ตอนที่ 36 ร่วมมือ
ฟ้ายังไม่มืด คนบนท้องถนนไปมาขวักไขว่ ครึกครื้นเป็นพิเศษ
ซินโย่วนั่งอยู่บนรถม้าตรงไปยังร้านหนังสือชิงซง
ในรถม้า เสี่ยวเหลียนกระซิบถามขึ้นว่า “คุณหนู นายหญิงผู้เฒ่าให้ท่านซื้อร้านหนังสือชิงซงจริงหรือเจ้าคะ”
ซินโย่วยิ้ม “เล่นอุบายนี้ นางก็ย่อมต้องยอมซื้อให้ข้า”
เสี่ยวเหลียนคิดไม่ตก แต่ในใจกลับรู้สึกมั่นใจไม่น้อย หากก็กังวลถึงอีกปัญหาหนึ่ง “เช่นนั้นหากเจรจาราคาไม่ได้ เจ้าของร้านหนังสือชิงซงไม่ขายล่ะเจ้าคะ”
ซินโย่วมุมปากแย้มยิ้มยิ่งกดลึก “ขอเพียงอีกฝ่ายคิดปล่อย ก็ไม่มีราคาที่จะเจรจาไม่ได้ หากไม่คิดขายจริงๆ เมืองหลวงกว้างใหญ่ย่อมมีร้านที่ทำการค้าไม่ดี ไม่ใช่มีเพียงแค่ร้านหนังสือชิงซง”
เสี่ยวเหลียนโล่งอก “เช่นนั้นบ่าวก็วางใจแล้ว”
ซินโย่วหรี่เสียงสั่งการ เสี่ยวเหลียนอดตกใจพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้
ขณะที่เอ่ย ก็มาถึงร้านหนังสือชิงซง
ซินโย่วลงจากรถม้า แวบแรกที่มองกลับไม่ได้มองไปทางร้านหนังสือชิงซง แต่มองไปยังฝั่งตรงข้าม
หน้าประตูร้านหนังสือหย่าซินไม่ได้มีกลุ่มคนมุงเหมือนวันก่อน มองเห็นประตูร้านกว้าง มีลูกค้าเข้าออกตลอดเวลา
ก่อนหันมามองร้านหนังสือชิงซงที่ยังคงเงียบเหงา ลูกค้าเบาบาง ผู้ดูแลร้านกับคนงานพากันจ้องมองหน้ากันไปมาท่าทางเบื่อหน่าย
“เอ๋ คุณหนูท่านนั้นมาอีกแล้ว” คนงานเห็นซินโย่วก็ตกใจพลางกระตือรือร้นเข้ามาต้อนรับ
ผู้ดูแลร้านกลับแอบกวาดตามองพ่อบ้านด้านหลังซินโย่ว คาดเดาจุดประสงค์ของคุณหนูที่รู้จักกับใต้เท้าเฮ่อท่านนี้ว่ามาเยือนร้านสองครั้งในวันเดียวกัน
ซินโย่วเอียงตัวหลบเล็กน้อย “นี่คือพ่อบ้านต้วนจวนรองเจ้ากรม มาเจรจาธุระเป็นเพื่อนข้า”
“พ่อบ้านต้วน” ผู้ดูแลร้านประสานมือคำนับ
พ่อบ้านประสานมือคำนับตอบ
ผู้ดูแลร้านมองซินโย่วกับพ่อบ้านอย่างลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่าถามซินโย่วว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูมาเจรจาธุระอันใดหรือ”
“วันนี้ตอนเช้าที่มาเดินดูในร้านหนังสือ ได้ยินผู้ดูแลร้านบอกว่าเจ้าของร้านของท่านประสงค์ขายร้านหนังสือ พอดีข้าอยากเปิดร้านหนังสือ กลับไปรายงานผู้ใหญ่ที่บ้านแล้ว ผู้ใหญ่ให้พ่อบ้านมาเป็นเพื่อนข้าสอบถามเรื่องนี้”
ผู้ดูแลร้านตกใจ “คุณหนูคิดเปิดร้านหนังสือ?”
ซินโย่วพยักหน้า “ใช่”
“เปิดร้านหนังสือไม่ใช่เรื่องง่าย…” ผู้ดูแลร้านพลันได้สติว่าคำพูดนี้ไม่ควรเป็นเขาเอ่ย จึงรีบหุบปาก
“ไม่ง่ายจริง แต่ข้ามีท่านยายสนับสนุน ต้องการเปิดร้านหนังสือ แล้วก็มิใช่ว่ามีผู้ดูแลร้านและทุกคนผู้มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือหรือ”
ผู้ดูแลร้านนิ่งอึ้งไปทันที
ความหมายของคุณหนูก็คือ หากซื้อร้านหนังสือชิงซง คนงานในร้านหนังสือก็ไม่ต้องหางานใหม่
ผู้ดูแลร้านตื่นเต้นใจเต้นโครมคราม
ตั้งแต่เจ้าของร้านผู้เฒ่าล้มป่วย บุตรชายจึงรับช่วงต่อ กิจการร้านหนังสือก็เริ่มทรุดลง หลังท่านผิงอันย้ายไปร้านหนังสือหย่าซินแล้วก็ยิ่งขาดทุน
บุตรชายเจ้าของร้านไม่ได้สนใจร้านหนังสือ พอท่านผู้เฒ่าล้มป่วยจากไปแล้ว ก็คิดแต่จะมีชีวิตที่อิสรเสรี คิดจะขายร้านหนังสือชิงซงมานานแล้ว
แล้วร้านหนังสือตรงข้ามยังนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีคนคิดซื้อกิจการร้านหนังสือชิงซงที่เหลวแหลกนี้ไว้เป็นแน่ ก็มีบ้างที่คิดฉวยโอกาสกดราคาเก็บของถูก แต่เงินที่ยอมจ่ายนั้นไม่เพียงพอจะซื้อร้านหนังสือพร้อมเรือนพักและโรงพิมพ์ด้านหลัง
ผู้ดูแลร้านผูกพันกับร้านหนังสือ และผูกพันกับบรรดาคนงานเก่าแก่ที่ทำงานร่วมกับเขามานานปี หากเจ้าของร้านคนใหม่ยินดีรับช่วงต่อทั้งหมด เขาก็จะยินดีอย่างที่สุด
ผู้ดูแลร้านไม่เชื่อว่านางยังเป็นเพียงแค่คุณหนูน้อย จะมาดำเนินกิจการร้านหนังสือ แต่ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าผู้ใหญ่ในบ้านให้การสนับสนุน คล้ายว่าน่าจะได้กระมัง
ไม่แน่ว่าเพราะคุณหนูท่านนี้คิดทำเล่นๆ รอให้ความรู้สึกแปลกใหม่ผ่านพ้นไป ก็จะให้คนที่บ้านมาจัดการดูแลต่อ
“ท่านเจ้าของร้านของพวกเราไม่อยู่ที่นี่ ท่านรอสักครู่ ข้าให้คนงานไปเรียนเชิญ”
“ไม่รีบ”
ผู้ดูแลร้านสั่งให้คนงานไปตาม
ขณะที่รอก็ไม่อยากให้เกิดบรรยากาศอึดอัดจึงหาเรื่องคุยกับซินโย่ว พบว่าซินโย่วไม่ได้คิดคุยมาก จึงหันไปคุยกับพ่อบ้านแทน
พ่อบ้านอยู่ๆ ถูกสั่งการให้ออกมาพร้อมกับคุณหนูนอก ยามนี้กำลังงุนงง ย่อมยินดีที่จะได้คุยกับผู้ดูแลร้านเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ทันได้สังเกตว่าพอคนงานออกไป เสี่ยวเหลียนก็แอบตามออกไปด้วย
“น้องชาย เจ้าของร้านพวกท่านอยู่ที่ใดหรือ”
สาวใช้ที่ตามมาทำให้คนงานตกใจเล็กน้อย “พี่สาวออกมาได้อย่างไร”
“คุณหนูเราสั่งการมาว่า ก่อนที่ท่านเจ้าของร้านพบกับคุณหนูเรา ให้ข้ามาพบกับท่านเจ้าของร้านก่อน”
คนงานยิ่งไม่เข้าใจ
เสี่ยวเหลียนยัดเศษก้อนเงินใส่มือคนงานชิ้นหนึ่งอย่างชำนาญ “น้องชายช่วยหน่อย พูดคุยเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ได้ พี่สาวชื่อแซ่อันใด”
“ข้าชื่อเสี่ยวเหลียน น้องชายชื่อแซ่อันใด”
“พี่เสี่ยวเหลียน เรียกข้าว่าหลิวโจวก็ได้”
“หลิวโจว เจ้าของร้านพวกเจ้าเคยเอ่ยไหมว่าจะขายร้านหนังสือเท่าไร”
คนงานเริ่มระแวงขึ้นมา “ข้าเป็นเพียงคนงานตัวเล็กๆ ไหนเลยจะรู้เรื่องเหล่านี้”
“แล้ว…เจ้าของร้านท่านอารมณ์ดี คุยง่ายหรือไม่”
คนงานปาดเหงื่อ ในใจคิดว่าสาวใช้ผู้นี้ช่างพูดมากจริง
ดีที่ไปไม่ไกลนัก ไม่นานเสี่ยวเหลียนก็ได้พบกับเจ้าของร้านหนังสือชิงซง
เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีอ่อน หน้าตากระจ่างใส กิริยาท่าทางไว้ตัวอยู่ในที
ได้ยินคนงานบอกจุดประสงค์ที่มา ชายหนุ่มก็มองไปทางเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนคำนับทีหนึ่ง
“คุณหนูเจ้าคิดซื้อร้านหนังสือ?”
“เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยตรงไปตรงมาอย่างมาก “มีเงินไหม”
คนงานแอบค้อนปะหลับปะเหลือก
ท่านเจ้าของร้านไม่เสียดายร้านหนังสือแม้สักนิดเลยหรือ แสดงออกชัดเจนเช่นนี้ อีกสักครู่ไม่ถูกคนเขาต่อราคาฮวบฮาบหรือ
“คุณหนูเราจริงใจซื้อ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าของร้านคิดจะปล่อยราคาเท่าไร”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่มีความจำเป็นต้องเจรจากับสาวใช้
เสี่ยวเหลียนรีบเอ่ยว่า “คุณหนูคิดซื้อร้านหนังสือ กล่อมผู้ใหญ่ในตระกูลอยู่นานกว่าจะยอมตกลง วันนี้มีพ่อบ้านที่จวนมาพร้อมกับคุณหนู คุณหนูกลัวเจรจาไม่สำเร็จ จึงให้บ่าวมาบอกกล่าวกับท่านเจ้าของร้านก่อน”
มุมปากคนงานกระตุก
ดูท่าคุณหนูที่คิดซื้อร้านหนังสือก็เป็นคนไม่รู้จักเก็บงำความคิด ทำเช่นนี้มิใช่บอกคนขายว่าอยากซื้อมากหรือ
ดูเจ้าของร้านแล้วก็หันมาดูเสี่ยวเหลียน คนงานพลันสงบลง สองฝ่ายล้วนเป็นพวกมือใหม่เสมอกันแล้ว
ได้ยินเสี่ยวเหลียนเอ่ยเช่นนี้ ชายหนุ่มก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “แปดพันตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ขาย”
เสี่ยวเหลียนไม่รู้ว่าราคาขายร้านหนังสือนี้ถูกหรือแพง แต่นางไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ทำตามที่คุณหนูสั่งการมาก็พอ
“แปดพันตำลึงไม่ได้”
ชานหนุ่มชะงักฝีเท้า สีหน้ารำคาญเอ่ยว่า “หากรู้สึกว่าแพง ก็ไม่ต้องเสียเวลากันและกันอีก”
เขาก็ว่าไม่มีผู้ใดจริงใจคิดซื้อ ก่อนหน้านี้มีคนคิดซื้อห้าพันตำลึง แม้เขาคิดจะสลัดภาระขาดทุนนี้มากเพียงใด ก็ขายไม่ได้
เห็นชายหนุ่มหันหลังจะจากไป เสี่ยวเหลียนรีบรั้งไว้ “ท่านเจ้าของร้านฟังบ่าวพูดให้จบก่อนเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่ามา”
เสี่ยวเหลียนชูสองนิ้ว
ชายหนุ่มสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “สองพันตำลึง คุณหนูพวกเจ้าคิดหยอกข้าเล่นหรือ”
“ท่านเจ้าของร้านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่สองพัน แต่คือสองหมื่น”
เขานิ่งอึ้งไปทันที อดหันไปมองคนงานไม่ได้
หรือว่าฟังผิด
คนงานนิ่งอึ้งเป็นไก่ไม้ไม่กระดุกกระดิกไปแล้ว ทำให้เขารู้ว่าตนเองฟังไม่ผิด ขมวดคิ้วจ้องมองเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน พูดจนจบ “ตอนท่านพบกับคุณหนูเราเปิดราคามาสองหมื่นตำลึง คุณหนูก็จะซื้อไว้ จากนั้นท่านเก็บไว้หนึ่งหมื่น อีกหนึ่งหมื่นก็มอบคืนให้คุณหนูเรา”
คนงานได้ยินก็ตาค้าง เขาไม่เคยได้ยินว่ามีคนหาเงินจากตระกูลของตนเองด้วย!
“ท่านคิดเห็นเช่นไร”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
อยู่ๆ ได้กำไรเพิ่มมาอีกสองพันตำลึง เขาย่อมยินดี แต่คนจวนรองเจ้ากรมไม่ใช่คนโง่ เขาบอกว่าสองหมื่นก็จะรับปากหรือ
เห็นชายหนุ่มได้ยินแล้วแสดงท่าทางสงสัย เสี่ยวเหลียนน้ำเสียงหนักแน่น “คุณหนูเราต้องการซื้อ ก็ต้องซื้อไว้ ขอเพียงท่านเจ้าของร้านยินดีให้ความร่วมมือ”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มละไมกล่าวว่า “ตกลง”