บทที่ 300 ภารกิจใหญ่มาแล้ว
ไป๋เยี่ยไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะได้รับสายจากจ้าวหู่ชิว
หลังจากกลับมาถึงจีน จ้าวหู่ชิวก็ออกจากทีมกู้ภัยทันที หากพูดถึงเรื่องนี้ ไป๋เยี่ยก็คงไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของเขาในทีมกู้ภัยนั้นทำให้บรรดาคนจากกองทัพเมียนมาและชาวเมืองไม่กล้าดูถูกไป๋เยี่ยเลยแม้แต่น้อย
สถานะของจ้าวหู่ชิวนั้นมีเกียรติสูงส่งมาก ท่าทางขึงขังของเขาทำให้คนที่มองออกเห็นถึงความสำคัญของไป๋เยี่ยได้ในทันที
นี่คือหน้าที่สำคัญระดับชาติ
หลังจากที่รับสายแล้ว ไป๋เยี่ยก็ตะลึงอยู่
จ้าวหู่ชิวเอ่ยเสียงเข้ม “ผู้บัญชาการ…อยากพูดคุยกับคุณครับ”
เดิมทีจ้าวหู่ชิวจะพูดว่า ‘อยากเจอคุณ’ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้บัญชาการเน้นย้ำมาว่าให้พูดดีๆ จึงเปลี่ยนคำพูด
ไป๋เยี่ยพยักหน้ารับ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีรถจี๊ปทหารมาจอดที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล
ระหว่างที่อยู่ในรถ จ้าวหู่ชิวก็ดูอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับไป๋เยี่ย ทว่ายังคงลังเลอยู่
ผ่านไปราวๆ สิบนาที ไป๋เยี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน “คุณมีอะไรก็พูดมาเถอะครับ”
จ้าวหู่ชิวกระแอม ใบหน้าคล้ำแดดของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เขากล่าวอย่างประหม่า “ผม…ผมบอกหัวหน้าเรื่องที่คุณไปอยู่เมียนมาแล้วครับ”
ไป๋เยี่ยเงียบ แค่นี้เนี่ยนะ
จากนั้นไป๋เยี่ยก็คลี่ยิ้ม “บอกไปหมดเลยเหรอครับ”
จ้าวหู่ชิวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ครับ! บอกไปหมดแล้ว … ”
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “เฮ้อ ผมรู้สึกไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาซะเลย!”
จ้าวหู่ชิวยิ่งประหม่าและทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงเอ่ยขอโทษเท่านั้น ”เอ่อ…ผมขอโทษครับคุณไป๋เยี่ย คือว่า…มันเป็นคำสั่ง”
ไป๋เยี่นเห็นท่าทีดังกล่าวของจ้าวหู่ชิวก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ผมแค่ล้อเล่นครับ จะบอกก็บอกไปเถอะ”
“ว่าแต่ หัวหน้าของคุณคือใครเหรอ เขาต้องการอะไรจากผม”
จ้าวหู่ชิวซึ่งถูกหยอกเล่นเมื่อครู่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดไป๋เยี่ยเล็กน้อยจึงตอบส่งๆ พลางส่ายหัวไปมา “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองครับ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง พวกทหารนี่ล้อเล่นด้วยไม่ได้เลย…
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงเขตกองทัพ หลังจากลงจากรถแล้ว จ้าวหู่ชิวก็พาไป๋เยี่ยไปที่ห้องหนึ่ง
ไป๋เยี่ยเคาะประตูก่อนจะเข้าไปข้างใน เขาเห็นว่ามีชายในชุดทหารคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมหนังสือในมือ
ชายตรงหน้าน่าจะมีอายุราวๆ หกสิบปี ภายในห้องของเขาถูกตกแต่งอย่างประณีต ส่วนเจ้าของห้องก็สวมชุดทหารดูเป็นระเบียบ ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามาก็วางหนังสือลง
จ้าวหู่ชิวเอ่ยเสียงดัง “เรียนผู้บัญชาการ คุณไป๋เยี่ยมาถึงแล้วครับ!”
ชายคนนั้นพยักหน้า “ออกไปก่อน”
หลังจากที่จ้าวหู่ชิวออกไปแล้ว ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ว่าชายตรงหน้าดูสง่าผ่าเผย ทั้งยังวางมาดสงบนิ่งดูแล้วน่าไว้วางใจ
ชายคนนั้นไม่พูดอะไร ได้แต่มองดูไป๋เยี่ยด้วยสายตาเฉียบคมดั่งนกอินทรี
ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย เขาเพียงมองชายตรงหน้ากลับด้วยรอยยิ้มทั้งที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร
ผ่านไปราวๆ ครึ่งนาที ชายคนนั้นถึงพยักหน้า “ดีมาก นี่สิลูกผู้ชาย เชิญนั่งลง”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลง
ชายคนนั้นเริ่มแนะนำตนเอง “ผม ‘เฉินเจิ้นปั่ง’ จ้าวหู่ชิวเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องที่คุณไปสร้างทีมกู้ภัยที่เมียนมาแล้ว ผมจึงมีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณเล็กน้อย”
ไป๋เยี่ยไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อของชายผู้นี้มาก่อนเลย ทว่าเขาก็ยังคงพยักหน้ารับและตอบกลับไปในทันที “พูดมาได้เลยครับท่าน”
เฉินเจิ้นปั่งพยักหน้า “คุณรู้จักคำว่าแพทย์ทหารใช่ไหม”
‘แพทย์ทหาร’ ในความหมายของไป๋เยี่ยคือแพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นบุคลากรด้านสุขภาพและการแพทย์ในกองทัพ เป็นทหารเสริมที่ได้รับการฝึกจนเป็นมืออาชีพ ในทีมแพทย์ทหารมักจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เรียนจบแพทย์หรือมีประสบการณ์ทำงานด้านการแพทย์ในกองทัพมาก่อน
เฉินเจิ้นปั่งพูดต่อ “ในประเทศของเรามีแพทย์ทหารสามประเภท ประเภทแรกคือแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐ ประเภทที่สองคือแพทย์ภาคสนาม และประเภทสุดท้ายคือแพทย์ที่มีตำแหน่งในกองทัพ”
“สิ่งที่ผมอยากคุยกับคุณในวันนี้เรื่องแพทย์ภาคสนาม”
ไป๋ตงหลินผู้เป็นพ่อของไป๋เยี่ยเคยเข้ารับราชการทหารมาก่อน เมื่อตอนที่ไป๋เยี่ยยังเด็ก ที่บ้านของเขามักจะดูละครเกี่ยวกับทหารอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับกองทัพค่อนข้างมาก
ทันทีที่ไป๋เยี่ยได้ยินคำว่าแพทย์ภาคสนาม แววตาของไป๋เยี่ยก็เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ เมื่อเทียบกับแพทย์ทหารที่ประจำการตามโรงพยาบาลในท้องที่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าแพทย์ภาคสนามมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และอันตรายที่สุด ถือเป็นแพทย์ทหารที่เข้ามาเป็นได้ยากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วแพทย์ภาคสนามจะได้รับรางวัลเป็นตำแหน่งทางการทหารตามระดับความสามารถ ได้สวมอินทรธนูทหารและปลอกแขนวิชาชีพเป็นต้น
หน้าที่หลักของแพทย์ภาคสนามคือการปฐมพยาบาลและการดูแลผู้บาดเจ็บในสนามรบ พวกเขาจะติดตามกองทัพไปด้วยเพื่อให้ความช่วยเหลือในการปฐมพยาบาลทันที รวมถึงติดตามสุขอนามัยและสุขภาพในระยะยาวของทหารด้วย
ไป๋เยี่ยรีบประมวลผล การที่เฉินเจิ้นปั่งพูดเรื่องแพทย์ทหารขึ้นมานั้นทำให้ไป๋เยี่ยนึกย้อยไปถึงสิ่งที่เขาทำในเมียนมา และตระหนักได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำคงเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแน่นอน
เฉินเจิ้นปั่งพูดต่อ “ผมไม่แน่ใจเรื่องศักยภาพด้านการแพทย์ฉุกเฉินของคุณ แต่ผมได้รับข้อมูลทั้งหมดของคุณมาจากจ้าวหู่ชิวแล้ว เพราะฉะนั้นผมอยากจะทดสอบคุณโดยการให้ไปทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทหารของเราก่อน ถ้าคุณผ่านเกณฑ์ ผมก็หวังว่าคุณจะได้เข้ามาเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลทหาร หรือไม่ก็…ได้รับตำแหน่งทหารเลย จะได้คอยช่วยฝึกฝนกลุ่มแพทย์ฉุกเฉินระดับสูง”
ไป๋เยี่ยได้ยินก็อึ้งงันไป!
นี่มันสุดยอดภารกิจชัดๆ!
การพบกันครั้งนี้แตกต่างจากการไปพบท่านผู้นำโดยสิ้นเชิง นี่คือการมอบหมายภารกิจอย่างชัดเจน ไป๋เยี่ยสังเกตสีหน้าของชายตรงหน้าก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
คำสั่งกองทัพนั้นฝ่าฝืนไม่ได้
การช่วยจัดตั้งและฝึกฝนแพทย์ทหารระดับสูงถือเป็นประโยชน์ต่อสันติภาพของประเทศและประชาชนในระยะยาว!
ไป๋เยี่ยสูดหายใจเข้าลึก เรื่องนี้ยังมีหนทางอีกยาวไกล ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ
“ผมจะลองดูครับ”
เฉินเจิ้นปั่งได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “คุณสะดวกเมื่อไหร่ล่ะ ผมจะได้จัดการทดสอบให้โดยเร็วที่สุด”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ท่านหัวหน้าครับ เร็วๆ นี้ผมกำลังเตรียมก่อตั้งสถาบันวิจัยกระดูกอยู่ ผมเลยไม่ค่อยมั่นใจเรื่องเวลาครับ แต่ถ้าผมก่อตั้งสถาบันวิจัยสำเร็จเมื่อไหร่ ระหว่างที่รอการก่อสร้างผมจะมีเวลาว่างเยอะมากครับ”
เฉินเจิ้นปั่งพึมพำก่อนจะพยักหน้าลง “ได้ ถ้าอย่างนั้นเล่าเรื่องสถาบันของคุณให้ผมฟังหน่อย ผมจะส่งคนไปช่วยคุณจัดการเรื่องนี้เอง มีปัญหาอะไรก็โทรมาหาผมได้ ไว้เดี๋ยวผมจะส่งเบอร์โทรศัพท์ให้คุณ”
ไป๋เยี่ยได้แต่พยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายไป