สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 39 จบลงแล้ว [ภาคสอง]

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

[ภาคสอง] ตอนที่ 39 จบลงแล้ว

ภาคสอง

ตอนที่ 39 จบลงแล้ว

ยามเย็นแล้ว ได้เวลาร้านอาหารร้านน้ำชาครึกครื้นกันแล้ว สถานที่เช่นร้านหนังสือตามหลักแล้วก็จะเงียบเหงาลง แต่หน้าประตูร้านหนังสือชิงซงกลับผิดปกติอย่างมาก มีคนมารวมตัวกันไม่น้อย

พ่อบ้านกำลังตกใจตาค้าง ก็พลันได้ยินเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว ทำเอาเขาตกใจสะดุ้ง มองไปที่พื้นอีกทีก็เต็มไปด้วยกระดาษแดงของประทัด ที่แท้ประทัดนี้จุดหลายรอบแล้ว

พ่อบ้านยิ่งงุนงง ดึงคนข้างๆ มาถามขึ้นว่า “ไม่ได้ช่วงเทศกาล ร้านหนังสือชิงซงจุดประทัดทำไมกัน”

คนผู้นั้นเห็นแล้วก็ขอสอดสักหน่อย ทนไม่ไหวเล่าเรื่องที่รู้มาออกมาหมด “ร้านหนังสือชิงซงเปลี่ยนเจ้าของร้านของแล้ว!”

พ่อบ้านสีหน้าแปรเปลี่ยน “เปลี่ยนเจ้าของร้าน?”

“ใช่ ได้ยินว่าคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมถูกใจร้านหนังสือนี้ ควักสองหมื่นตำลึงซื้อร้านหนังสือชิงซงไว้แล้ว เจ้าของร้านคนเก่าได้กำไรไม่น้อย กอปรกับมีเจ้าของร้านคนใหม่ ก็เท่ากับเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ร้านหนังสือจึงได้จุดประทัด พี่ชายมาสายไปสักหน่อย เมื่อครู่ยังโปรยทานเหรียญทองแดงด้วยนะ…”

คนผู้นั้นยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น คนข้างๆ ก็เสริมอีกว่า “สองหมื่นตำลึงซื้อร้านหนังสือ? คุณหนูไม่รู้ความ ผู้ใหญ่ที่บ้านนางก็ตอบตกลงหรือ”

“นั่นเป็นเงินทองของคุณหนูเอง นายหญิงผู้เฒ่าจวนรองเจ้ากรมก็รักหลานสาวคนนี้มาก ไหนเลยจะมีเหตุผลไม่ตกลงเล่า”

คนที่เข้าร่วมวงสนทนาทีหลังพยักหน้า “ก็จริง เงินทองตนเอง คิดอยากซื้ออันใดก็ย่อมซื้อได้”

อีกคนเห็นทางนี้คุยกันออกรสครึกครื้น ก็แทรกเข้ามาเอ่ยว่า “จึ๊ๆ ก่อนหน้านี้ข้ายังได้ยินว่าจวนรองเจ้ากรมหมายปองทรัพย์สินคุณหนูนอก ตอนนี้ดูท่า หากหมายปองจริงจะยอมให้คุณหนูนอกใช้เช่นนี้หรือ ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้จริงๆ”

“พี่ชายจะไปไหนหรือ…” เห็นพ่อบ้านรีบกลับไป คนผู้นั้นก็ตะโกนไล่ตามก่อนจะหันไปวิพากษ์วิจารณ์กับผู้อื่นต่อ

ความเร็วขากลับของพ่อบ้านเร็วยิ่งกว่าขาไป ตรงไปเรือนหรูอี้ถังพบนายหญิงผู้เฒ่า

“เรียบร้อยแล้วหรือ” นายหญิงผู้เฒ่าถามจบ ก็เห็นสีหน้าพ่อบ้านกระจ่าง ในใจพลันกกระตุกวูบ

พ่อบ้านปาดเหงื่อบนหน้าผาก เล่าเรื่องที่ได้เห็นได้ฟังมาจากหน้าร้านหนังสือชิงซง

“บ่าวไม่กล้าตัดสินใจเอง จึงกลับมารายงานนายหญิงผู้เฒ่า”

“บัดซบ!” นายหญิงผู้เฒ่าคว้าถ้วยน้ำชาปาลงพื้น สีหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าก้นหม้อดำ

รองเจ้ากรมต้วนกลับมาพอดี เห็นสภาพเละเทะบนพื้นก็ตกใจ “ท่านแม่ มีเรื่องอันใดทำให้ท่านแม่โมโหเพียงนี้”

พอได้ยิน เรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าคิดเอ่ยมีมากมาย ให้พ่อบ้านออกไปแล้วก็เอ่ยว่า “บุตรสาวตัวดีของเจ้า ระบายอารมณ์แทนมารดานางที่ถูกเขียนหนังสือหย่า แล่นไปสวนดอกไม้ลงมือกับชิงชิงต่อหน้าทุกคน กระชากแขนเสื้อชิงชิงขาดอีกด้วย!”

รองเจ้ากรมต้วนตกใจ “หวาเอ๋อร์ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้หรือ”

“ชิงชิงเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบ หาเรื่องจะออกไปอยู่นอกจวน หอบห่อผ้าออกไปถึงหน้าถนน!”

รองเจ้ากรมต้วนยิ่งตกใจ “หอบห่อผ้าออกไปถึงหน้าถนน? นี่ นี่ใช้ได้ที่ไหนกัน!”

นายหญิงผู้เฒ่ายิ่งพูดที่ยิ่งโมโห “เพื่อปลอบใจชิงชิง ข้ารับปากให้นางซื้อร้านหนังสือชิงซง ผู้ใดจะรู้ว่านางใช้สองหมื่นตำลึงซื้อมา!”

“สองหมื่นตำลึง?” รองเจ้ากรมต้วนตกใจร้องเสียงหลงแล้ว

นายหญิงผู้เฒ่ายังพูดไม่จบ “ข้ายังไม่ได้ตกลง ส่งพ่อบ้านไปคืนสัญญา ปรากฏว่าร้านหนังสือชิงซงจุดประทัดกันแล้ว ตอนนี้ผู้คนล้วนรู้กันว่าคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมจ่ายก้อนโตซื้อร้านหนังสือชิงซงไว้แล้ว!”

รองเจ้ากรมต้วนตกใจตาค้าง

เขาก็แค่ไปทำงานที่ทำการตามปกติ เพียงแค่วันเดียวก็เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้?

นิ่งไปครู่หนึ่ง รองเจ้ากรมต้วนจึงได้ตั้งสติได้ เอ่ยอย่างปวดใจว่า “ท่านแม่ นี่จับจวนรองเจ้ากรมเป็นตัวประกันไว้แล้วหรือ!”

นายหญิงผู้เฒ่าแค่นหัวเราะ “ข้าก็ว่าอย่างนั้น”

เดิมว่าแอบๆ ไปคืนสัญญาก็ผ่านไปแล้ว อย่างมากก็เสียแค่เงินมัดจำสองพันตำลึง แต่ตอนนี้ร้านหนังสือชิงซงนี้ไม่ซื้อก็ต้องซื้อ

“สถานการณ์ตอนนี้ ปล่อยให้ลือออกไปว่าเจ้าของร้านหนังสือชิงซงกลัวพวกเราจนยอมฉีกสัญญา หรือว่า…” รองเจ้ากรมต้วนสีหน้าเย็นเยียบ “ชิงชิงกลัวท่านแม่ว่าแพง ไม่ซื้อแล้ว!”

นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินก็อึ้งพูดไม่ออก “มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด หากไม่ใช่ว่าหวาเอ๋อร์ไปหาเรื่องชิงชิง จะเกิดเรื่องเช่นนี้หรือ!”

ในใจรองเจ้ากรมต้วนโมโหความเอาแต่ใจของบุตรสาวมาก แต่ความปวดใจกับเงินสองหมื่นตำลึงอยู่เหนือความโมโหทั้งมวล “ท่านแม่ จะให้ชิงชิงซื้อร้านหนังสือจริงหรือ ให้นางย้ายออกไป?”

นายหญิงผู้เฒ่าเหลือบมองบุตรชายทีหนึ่ง “แล้วจะอย่างไรได้ ให้ผู้คนเขาหัวเราะเยาะจวนรองเจ้ากรมหมายปองทรัพย์สมบัติคุณหนูนอกไม่ยอมปล่อยมือหรือ”

รองเจ้ากรมต้วนไม่เอ่ยอันใด

“จ่ายสองหมื่นตำลึงให้ผู้คนได้เห็นว่าจวนรองเจ้ากรมให้ความเคารพกับการตัดสินใจจัดการทรัพย์สินของคุณหนูนอก ก็ไม่นับว่าขาดทุน” เงียบไปเป็นนานก่อนนายหญิงผู้เฒ่าจะถอนใจเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ทั้งเป็นการปลอบใจบุตรชายและยังเป็นการปลอบใจตนเอง

รองเจ้ากรมต้วนเองก็รู้ว่าเงินสองหมื่นตำลึงคงต้องสูญไปแน่แล้ว เอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “ข้าเพียงแค่ตกใจ ชิงชิงเป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อย ถึงกับมีอุบายเช่นนี้”

“ก็ไม่แน่ว่าเป็นชิงชิง เจ้าของร้านหนังสือชิงซงได้เงินก้อนโตไปเช่นนี้ จะตัดใจคายเงินก้อนโตที่กลืนลงไปออกมาหรือ” แม้นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจกลับมีภาพหลานสาวต่างไปจากเดิม

สองแม่ลูกคุยกันเสร็จ นายหญิงผู้เฒ่าก็ให้อวี้จูไปตามซินโย่วมา

ซินโย่วเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เป็นเสื้อคลุมแขนยาวผ้าแพรบางสีผลซิ่ง[1]ค่อนข้างใหม่

สีนี้กระจ่างสดใส สีสันงดงาม ได้ยินว่าคนจากเรือนหรูอี้ถังมาเชิญไป ในใจซินโย่วก็สงบนิ่งลง ยิ้มสั่งการเสี่ยวเหลียน “ไปหยิบต่างหูในชุดเครื่องประดับทับทิมชุดนั้นมาใส่ให้ข้าหน่อย”

ไม่นาน ซินโย่วที่ใส่ต่างหูใหม่ก็มาถึงเรือนหรูอี้ถัง

“ท่านยาย ท่านลุง” ซินโย่วย่อกายคำนับ

ท่าทางคำนับของสาวน้อยสง่างามแต่แฝงท่าทางเอาแต่ใจ กิริยาเหมาะสมงามสง่า ต่างหูทับทิมรูปหยดน้ำส่ายไหวไปมาเบาๆ เป็นที่สะดุดตาอย่างมาก

คนงาม พลอยก็เป็นพลอยชั้นดี สองอย่างประกอบกันก็ยิ่งทำให้คนงามโดดเด่น

สายตานายหญิงผู้เฒ่าไปหยุดอยู่ที่ต่างหูเป็นนาน อึ้งจนเอ่ยอันใดไม่ออก

สองหมื่นตำลึงก็ยังต้องจ่าย เครื่องประดับทับทิมล้ำค่าทั้งชุดราคาไม่น้อยก็ต้องสูญไปด้วย!

แม้เครื่องประดับชุดนี้ตั้งใจว่าจะเป็นสินออกเรือนหลานสาว แต่ให้ไปตอนนี้ วันหน้าไม่ใช่ว่าต้องเตรียมอีกชุดหรือ

ความเงียบงันของนายหญิงผู้เฒ่าทำให้รองเจ้ากรมต้วนสงสัย

ท่านแม่เป็นอันใดไปหรือ

ได้ยินเสียงไอของรองเจ้ากรมต้วน นายหญิงผู้เฒ่าก็ได้สติ ฝืนฉีกยิ้มเอ่ยว่า “ชิงชิง ยายกับลุงเจ้าหารือกันแล้ว ในเมื่อเจ้าชอบร้านหนังสือนั่นมาก เช่นนั้นก็ซื้อไว้เถอะ”

ซินโย่วยิ้มตอบ “ขอบเจ้าค่ะคุณท่านยาย”

รองเจ้ากรมต้วนหน้าบึ้งตึง “แต่มีเรื่องหนึ่ง จวนเราไม่มีประสบการณ์จัดการกิจการร้านหนังสือ เกรงว่าคงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้”

“ชิงชิงจะพยายาม หากทำไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยขาย”

นายหญิงผู้เฒ่ากับรองเจ้ากรมต้วน “…”

วันถัดมา ซินโย่วแสร้งทำทีไม่เห็นท่าทางปวดใจของนายหญิงผู้เฒ่าที่พยายามเก็บงำไว้ นำเงินตรงไปยังร้านหนังสือชิงซง แต่กลับพบคนผู้หนึ่งมายืนรออยู่ที่นั่น

“ใต้เท้าเฮ่อ”

“คุณหนูโค่วสะดวกคุยสักสองสามคำหรือไม่”

“ได้”

ทั้งสองคนไปยืนใต้ต้นไม้ด้านหลังร้านหนังสือ ซินโย่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเฮ่อมีอันใดต้องการคุยกับข้าหรือเจ้าคะ”

“วันนี้มาร้านหนังสือ ได้ยินว่าคุณหนูโค่วซื้อร้านหนังสือชิงซงไว้แล้ว”

แม้ซินโย่วงุนงงเจตนาของอีกฝ่ายที่มาถามเช่นนี้ แต่สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ข้ามาเพื่อจ่ายเงินที่เหลือ”

เฮ่อชิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “คุณหนูโค่วซื้อแพงไปแล้ว”

[1] หมายถึงแอปริคอท สีออกส้ม

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท