สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 7 แม่นม

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 7 แม่นม

ซินโย่วได้ยินต้วนอวิ๋นหลางพูดจบ ก็ยิ้มถามขึ้นว่า “พี่รองต้องการพูดแค่เรื่องพวกนี้หรือ”

“อ้อ คุยเล่น คุยเล่นเท่านั้น น้องชิง เจ้าพักรักษาตัวให้ดีๆ นะ อีกสองวันข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่”

ต้วนอวิ๋นหลางกลบเกลื่อนผ่านไป ก่อนจะรีบเดินออกไป

ต้วนอวิ๋นเฉินรอต้วนอวิ๋นหลางออกมาอยู่ที่ลาน พอเดินออกจากเรือนหว่านฉิงก็กระซิบเตือนว่า “น้องรอง เจ้าก็โตแล้ว การไปมาหาสู่กับน้องชิงก็ควรระวังธรรมเนียมด้วย”

ต้วนอวิ๋นหลางสีหน้าแปลกใจ “น้องชิงเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเรามาเยี่ยมไม่ใช่เรื่องที่สมควรหรือ ไม่ระวังธรรมเนียมตรงไหนหรือ”

“ห้องนอนน้องชิง จะอยู่นานได้อย่างไร”

ต้วนอวิ๋นหลางโต้กลับด้วยสัญชาตญาณ “ข้าเห็นพี่จู๋มาพักที่จวนเราหลายครา พี่ใหญ่ก็มิใช่ชิดใกล้สนิทสนมหรือ”

“น้องรอง!”

เห็นสีหน้าเข้มของต้วนอวิ๋นเฉิน ต้วนอวิ๋นหลางรีบเอ่ยว่า “ทราบแล้วๆ วันหน้าข้าจะระวัง”

แม้ต้วนอวิ๋นหลางให้ความเคารพพี่ชายที่เรียนหนังสือเก่งมากผู้นี้มาตลอด แต่ครั้งนี้ในใจเขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับน้องชิง

เห็นชัดว่าพี่ใหญ่ปฏิบัติต่อน้องชิงและพี่จู๋ต่างกัน ยังดีที่น้องชิงจำอันใดไม่ได้แล้ว วันนี้ได้ยินคำพูดเขาพวกนั้นก็คงไม่คิดเสียดายพี่ใหญ่แล้ว

เรือนหว่านฉิง

ซินโย่วถามเสี่ยวเหลียนอย่างไม่แสดงท่าทีว่า “คำพูดคุณชายรองเจ้าได้ยินใช่ไหม”

เสี่ยวเหลียนพยักหน้า พลันลังเลว่าควรเปิดโปงวาจาเหลวไหลของคุณชายรองหรือไม่

ซินโย่วกอดหมอน ปลายนิ้วลูบไล้หมู่ดอกกล้วยไม้เบาๆ “เสี่ยวเหลียน คุณหนูโค่วมีใจปฏิพัทธ์ต่อคุณชายใหญ่ใช่หรือไม่”

วาจาเอ่ยถามกะทันหัน ทำให้เสี่ยวเหลียนอ้าปากค้าง ลืมเอ่ยตอบ

ซินโย่วเองก็ไม่รีบร้อนต้องการคำตอบ วางหมอนไว้ด้านหลังก่อนจะพิงลงไป

“ไม่มีเรื่องเช่นนี้เจ้าค่ะ แต่ไรมาคุณหนูล้วนเชื่อฟังผู้ใหญ่…” จากนั้นแววตาก็เข้มขึ้น เสี่ยวเหลียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะอึกอักว่า “คุณหนูไว้ทุกข์ให้นายท่านกับนายหญิงมาตลอด จะมีใจคิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร…หลังจากนายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้นออกมา คุณหนูจึงได้ให้ความสนใจต่อคุณชายใหญ่…”

ซินโย่วเห็นท่าทางอธิบายอย่างอึกอักของเสี่ยวเหลียนก็เริ่มเรียบเรียงข้อมูล

ไม่ว่าโค่วชิงชิงเริ่มมีใจปฏิพัทธ์ต่อต้วนอวิ๋นเฉินเมื่อใด อย่างไรนางกับนายหญิงผู้เฒ่าก็ยินดีกับการแต่งงานนี้ แต่บ้านใหญ่[1]ไม่ยินดี

ภัยถึงแก่ชีวิตของโค่วชิงชิง เพราะเรื่องการแต่งงานนี้ หรือว่าเรื่องทรัพย์สมบัติ หรือทั้งสองเรื่อง

“นอกจากเรื่องพวกนี้ คุณหนูโค่วก็ไม่มีเรื่องใดกับผู้ใดอีกแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่มีแล้วจริงๆ” เสี่ยวเหลียนเอ่ยตอบท่าทางเก้กัง

“เช่นนั้นก็ดี เตรียมตัวเรื่องที่หารือกันก่อนหน้านี้สักหน่อย”

กลางดึก ซินโย่วพลันปวดท้องไม่หยุด ทนถึงฟ้าสางจึงได้หมดสติไป

ทั้งเรือนหว่านฉิงวุ่นวายกันไปหมด เจี้ยงซวงกับหานเสวี่ยสองสาวใช้ตกใจเอาแต่ร้องไห้ “พี่เสี่ยวเหลียน ทำอย่างไรดี”

“หานเสวี่ย เจ้าไปที่เรือนนายหญิงผู้เฒ่า…” เสี่ยวเหลียนหน้าซีดกระทืบเท้าร้อนใจ “เอาเถอะ ข้าไปเองดีกว่า พวกเจ้าดูแลคุณหนูให้ดี!”

ฟ้ายังมืดอยู่ ลมยามเช้าเริ่มพัดปะทะเข้ากับใบหน้าของสาวใช้ที่วิ่งตะบึง ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น

เรือนพักนายหญิงผู้เฒ่าชื่อว่าหรูอี้ถัง ยามนี้ประตูลานด้านนอกเปิดแล้ว สาวใช้และบ่าวสูงวัยเริ่มทำงานกันแล้ว เสี่ยวเหลียนวิ่งเข้ามารวดเร็วราวสายลม หอบหายใจเอ่ยว่า “ข้า ข้าต้องการพบนายหญิงผู้เฒ่า!”

“น้องเสี่ยวเหลียน นี่เจ้าเป็นอันใดไปหรือ” สาวใช้นางหนึ่งถามอย่างแปลกใจ

เสี่ยวเหลียนคว้ามือสาวใช้ “คุณหนูเราล้มป่วยแล้ว ข้าต้องการพบนายหญิงผู้เฒ่า!”

สีหน้าร้อนใจของเสี่ยวเหลียนกับแรงมือทำให้สาวใช้ตกใจ รีบเข้าไปรายงานทันที

“คุณหนูนอกล้มป่วยหรือ” คนสูงวัยมักตื่นเช้า ยามนี้นายหญิงผู้เฒ่าล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว กำลังค่อยๆ ดื่มน้ำอุ่นแก้วหนึ่งอยู่ พอได้ยินสาวใช้รายงานก็รีบให้เสี่ยวเหลียนเข้ามา

เสี่ยวเหลียนพุ่งเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้านายหญิงผู้เฒ่า ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา “นายหญิงผู้เฒ่า รีบช่วยคุณหนูเราด้วย คุณหนูไม่ค่อยดีแล้ว…”

“เหตุใดคุณหนูเจ้าจึงไม่ค่อยดีแล้ว เมื่อวานไม่ใช่ว่ายังดีๆ อยู่หรือ” นายหญิงผู้เฒ่าตวาดถามดัง

เสี่ยวเหลียนซุกหน้าลงเอ่ยว่า “ตอนกลางวันคุณหนูก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเที่ยงคืนก็ปวดท้องขึ้นมา ทนมาจนถึงยามฟ้าใกล้สางก็หมดสติไปเจ้าค่ะ…”

“เหลวไหล ในเมื่อเริ่มปวดท้องตั้งแต่เที่ยงคืน เหตุใดจึงปล่อยมาถึงตอนนี้เพิ่งมารายงาน” นายหญิงผู้เฒ่าสั่งการให้สาวใช้ไปตามหมอพร้อมกับเดินออกไป

เสี่ยวเหลียนรีบตามไปพลางร้องไห้อธิบายว่า “คุณหนูไม่ให้มารายงาน เกรงว่าจะรบกวนการนอนของนายหญิงผู้เฒ่า รอให้ฟ้าสางค่อยมาเจ้าค่ะ”

กลุ่มคนพากันเดินไปยังเรือนหว่านฉิง นายหญิงผู้เฒ่าเห็นหลานสาวนอนหลับตาสีหน้าซีดขาว ก็เอ่ยเรียก “ชิงชิง…” นายหญิงผู้เฒ่าส่งเสียงเรียกดังพร้อมกับกุมมือซินโย่วเอาไว้

มือนั้นเย็นมาก คล้ายรับรู้อันใดได้ พลันคว้ามือนายหญิงผู้เฒ่าไว้ด้วยสัญชาตญาณ เสียงพึมพำดังเล็ดลอดออกจากปากสาวน้อย “แม่นม…”

นายหญิงผู้เฒ่าฟังไม่ชัด “ชิงชิง เจ้าว่าอันใดนะ”

“แม่นม แม่นม…” สาวน้อยสลบไม่ได้สติเอาแต่ร้องเรียกเช่นนี้

นายหญิงผู้เฒ่าหน้าบึ้งมองไปทางเสี่ยวเหลียน

เสี่ยวเหลียนปาดน้ำตาสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “พอคุณหนูหมดสติไปก็เอาแต่ร้องเรียกเช่นนี้…”

นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินก็สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา พอหมอหญิงรีบมาตรวจอาการซินโย่วแล้วก็ถามขึ้นทันทีว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหญิงวิเคราะห์ว่า “คุณหนูชีพจรเต้นวิกฤต น่าจะเพราะอาการบาดเจ็บภายในทรุดลง ข้าจะลองจ่ายยาชุดหนึ่งดูก่อน หากไม่ดีขึ้น นายหญิงผู้เฒ่าก็ไปเชิญหมอมีชื่อท่านอื่นดีกว่า”

นายหญิงผู้เฒ่าสีหน้ายิ่งย่ำแย่ลง ดีที่รอให้เสี่ยวเหลียนต้มยาเสร็จประคองซินโย่วดื่มลงไปแล้ว หมอหญิงตรวจชีพจรอีกครั้ง ชีพจรก็ดีขึ้นมาก แต่นางยังคงไม่ได้สติ ปากก็ยังร้องเรียกแม่นมไม่หยุด

เสี่ยวเหลียนโขกศีรษะดังพร้อมกับเอ่ยว่า “นายหญิงผู้เฒ่า ขอท่านได้โปรดเรียกตัวฟางหมัวมัวกลับมาเถอะเจ้าค่ะ คุณหนูได้ยินเสียงฟางหมัวมัวอาจจะตื่นขึ้นมา…”

นายหญิงผู้เฒ่าเงียบไปเป็นนานก่อนจะพยักหน้า

ใกล้ค่ำ รถม้าคันหนึ่งที่ไม่สะดุดตาก็มาจอดลงที่จวนรองเจ้ากรม เป็นสตรีมีอายุราวสี่สิบกว่าหน้าตากระจ่างงาม สตรีผู้นั้นก้าวเดินรวดเร็วตามบ่าวนำทางมายังเรือนหว่านฉิง เห็นสาวน้อยนอนบนเตียงก็ปรี่เข้าไปคุกเข่า “คุณหนู คุณหนู ท่านตื่นเถิด บ่าวมาหาคุณหนูแล้ว…”

พูดไปแล้วก็แปลก สาวน้อยที่หลับตานิ่งคล้ายได้ยินเสียงร้องเรียก แพขนตากะพริบเบาๆ ดิ้นรนคล้ายพยายามจะตื่นขึ้นมา

เสี่ยวเหลียนสีหน้าดีใจ “ฟางหมัวมัว คุณหนูได้ยินแล้ว ท่านเรียกดังอีกหน่อย!”

ฟางหมัวมัวรีบพยักหน้า ตะโกนดังยิ่งขึ้น

เปลือกตาสาวน้อยสั่นไหว ในที่สุดก็ลืมตาตื่นขึ้น

“คุณหนู!” ฟางหมัวมัวดีใจมาก กุมมือซินโย่วไว้เต็มแรง

ซินโย่วกะพริบตาปริบๆ แววตาเลื่อนลอยเริ่มกระจ่างใส

นายหญิงผู้เฒ่าก้าวเข้ามา “ชิงชิง เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านยาย ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ซินโย่วมองอย่างสงสัย ก่อนจะเบนสายตาไปยังฟางหมัวมัว ก็พลันตกใจนิ่งอึ้ง น้ำตาร่วงริน “แม่นม แม่นมเองหรือ”

“บ่าวเองเจ้าค่ะ คุณหนูยังจำบ่าวได้…”

นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินเสียงร้องไห้ของฟางหมัวมัว แววตาก็เข้มขึ้น

ชิงชิงสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ทว่ายังจำแม่นมนางได้

“ท่านยาย…”

นายหญิงผู้เฒ่าเปลี่ยนสีหน้าอ่อนโยนเอ่ยว่า “ชิงชิง เจ้าว่าอย่างไร”

สาวน้อยกวาดตามองฟางหมัวมัวทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงขลาดกลัวว่า “ให้แม่นมอยู่กับข้าต่อ…ได้หรือไม่ ไม่รู้เหตุใด ชิงชิงจำแม่นมได้เพียงผู้เดียว…”

นายหญิงผู้เฒ่าจ้องมองฟางหมัวมัวพลางพยักหน้า “เช่นนั้นก็อยู่ต่อไปก็แล้วกัน”

“ขอบคุณนายหญิงผู้เฒ่า ขอบคุณนายหญิงผู้เฒ่า” ฟางหมัวมัวโขกศีรษะซาบซึ้ง

ซินโย่วแอบสบตากับเสี่ยวเหลียน กระดกมุมปากเล็กน้อย

[1] บุตรชายคนโตแต่งงานแล้วก็คือบ้านใหญ่ ในที่นี้หมายถึงครอบครัวต้วนเหวินซง บุตรชายคนรองแต่งงานแล้วก็คือบ้านสอง ในที่นี้หมายถึงครอบครัวของต้วนเหวินไป๋

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท