ตอนที่ 5 เบื้องหน้า
ซินโย่วปาดยาที่มุมปาก ถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ยาวันนี้ ผู้ใดต้ม”
“บ่าวต้มเองเจ้าค่ะ ต่อมาให้เจี้ยงซวงเฝ้าไว้…” สีหน้าเสี่ยวเหลียนแปรเปลี่ยน “ยานี้มีปัญหา?”
ซินโย่วส่ายหน้า “มีปัญหาหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่รู้สึกว่ารสชาติไม่เหมือนอยู่บ้าง”
น้าซย่าผู้แลอาหารการกินของมารดานางมีฝีมือในการทำอาหาร ทำให้นางมีประสาทรับรู้รสชาติดี รสชาติแตกต่างก็มิได้หมายถึงว่ายาจะมีปัญหา แต่อยู่ในจวนรองเจ้ากรมอันตรายรอบด้าน นางจำเป็นต้องรอบคอบ
“กากยายังอยู่หรือไม่”
“กากยาเมื่อวานให้เจี้ยงซวงไปเทไปไว้ที่พุ่มไม้ริมกำแพงแล้ว ของวันนี้ยังไม่ได้ทิ้งไป” สีหน้าเสี่ยวเหลียนยิ่งเคร่งเครียดขึ้น มั่นใจไปแล้วว่ายามีปัญหา
ซินโย่วคิดแล้วก็ถามขึ้นว่า “คุณหนูโค่วมีเงินทองสะสมหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ”
ซินโย่วกระซิบบอกเบาๆ “แอบไปเก็บกากยามา แล้วอ้างว่าไปซื้อผลไม้เชื่อมให้ข้า ออกไปหาร้านหมอที่ไกลจากจวนรองเจ้ากรมสักหน่อย จ้างท่านหมอตรวจดูหน่อย…”
เสี่ยวเหลียนฟังไปก็พยักหน้าไป จัดการยาน้ำที่เหลือนี้ก่อน แล้วค่อยสั่งให้บ่าวในเรือนหว่านฉิงไปจัดการ ถือโอกาสที่คนกำลังยุ่งเก็บกากยามา ก่อนจะออกจากจวนไป
เสี่ยวเหลียนออกไปไม่นาน สาวใช้ก็มารายงานว่านายหญิงรองพาคุณหนูสี่มา
“ชิงชิง วันนี้ดีขึ้นบ้างไหม” เทียบกับท่าทางสงบเสงี่ยมเมื่อวานตอนอยู่ในเรือนนายหญิงผู้เฒ่า วันนี้จูซื่อเผยรอยยิ้ม ท่าทางสนิทสนมอยู่มาก
คุณหนูสี่ต้วนอวิ๋นเยี่ยนยืนอยู่ข้างกายมารดา ตั้งแต่เข้ามาเรียกพี่ชิงคำเดียวก็ไม่ส่งเสียงอีก
ซินโย่วรู้สึกสะกิดใจขึ้นมา
ต้วนอวิ๋นเยี่ยนอายุไม่ถึงสิบขวบ กำลังอยู่ในวัยที่ร่าเริงช่างเจรจา แต่กลับห่างเหินกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่มาอยู่จวนรองเจ้ากรมได้สี่ปีแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอายุต่างจึงไม่เล่นด้วยกัน หรือว่าผู้ใหญ่กำชับไว้
“รบกวนท่านป้ารองมาเยี่ยมแล้ว ข้าเพิ่งกินยาไป รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี กินยากินข้าวตามเวลา ไม่นานก็หายดี…” จูซื่อกำชับน้ำเสียงอ่อนโยน นั่งอยู่พักหนึ่งก็พาบุตรสาวกลับไป
ซินโย่วส่งสายตาบอกให้สาวใช้เปิดของขวัญที่จูซื่อนำมา นอกจากของบำรุงธรรมดาทั่วไป ยังมีโสมภูเขามีอายุต้นหนึ่งด้วย
จวนรองเจ้ากรมเป็นตระกูลบัณฑิต กล่าวตรงๆ ก็คือไม่ค่อยมีเงินทอง ส่วนนายหญิงรองจูซื่อเป็นสะใภ้ของบุตรชายอนุไม่มีทางได้แตะต้องงานดูแลตระกูล ของขวัญเยี่ยมไข้นี้เรียกได้ว่าสูงค่ามาก
เดิมซินโย่วมีชีวิตที่อิสรเสรี ตอนนี้กลับต้องคิดให้มากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อมดำรงชีวิตทำให้ต้องเป็นเช่นนี้
จากนั้นนายหญิงผู้เฒ่ากับนายหญิงใหญ่ก็พากันมาเยี่ยม ตอนใกล้เที่ยงเสี่ยวเหลียนก็กลับมา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ตอนถามในใจซินโย่วก็พอรู้อยู่บ้างแล้ว
ตอนไม่มีคนอยู่ เสี่ยวเหลียนก็ไม่ปิดบังอาการตกใจ เอ่ยเสียงสั่นเครือเอ่ยว่า “คุณหนู ยา…มีปัญหา!”
“ดื่มน้ำก่อน ค่อยๆ พูด”
เสี่ยวเหลียนคว้าแก้วน้ำมาดื่มไปหลายอึก ปลายนิ้วมือที่กำแก้วไว้อดสั่นเทาไม่ได้ “ท่านหมอตรวจดูกากยาแล้ว ยาวันนี้มีเพิ่มมาอย่างหนึ่ง แม้มีฤทธิ์ระงับปวด แต่ขัดกับยาปรับธาตุบำรุงโลหิตของยาชุดนี้ ผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอกินแล้ว หากเบาจะปวดท้องอาเจียน หากหนักจะสลบจนเสียชีวิตได้…”
ซินโย่วฟังเงียบๆ จนจบ สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตามคนในเรือนหว่านฉิงมาให้หมด”
“คุณหนู…” เสี่ยวเหลียนสีหน้าไม่เข้าใจ พร้อมกับโทสะคุกรุ่น
ในจวนรองเจ้ากรม ถึงกับมีคนคิดทำร้ายคุณหนู!
“ไปตามมา”
สบตาดวงตาดำขลับคู่นี้แล้ว ในใจเสี่ยวเหลียนก็นิ่งลง ย่อเข่ารับคำ “เจ้าค่ะ”
ไม่นาน สองบ่าวหญิง สองสาวใช้ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าซินโย่ว
“พวกเจ้าคงได้ยินมาแล้วว่า ข้าตกหน้าผาศีรษะถูกกระแทก มีบางเรื่องก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เมื่อวานกลับมายังไม่ทันได้มีเวลา วันนี้พวกเจ้าแนะนำตนเองสักหน่อยก็แล้วกัน” ซินโย่วเริ่มมองไปทางสาวใช้ที่ชื่อเจี้ยงซวงก่อน
เจี้ยงซวงย่อเข่าลง “บ่าวชื่อเจี้ยงซวง ปกติดูแลหน้าที่ปัดกวาดห้อง ทำงานจิปาถะตามคำสั่งพี่เสี่ยวเหลียนเจ้าค่ะ”
สาวใช้อีกคนเอ่ยว่า “บ่าวชื่อหานเสวี่ย ทำหน้าที่เฝ้าประตูและไปที่ต่างๆ ตามคำสั่งคุณหนู”
บ่าวหญิงวัยกลางคนที่อายุอ่อนกว่าเล็กน้อยอีกคนเอ่ยว่า “บ่าวรับหน้าที่กวาดพื้นในลาน เมื่อก่อนคุณหนูเรียกบ่าวว่า หวางมามา”
บ่าวหญิงวัยกลางคนคนสุดท้ายที่เอ่ยขึ้นอายุราวห้าสิบกว่า สีหน้าระมัดระวังกิริยา ดูแล้วซื่อสัตย์รู้หน้าที่ “สามีบ่าวแซ่หลี่ ทำงานใช้แรงงานทั่วไปในเรือนเจ้าค่ะ”
ซินโย่วจ้องมองพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลี่หมัวมัว อายุไม่น้อยแล้ว ทำงานหนักไม่ลำบากหรือ”
หลี่หมัวมัวรีบเอ่ยว่า “คุณหนูล้อเล่นกับบ่าวแล้ว งานพวกนี้ล้วนเป็นงานที่บ่าวทำจนชินแล้ว คุณหนูไม่รังเกียจบ่าวมือไม้เงอะงะก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“ที่ไหนกันเล่า” ซินโย่วส่งสายตามองเสี่ยวเหลียน “เสี่ยวเหลียน หยิบแหวนเงินวงนั้นมาหน่อย”
เสี่ยวเหลียนสีหน้าตกใจ รีบเดินไปที่ข้างตู้เปิดหีบออก ลังเลเล็กน้อยก่อนจะหยิบแหวนเงินเกลี้ยงจากแหวนสิบกว่าวงขนาดไม่เท่ากันออกมา
“หลี่หมัวมัวลำบากเจ้าแล้ว”
หลี่หมัวมัวสีหน้าตกใจ “คุณหนู มิได้เจ้าค่ะ มิได้เจ้าค่ะ…”
แม้เสี่ยวเหลียนไม่เข้าใจซินโย่วปฏิบัติต่อหลี่หมัวมัวไม่เหมือนผู้อื่น แต่กลับเคลื่อนไหวว่องไว ดึงมือ หลี่หมัวมัวมาสวมให้นางด้วยตนเอง “ในเมื่อคุณหนูตกรางวัลให้แล้ว หลี่หมัวมัวก็อย่าได้ปฏิเสธ รีบลองว่าพอดีหรือไม่”
“คือ คือว่าไม่ได้เจ้าค่ะ…” หลี่หมัวมัวยังคงปฏิเสธ ท่าทางเหมือนไม่ยินดีทำตาม
ซินโย่วมองอยู่ข้างๆ ไม่เอ่ยถึงสองสาวใช้ แต่เห็นสายตาหวางมามาที่จ้องมองหลี่หมัวมัวฉายแววริษยาอย่างเห็นได้ชัด
พอทั้งสี่คนกลับไปแล้ว เสี่ยวเหลียนถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “คุณหนู เหตุใดตกรางวัลให้เพียงหลี่หมัวมัว”
หากต้องการซื้อใจคน ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อใจบ่าวหญิงใช้แรงงานผู้หนึ่ง
“เพียงแค่รู้สึกว่ามือหลี่หมัวมัวเหมาะกับการสวมแหวนมากก็เท่านั้น” ซินโย่วลูบคลำนิ้วมือ
สาวน้อยนิ้วเรียวยาวขาวละมุน แต่กลับว่างเปล่าไร้เครื่องประดับใด เสี่ยวเหลียนคิดถึงนิ้วมือที่ป้อมอ้วนและหยาบของหลี่หมัวมัว ก็อดมีสีหน้าพูดไม่ออกไม่ได้
ซินโย่วกลับรู้สึกว่าอารมณ์ดีไม่เลว
เจ้าของมือคู่นั้นที่แท้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ใกล้เพียงเบื้องหน้า
“คุณหนู ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีแหวนเงิน” เสี่ยวเหลียนถามคำถามที่สงสัยอีกคำถามหนึ่ง
กล่องใส่เครื่องประดับเงินและทองเหล่านั้น กุญแจอยู่ในมือนางมาตลอด
ซินโย่วได้ยินก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูโค่วคงมิใช่ไม่มีแม้แต่แหวนเงินกระมัง”
เสี่ยวเหลียนอึ้งพูดไม่ออก ในใจรู้สึกแย้งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไปอุ้มกล่องไม้หนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้งมาก่อน แล้วก็ไปขนกล่องไม้อีกสองใบในตู้ออกมา พอเปิดออกดู
ในกล่องไม้ล้วนเป็นเครื่องประดับงานฝีมือประณีต เหมาะสำหรับสาวน้อยสวมใส่ ปิ่นปักผมและเครื่องประดับหยกในกล่องแค่มองก็รู้ว่าราคาไม่ธรรมดา
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นของคุณหนู” สีหน้าเสี่ยวเหลียนไม่อาจปิดบังความภูมิใจ “ยังมีผ้าอีกสองสามหีบ ล้วนอยู่ในห้องฝั่งตะวันตก”
หากมีคนคิดว่าคุณหนูตนถูกรับมาเลี้ยง แต่ความจริงสมบัติคุณหนูมากยิ่งกว่าคุณหนูหลายท่านในจวนมาก
ซินโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้นว่า “มีแค่พวกนี้หรือ”
เสี่ยวเหลียนอดอึ้งไปไม่ได้ มองเห็นสมบัติเต็มหีบแล้วก็ลังเลเอ่ยขึ้นว่า “พวกนี้…น้อยมากหรือ”
“เจ้าเคยบอกว่า ท่านปู่คุณหนูโค่วค้าขายในช่วงแผ่นดินวุ่นวายจนร่ำรวย แต่กลับมีบุตรชายเพียงคนเดียว บิดาคุณหนูโค่วเรียนหนังสือสอบเป็นขุนนางถึงระดับเจ้าเมือง ยังมีบุตรสาวเช่นคุณหนูโค่วเพียงผู้เดียว สี่ปีก่อน มารดาคุณหนูโค่วก่อนตายได้ส่งคุณหนูโค่วมาเมืองหลวง เช่นนั้นสมบัติสองชั่วอายุคนของตระกูลโค่วอยู่ที่ใด”
เสี่ยวเหลียนนิ่งอึ้ง สีหน้าจากสับสนเริ่มกลายเป็นตกใจ พึมพำว่า “บ่าว บ่าวไม่รู้…”
ซินโย่วเห็นเช่นนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้
สี่ปีก่อน เสี่ยวเหลียนเข้าเมืองหลวงมาพร้อมกับโค่วชิงชิงอายุเพียงสิบเอ็ด ไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก
แต่อย่างไรต้องมีคนรู้