ตอนที่ 56 ลูกค้า
เฮ่อชิงเซียวปกติมุ่งมั่นกับการสืบคดี พอมีเวลาก็จะมาร้านหนังสือชิงซง ยามนี้พบว่าร้านหนังสือเปลี่ยนไปมาก
เดิมเงียบเหงาจนทำให้เขาได้มีสถานที่สงบเงียบอ่านหนังสือ ตอนนี้คนออกันแน่นขนัดและส่งเสียงดังมาก
เฮ่อชิงเซียวคิดว่ามาผิดที่ แต่พอหันมองไปทางฝั่งตรงข้าม ภาพที่เห็นก็คือผู้ดูแลกู่ร้านหนังสือหย่าซินนั่งเหงาอยู่คนเดียวที่หน้าประตู
ไม่ได้มาผิดที่ การค้าร้านหนังสือชิงซงดีขึ้นจริงๆ
เดิมเฮ่อชิงเซียวไม่คิดร่วมวงครึกครื้นนี้ หันหลังจะออกไป ก็ได้ยินคนเดินเข้าออกร้านหนังสือวิพากษ์วิจารณ์กัน จึงได้รู้ว่านิยายใหม่ ‘วาดหนัง’ ของร้านหนังสือชิงซงออกวางขายแล้ว
เฮ่อชิงเซียวไม่ชอบอ่านนิยาย แต่คิดถึงว่าสาวน้อยที่ไม่ว่าเผชิญหน้ากับเรื่องใดก็มักรักษาสีหน้านิ่งสงบไว้ได้ผู้นั้นแล้ว ก็ตัดสินใจซื้อเล่มหนึ่งถือว่าเป็นการให้การสนับสนุนนางสักหน่อย
เฮ่อชิงเซียวเข้าแถวกับฝูงชนซื้อนิยาย พอถึงตอนเขาจ่ายเงิน หลิวโจวยังคิดว่าตาฝาดไป
“ใต้เท้าเฮ่อ ท่านจะซื้อเล่มนี้หรือขอรับ” หลิวโจวเป็นห่วงว่าเขาหยิบผิด จึงอดถามให้แน่ใจไม่ได้
“อืม”
“อ้อ อ้อ ท่านถือให้ดี”
พอเฮ่อชิงเซียวก้าวออกจากร้านหนังสือ หลิวโจวก็รีบปรี่เข้าไปบอกผู้ดูแลร้านหู “ท่านผู้ดูแลร้านวันนี้แปลกประหลาดมาก ใต้เท้าเฮ่อซื้อ ‘วาดหนัง’!”
ผู้ดูแลร้านหูหรี่ตามองหลิวโจวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เงียบหน่อย ใต้เท้าเฮ่อซื้อ ‘วาดหนัง’ แล้วเป็นอันใดไปหรือ”
หลิวโจวมองท้องฟ้าเงียบงัน
ก็ไม่ได้เป็นอันใด เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใต้เท้าเฮ่อควักเงินซื้อหนังสือ
หากมิใช่ว่าอีกฝ่ายตำแหน่งสูงถึงระดับผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือสังกัดกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน และยังดำรงบรรดาศักดิ์โหว เขาก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าใต้เท้าเฮ่อยากจนจนไม่เงินกินข้าว
ยามนี้ผู้ดูแลร้านหูพลันส่งเสียงเรียกเจ้าของร้าน
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา ก็คือเจ้าของร้านหนังสือชิงซงคนเก่า เสิ่นหนิง
เสิ่นหนิงสะบัดพัดจีบไปมาเบาๆ แก้คำเรียกขานของผู้ดูแลร้านหูใหม่ “ข้ามิใช่เจ้าของร้านแล้ว ผู้ดูแลร้าน วันหน้าเรียกข้าว่าคุณชายเสิ่นดีกว่า”
อืม วันหน้าเขาก็เป็นเพียงคนเสพนิยายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
จุดยืนหรือศักดิ์ศรีอันใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก นิยายร้านหนังสือไหนสนุก เขาก็ซื้อได้อย่างเปิดเผย
“คุณชาย…” ผู้ดูแลร้านหูทำใจกับคำเรียกขานใหม่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “ท่านก็มาซื้อ ‘วาดหนัง’ หรือขอรับ”
“ส่งคนมาซื้อไปแล้ว ผู้ดูแลร้าน วันนี้ข้ามาเพื่อแอบถามหน่อย มี ‘วาดหนัง’ เล่มสองแล้วหรือยัง”
“กำลังแกะแม่พิมพ์อยู่ขอรับ”
สายตาเสิ่นหนิงส่องประกายวาว “ผู้ดูแลร้าน เช่นนั้นท่านก็ต้องได้อ่านเนื้อหาต่อจากเล่มหนึ่งแล้วสินะ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็ว…”
ผู้ดูแลร้านหูปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ”
“ผู้ดูแลร้านอย่าได้แล้งน้ำใจเช่นนี้!”
ยามนี้เป็นครั้งแรกที่เสิ่นหนิงขายร้านหนังสือไปแล้วรู้สึกนึกเสียใจ หากเขายังเป็นเจ้าของร้านหนังสือชิงซง อยากอ่านอันใดก็ได้อ่านไหม แม้ท่านซงหลิงเขียนไม่จบก็ไม่กลัว จับท่านซงหลิงไปขังในห้อง เขียนไม่จบไม่ให้กินข้าว!
ได้ยินอดีตเจ้าของร้านบ่นเช่นนี้ ผู้ดูแลร้านหูก็ศอกกลับด้วยความจริงอย่างแล้งน้ำใจยิ่ง “ท่านเจ้าของร้านเฟ้นหาท่านซงหลิงมาขอรับ”
ไม่มีเจ้าของร้านลงทุนเฟ้นหาอาชาดี จะมีอาชาดีเช่นท่านซงหลิงได้อย่างไร
“จริง เจ้าของร้านคนใหม่พวกเจ้าไม่ธรรมดา” เสิ่นหนิงทิ้งไว้ประโยคหนึ่งก่อนออกจากร้านหนังสือไปอย่างผิดหวัง
ผู้ดูแลร้านหูงุนงงครู่หนึ่ง
หรือว่าคุณชายรู้ว่าเจ้าของร้านรู้วิชานรลักษณ์
หลิวโจวกลับตอบรับคำเสิ่นหนิงทีหนึ่ง ในที่สุดผู้ดูแลร้านหูก็เกิดความระแวงขึ้นมา “เจ้าว่ามา ท่านเจ้าของร้านไม่ธรรมดาตรงไหน”
“ท่านก็บอกว่าท่านเจ้าของร้านไม่ธรรมดาไม่ใช่หรือ”
ผู้ดูแลร้านสบตากับคนงาน
“หรือว่าพูดให้หมดดี”
ผู้ดูแลร้านกับคนงานร้านเดียวกันมีอันใดไม่อาจกล่าวให้กันและกันฟังได้
หลิวโจวเอ่ยขึ้นก่อน “ความจริงท่านเจ้าของร้านซื้อร้านหนังสือเราจ่ายไปแค่หนึ่งหมื่นตำลึง…”
อะไรนะ ร่วมกันปกปิด แบ่งปันผลประโยชน์ ทำกำไรได้ถึงหนึ่งหมื่นตำลึงหรือนี่
ผู้ดูแลร้านหูได้ยินก็ตาค้าง สุดท้ายคิดได้เรื่องหนึ่ง มิน่าเจ้าของร้านบอกให้เขาวางใจตีพิมพ์ไป ไม่ขาดแคลนเงินทอง
พอผู้ดูแลร้านหูเอ่ยความลับตนเองออกมา หลิวโจวก็ตาค้างเช่นกัน
เจ้าของร้านถึงกับรู้วิชานรลักษณ์!
เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ท่านผู้ดูแล ท่านว่าได้ท่านซงหลิงมาเพราะท่านเจ้าของร้านใช้วิชานรลักษณ์หรือไม่ นางเห็นหน้าตาท่านซงหลิงก็คำนวณได้ว่าเขาจะเป็นนักเขียนนิยายผู้ยิ่งใหญ่”
โอ๊ะ…มีเหตุผล!
ผู้ดูแลร้านแลกเปลี่ยนความลับกับหลิวโจวคนงานแล้ว สายตาที่มองซินโย่วก็ยิ่งชื่นชมมากกว่าเดิม
ติดตามเจ้าของร้าน วันหน้าร้านหนังสือเราย่อมก้าวไกลประมาณมิได้!
