ตอนที่ 12 ชิงชิง
แสงตะวันสาดส่องเจิดจ้า กลับถูกกิ่งไม้ใบไม้รกครึ้มบดบังไปเกินครึ่ง
บนต้นไม้มีสาวน้อยนั่งอยู่ วานรนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ
สีหน้าเสี่ยวเหลียนแทบไม่อยากจะเชื่อ นางขยี้ตาเต็มแรง
ไม่ได้ตาฝาด!
จากนั้นนางก็เบิกตาโตจ้องมองสาวน้อย ปีนตามเจ้าวานรนำขึ้นไปต่อ พริบตาก็ถูกใบไม้บดบังจนมองไม่เห็นร่าง ทำเอาอดขยี้ตาไม่ได้
ซินโย่วบนต้นไม้สีหน้าแข็งค้าง สายตามองจ้องไปที่แห่งหนึ่ง
กิ่งไม้ท่อนหน้าสองท่อนขัดกันแข็งแรงอยู่ ที่ตรงนั้นมีคนนอนอยู่ ไม่สิ เป็นศพหนึ่ง
ใบหน้าศพแยกแยะไม่ได้แล้ว เพียงแต่รูปร่างและเสื้อผ้ากลับบอกได้ว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง
ซินโย่วอุดปากแน่น แทบจะขย้อนออกมา ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป กระโดดลงจากต้นไม้ทันที
เสี่ยวเหลียนเห็นซินโย่วพลันกระโดดลงจากต้นไม้ด้วยอาการสองมือสั่นเทา ก็อดตกใจไม่ได้ “เกิดอันใดขึ้น”
ซินโย่วผ่อนลมหายใจครู่หนึ่งจึงได้เงยหน้ามองไปทางเสี่ยวเหลียน
ใบหน้าซีดขาวทำให้สีหน้าเสี่ยวเหลียนแข็งค้างไปเช่นกัน ถามน้ำเสียงสั่นเครือขึ้นว่า “บนต้นไม้…บนต้นไม้มีอันใดหรือ”
ซินโย่วมองดูใบหน้าเสี่ยวเหลียนทีหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น
ก้อนหินบนพื้นมีต้นหญ้าอ่อนทะลุขึ้นมาอย่างซุกซน แสดงให้เห็นถึงพลังชีวิตแรงกล้า
ทันทีที่เกิดเรื่องที่ไม่อาจทนรับได้ การหลบเลี่ยงไม่ใช่หนทางที่ดี
นางก็เป็นคนเช่นนี้ เสี่ยวเหลียนเองก็เช่นกัน
ลมเหมือนจะเริ่มแรงขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนของสาวน้อยกระทบโสตประสาทของเสี่ยวเหลียน น้ำเสียงที่ทำใจให้สงบนิ่งลงได้แล้ว “บนต้นไม้…มีศพผู้หญิง”
“ศพผู้หญิง?” เสี่ยวเหลียนสีหน้าถอดสี ก้าวเข้าหาซินโย่วด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับเข่าอ่อนล้มพับลงกับพื้น
สองมือกำหญ้าอ่อนไว้แน่น น้ำตาพรั่งพรูอย่างไม่อาจระงับ
“ใช่คุณหนูเราหรือไม่” เสี่ยวเหลียนเงยหน้าถามอย่าสิ้นหวัง ในใจก็พอรู้คำตอบแล้ว
นอกจากคุณหนูแล้วยังจะมีผู้ใดอีก
ที่แท้ตอนคุณหนูตกหน้าผาก็มาติดอยู่ที่ต้นไม้นี่ จึงไม่มีคนหานางพบ
ตอนนั้นคุณหนูยังมีสติหรือไม่
จะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่?
ตอนนั้นจะยังมีสติอยู่หรือไม่ รอคอยจนไม่มีคนมาช่วยนางมาตลอดหรือไม่
คำถามเหล่านี้ราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจของเสี่ยวเหลียน ทำให้นางร้องไห้อย่างไม่อาจคุมสติตนเองได้
ซินโย่วยืนนิ่งไม่มีคำตอบ
เจ้าวานรมองทั้งสองคนอย่างนึกสงสัย เห็นพวกนางคนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่งไม่ขยับ ก็ส่งเสียงเรียกอย่างร้อนใจ
ซินโย่วถอนหายใจ เอ่ยเตือนเสี่ยวเหลียน “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาร้องไห้ อีกไม่นานสองผู้คุ้มกันนั่นก็จะกลับมาแล้ว”
เสี่ยวเหลียนหยุดร้องไห้ ลุกขึ้นยืนจ้องมองซินโย่วถามขึ้นว่า “ท่านมองละเอียดแล้วหรือ ใช่คุณหนูเราหรือ”
ซินโย่วส่ายหน้า กล่าวตามตรงว่า “เน่าเปื่อยจนไม่อาจแยกแยะสภาพได้แล้ว”
เสี่ยวเหลียนสั่นเทาไปทั้งตัว ปาดน้ำตาเงอะงะ ขอร้องน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง”
ซินโย่วปีนขึ้นไปยังง่ามไม้ที่ใกล้กับพื้นที่สุด ยื่นมือให้เสี่ยวเหลียน
เดิมเสี่ยวเหลียนคิดว่าปีนต้นไม้จะยากมาก แต่มือเรียวที่ยื่นมามีแรงมากกว่าที่นางคิดไว้มาก พอตั้งสติได้อีกครั้งก็ขึ้นมาบนต้นไม้แล้ว
มองตามไปก็เห็นศพผู้หญิงเน่าเปื่อยกระดูกขาวโพลนไปแล้ว
เสี่ยวเหลียนสะอึกกึก ยกมือขึ้นปิดปากแน่น
แม้ว่าสีเสื้อผ้าจะแยกแยะได้ยากแล้ว แต่สาวใช้ที่คุ้นเคยกับคุณหนูตนอย่างมากยังคงจดจำได้อย่างรวดเร็ว “เป็นคุณหนูเรา! วันนั้นตอนคุณหนูออกจากบ้านมาก็สวมชุดนี้!”
เสี่ยวเหลียนคิดปีนไปข้างศพ แต่ร่างกลับโงนเงนเกือบร่วงหล่นจากต้นไม้
“ระวัง” ซินโย่วยื่นมือไปประคองนางไว้ สายตาเห็นใจอยู่มาก เอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เวลาจำกัด พวกเราไม่มีเวลามาเก็บศพคุณหนูโค่ว ไม่อาจนำร่างนางฝังดินได้ ข้ามีข้อเสนอ เจ้าลองฟังดูหน่อยไหม”
“เชิญท่านกล่าวมาได้” เสี่ยวเหลียนมือไม้เย็นเยียบ จิตใจยิ่งเยียบเย็นยิ่งกว่า ทำให้รู้สึกได้ว่าสองมือนั่นส่งความอบอุ่นผ่านมาให้นางได้อย่างชัดเจน
“ตอนเมื่อครู่ที่ถูกเจ้าวานรนำมาที่นี่ ข้าบังเอิญเหลือบมองเห็นถ้ำแห่งหนึ่ง อีกสักครู่พวกเราไปสำรวจกัน หากที่นั่นเหมาะสม ก็จะนำคุณหนูโค่วไปไว้ที่นั่นชั่วคราว รอให้มีโอกาสเหมาะสมค่อยกลับมาฝังศพนาง เจ้าว่าเป็นอย่างไร”
สาวใช้ที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพยักหน้าทันที “ข้าฟังคำท่าน”
ซินโย่วพาเสี่ยวเหลียนลงจากต้นไม้ ตรงไปยังถ้ำแห่งนั้น
อาจเพราะสวรรค์เมตตาสงสารคุณหนูโค่วที่ตายอย่างน่าอนาถ จึงได้ให้ซินโย่วพบถ้ำด้านนอกแคบด้านในกว้างขวางนี้โดยบังเอิญ และยังไม่ชื้น ไม่จำเป็นต้องหาที่อื่น จากนั้นปัญหายุ่งยากตามมาก็คือจะเคลื่อนย้ายร่างคุณหนูโค่วมาอย่างไร
ไม่ว่าเสี่ยวเหลียนจะภักดีต่อโค่วชิงชิงเพียงใด แต่ก็รู้ว่าการจะเคลื่อนย้ายศพลงจากบนต้นไม้นั้นเข้ามาในถ้ำนี้ยากเย็นเพียงใด
ซินโย่วคิดได้วิธีหนึ่งที่เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะนัก “ใช้ม่านประตูรถม้า”
“ม่านประตูรถม้า?” เสี่ยวเหลียนตกตะลึง “แต่รถม้าจอดอยู่เชิงเขา ไปมาก็ใช้เวลาไม่น้อย หากสองผู้คุ้มกันนั่นกลับมาจะทำอย่างไร”
เรื่องว่าจะอธิบายกับสารถีอย่างไร เสี่ยวเหลียนก็ยิ่งนึกภาพไม่ออก
“ข้าฝีเท้าเร็ว จะรีบกลับมา หากสองผู้คุ้มกันกลับมาก่อน เจ้าก็บอกพวกเขาว่าข้าวิ่งไล่เจ้าวานรไป เจ้าตามไม่ทัน ให้พวกเขารีบไปตามหาข้า”
ได้ยินซินโย่วสั่ง เสี่ยวเหลียนก็พยักหน้าอึ้งๆ
ซินโย่วไปได้ครู่หนึ่ง สองผู้คุ้มกันก็กลับมาก่อนดังคาด
“หาหยกประดับไม่พบ” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพบว่าขอบตาเสี่ยวเหลียนแดงก่ำ ก็ตกใจ “พี่เสี่ยวเหลียน เป็นอันใดไปหรือ”
ยามนี้เสี่ยวเหลียนไม่ต้องฝืนบีบน้ำตา น้ำตาก็ร่วงรินลงมา “คุณหนูหายตัวไปแล้ว!”
สองผู้คุ้มกันตกใจ ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “เป็นไปได้อย่างไร!”
“ต้องโทษเจ้าเจ้าวานรซุกซนนั่น แย่งปิ่นปักผมของคุณหนูหนีไป คุณหนูร้อนใจไล่ตามไป พริบตาก็หายไปแล้ว…”
สองผู้คุ้มกันร้อนใจ “คุณหนูนอกวิ่งไปทางไหน”
เสี่ยวเหลียนชี้มือไปทางหนึ่ง แล้วก็ชี้มือไปอีกทางหนึ่ง
“ทางไหนกันแน่?”
สาวใช้ปิดหน้าร่ำไห้ “ข้าลืม ข้าหันมาทางนี้!”
สองผู้คุ้มกันสีหน้าปั้นยาก ตัดสินใจเอ่ยว่า “พวกเราแยกกันออกไปตามหาคุณหนูนอก พี่เสี่ยวเหลียน พี่รออยู่ตรงนี้ อีกครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะกลับมาเจอกัน”
เสี่ยวเหลียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่ชายทั้งสองแล้ว”
สองผู้คุ้มกันแยกกันออกค้นหา เสี่ยวเหลียนชะเง้อมองอย่างร้อนใจ ในที่สุดก็เห็นเงาร่างที่ทำให้นางคลายความร้อนใจลง รีบเข้าไปบอกว่า “สองผู้คุ้มกันกลับมาแล้ว แล้วก็ออกไปตามหาท่านแล้ว อีกสักครู่ก็จะกลับมาพบกันที่นี่”
ซินโย่วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตรงไปหาต้นไม้นั้น
เสี่ยวเหลียนรีบก้าวตามไป ก็เห็นซินโย่วขึ้นต้นไม้ไปแล้ว จึงตะโกนเรียกคุณหนูอย่างร้อนใจ
ซินโย่วก้มหน้าลงมอง ไม่ได้ก้มลงไปดึงมือเสี่ยวเหลียนที่ชูสูงรออยู่
“เจ้ายืนบนต้นไม้ไม่มั่น ข้าเองดีกว่า”
“คุณหนู…” เสี่ยวเหลียนสีหน้าตกใจ พลันเอ่ยอันใดไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าร่างโค่วชิงชิงกลายเป็นกองกระดูกขาวแล้ว ไม่ได้มีน้ำหนักมากมายอันใด ซินโย่วใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกและปาก กลั้นใจเก็บศพอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกลับถึงพื้น
ทั้งสองคนช่วยกันจับมุมผ้าม่านประตูห่อศพคนละข้าง เคลื่อนศพขึ้นไปยังถ้ำ
มองก้อนหินที่ถูกเคลื่อนมาปิดปากถ้ำเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเหลียนก็ขอบตาแดงอีกครั้ง โขกศีรษะให้กับปากถ้ำสองสามที
ซินโย่วกำลังล้างมือถูไปมาอยู่ริมทะเลสาบ ทำให้เจ้าวานรมองอย่างอยากรู้
ผู้คุ้มกันที่กลับมาก่อนเห็นภาพนี้เข้าก็ตวาดใส่ทันทีว่า “เจ้าเดรัจฉาน เจ้ายังกล้าหยอกคุณหนูนอกเล่นอีกหรือ!”
เจ้าวานรวักน้ำใส่หน้าผู้คุ้มกันก่อนจะวิ่งหนีหายไปทันที