคุณต้องการอะไร’
แน่นอนว่าเมื่อคนเราประสบกับเหตุถึงชีวิต อะไรๆ ก็ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป
การกู้ภัยครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากจากโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งโรงพยาบาลยูเนียนและโรงพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบันชั้นนำอื่นๆ
โรงพยาบาลเหล่านี้ล้วนเป็นโรงพยาบาลดีเด่นจากทั่วประเทศ และทีมแพทย์ที่เข้าร่วมการกู้ภัยในครั้งนี้ก็ล้วนเป็นแพทย์อาวุโส บางทีอาจจะมีหลายคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเขาก็เป็นคนที่น่านับถืออยู่ดี
เมื่อทุกคนมาถึงปักกิ่ง อารมณ์และบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง ต่างคนต่างเริ่มพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
และคนที่โดดเด่นที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ก็คือไป๋เยี่ยนั่นเอง
ทุกคนที่ไปร่วมกู้ภัยต่างได้ฟังบทเรียนและได้ความรู้จากไป๋เยี่ย
ดังนั้นทุกคนจึงมีเคารพไป๋เยี่ยไปโดยปริยาย
อีกทั้งระหว่างภารกิจอันตึงเครียดนี้ ทุกคนก็ได้สานสัมพันธ์มิตรภาพซึ่งกันและกัน ไม่ต่างไปจากมิตรภาพระหว่างสหายร่วมรบเลย
คนเหล่านี้คือกำลังสำคัญของโรงพยาบาล เมื่อเวลาผ่านไป ยามที่พวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาก็จะกลายเป็นแนวหน้าของวงการการแพทย์อย่างแน่นอน
ทุกคนกล่าวอำลากันและเดินทางออกจากสนามบินไป แต่ละหน่วยจะมีรถพิเศษมารับกลับไป หากว่ากันตามตรงพวกเขาทุกคนก็คือวีรบุรุษประจำหน่วยงานของตน เป็นวีรบุรุษผู้ผ่านการบรรเทาทุกข์ยามเกิดแผ่นดินไหว
ไป๋เยี่ยนั่งอยู่ในรถพลันนึกถึงคุณนายหูขึ้นมา ภายในใจก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเหลือบมองหลีจื่อเหยียนอย่างหลงใหลก่อนจะถอนหายใจ เขายังทำภารกิจที่ตกลงไว้กับแม่ไม่เสร็จเลย
จะทำไงดีล่ะเนี่ย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไป๋เยี่ยมองกลับไปยังลูกศิษย์สองคนที่ห้อยติดเขามาด้วยก็อดรู้สึกจนปัญญาไม่ได้
ทั้งอาคามอสและโมลโดยืนกรานที่จะติดตามไป๋เยี่ยกลับมาที่จีน ซึ่งไป๋เยี่ยจะไล่พวกเขาไปก็ไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลงไป
ทว่า…หลังจากกลับมาที่จีนไป๋เยี่ยก็ยังมีบางเรื่องที่ต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่ จึงปล่อยให้ทั้งสองคนทำตามใจตนเอง
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ในหัวของไป๋เยี่ยก็เปี่ยมไปด้วยแก่นความรู้ที่จำเป็นต้องสรุปออกมา และจะสะดวกยิ่งขิ้นถ้ามีทั้งสองคนมาช่วย
รถหยุดอยู่ที่ลานจอดของโรงพยาบาล มีคนจำนวนมากกำลังยืนรออยู่ที่ลานนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลิวป๋อหลี่, หูเฟิงอวิ๋นหรือผู้บริหารโรงพยาบาลคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้วย
ทันทีที่ประตูรถเปิดออก ทุกคนก็เดินลงมาจากรถโดยมีผู้อำนวยการหลิวเป็นผู้นำให้คนอื่นๆ โค้งคำนับลง
ภาพตรงหน้าสร้างความรู้สึกอย่างไรให้กับทุกคน
ภารกิจครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก!
การที่หลิวป๋อหลี่ซึ่งเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนและเป็นผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาเป็นเวลากว่าห้าสิบปีมาโค้งคำนับทุกคนแบบนี้ ทำให้ใครๆ ต่างก็จินตนาการถึงอารมณ์ของเขาได้
หลิวป๋อหลี่มองทุกคนด้วยสายตาซาบซึ้งก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ “ดีใจที่พวกคุณกลับมานะครับ! ขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก”
หลี่หมิงซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
[1] ตำราชิงหนาง คือ ตำราแพทย์ของหวาถัว (ฮัวโต๋) ในวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก (三国演义; ซานกว๋อเหยียนอี้) ของหลัวก้วนจง
[2] อู่ฉินซี่ คือ กระบวนท่าเลียนแบบสัตว์ห้าชนิด ได้แก่ เสือ, กวาง, หมี, ลิงและนก เป็นวิธีการออกกำลังกายอย่างหนึ่งของชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
[3] หมาฝู่ซ่าน คือยาระงับความรู้สึกชนิดรับประทานที่คิดค้นโดยฮัวโต๋
[4] กวนกง หมายถึง กวนอู (กวนอวี่)
[5] ปาต้วนจิ่น คือ คือวิธีการออกกำลังกายฝึกลมปราณและยืดกล้ามเนื้อ โดยมีทั้งสิ้นแปดกระบวนท่า