ซินโย่วสีหน้าประหลาดใจ เหตุใดจึงรู้สึกว่าสายตาผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวมองนางคล้ายสายตาเสี่ยวเหลียนอยู่บ้าง
บรรยากาศร้านหนังสือหย่าซินฝั่งตรงข้ามต่างจากบรรยากาศชื่นมื่นของร้านหนังสือชิงซงอย่างสิ้นเชิง
“คนไปซื้อ ‘วาดหนัง’ ฝั่งตรงข้ามไม่ได้หยุด แม้แต่ใต้เท้าเฮ่อก็ยังถือ ‘วาดหนัง’ เล่มหนึ่งออกมา”
ได้ยินคนงานรายงาน ผู้ดูแลร้านกู่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
เขาก็มิได้ตาบอด อีกฝั่งสถานการณ์เป็นอย่างไรไม่เห็นหรือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป
“ไปตีพิมพ์ ‘เซียนผีเสื้อ’ ออกมาวางเพิ่ม” ผู้ดูแลร้านกู่สั่งการ
เดิม ‘เซียนผีเสื้อ’ กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอีกสักระยะค่อยวางขาย ก็ให้นำมาวางขายล่วงหน้า ถึงกับยังเลียนแบบร้านหนังสือชิงซง ปิดประกาศบนกำแพงนอกร้าน
“‘เซียนผีเสื้อ’ พิมพ์ขายเพิ่มแล้วหรือ น่าเสียดาย เดิมคิดจะเก็บเงินไว้ซื้อ ‘เซียนผีเสื้อ’ ได้ยินพวกเขาเล่ากันว่า ‘วาดหนัง’ สนุกเพียงใด จึงอดซื้อ ‘วาดหนัง’ ไม่ได้…”
“ข้าก็ด้วย”
“อา ข้าก็ด้วย”
“อย่าได้เสียดาย ข้าได้ยินว่าเพื่อนที่ซื้อนิยายทั้งสองเรื่องนี้บอกว่า ‘วาดหนัง’ สนุกกว่า ‘เซียนผีเสื้อ’ มาก…”
“จริงหรือ”
“พวกเราเป็นคนซื้อนิยายกันประจำ จะพูดเหลวไหลได้หรือ”
“เช่นนั้น ข้าก็ไปซื้อ ‘วาดหนัง’ ละ ก่อนหน้านี้เกือบทนไม่ไหว แต่ก็คิดเก็บเงินไว้ ‘เซียนผีเสื้อ’…”
ผู้ดูแลร้านกู่เห็นคนมามุงอ่านประกาศไม่น้อยก็อดแอบดีใจไม่ได้ แต่ไม่นานก็เห็นคนอ่านประกาศจบ ไม่เพียงแต่ไม่เข้าร้านหนังสือเขา กลับตัดสินใจวิ่งเข้าร้านหนังสือชิงซง ตอนออกมาในมือล้วนถือ ‘วาดหนัง’
“เกิดอันใดขึ้นกัน” ผู้ดูแลร้านกู่พึมพำไม่เข้าใจ จิตใจราวกับได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย!
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผู้ดูแลร้านกู่รู้ก็คือ หากร้านหนังสือหย่าซินไม่คิดหาวิธีรับมือ เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว
ผู้ดูแลร้านกู่คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจไม่ได้ ได้แต่ไปขอคำแนะนำจากเจ้าของร้านตน
เจ้าของร้านร้านหนังสือหย่าซินเป็นชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับเสิ่นหนิง แต่ดูแล้วไว้วางใจน่าเชื่อถือได้มากกว่าเสิ่นหนิงมาก
ได้ยินรายงานของผู้ดูแลร้านกู่ ชายผู้นั้นก็แค่นยิ้มกล่าวว่า “ผู้ดูแลร้านอย่าได้ร้อนใจไปจนเสียการ ร้านหนังสือชิงซงเล่นอุบายมากมายเช่นนี้ ถือโอกาสที่ร้านหนังสือเราเพิ่งวางขายหนังสือเล่มใหม่ไป คนเรายากจะต้านทานความสดใหม่ ‘วาดหนัง’ เล่มสองยังไม่รู้จะเป็นเช่นไร พวกเราก็ทุ่มเงินมากอีกหน่อย ขอให้ท่านผิงอันรีบเขียนเล่มใหม่ ระดับท่านผิงอันจะถูกนักเขียนไร้ชื่อเสียงข่มลงได้หรือ”
“ท่านเจ้าของร้านกล่าวได้ถูกต้อง” ผู้ดูแลร้านกู่รีบไปเชิญท่านผิงอันมา เร่งให้เขาเขียนเล่มใหม่
ผิงอันเพิ่งเขียน ‘เซียนผีเสื้อ’ ออกมาได้ไม่นาน ตอนนี้สมองกำลังว่างเปล่า เดิมคิดจะพักผ่อนสักสองสามเดือน แต่กลับไม่อาจทนราคาล่อลวงจากร้านหนังสือหย่าซินได้ ได้แต่พยายามเค้นมันสมองเขียนออกมาอีก
ร้านหนังสือหย่าซินไม่เคลื่อนไหวให้เป็นที่เอิกเกริก ทั้งเมืองหลวงยามนี้ต่างคุยกันเรื่องนิยายใหม่ของร้านหนังสือชิงซง ถึงกับมีนักเล่านิยายในร้านน้ำชาไม่น้อยเริ่มเล่าเรื่อง ‘วาดหนัง’
คนไปซื้อ ‘วาดหนัง’ ที่ร้านหนังสือชิงซงไม่ขาดสาย ‘บันทึกโบตั๋น’ บนชั้นหนังสือที่ถูกทิ้งไว้จนฝุ่นจับ วันนี้ก็รอคอยจนพบคนมาเหลียวแลแล้ว