สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 63 ความมืดดำ

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 63 ความมืดดำ

โจวหนิงเยวี่ยได้เห็นมารดาล้มอยู่ที่พื้น ก็ส่งเสียงร้องตกใจ “ท่านแม่ ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

นางรีบวิ่งเข้าไปหาส่งเสียงเอ่ยถามด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่านแม่ ท่านบาดเจ็บหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ”

บิดาโจวหนิงเยวี่ยดุบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ค่ำคืนดึกดื่นส่งเสียงดังโหวกเหวก เพื่อนบ้านได้ยินจะคิดกันอย่างไร”

“แต่ท่านแม่ได้รับบาดเจ็บ” โจวหนิงเยวี่ยหรี่เสียงลง แต่น้ำเสียงเจือเสียงสะอื้น

โจวหนิงเยวี่ยประคองมารดายืนขึ้น เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบบุตรสาว “แม่ไม่เป็นอันใด เพียงแค่โดนไฟลวก ทายาหน่อยก็หายแล้ว”

บิดาโจวหนิงเยวี่ยกวาดตามองบ่าวรับใช้ที่อยู่ในอาการตกใจ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ชุนหยาเก็บกวาดด้วย คนอื่นๆ กลับไปนอนต่อได้ ไม่มีอันใด”

บ่าวตระกูลโจวไม่มาก คนเฝ้าประตูหนึ่ง แม่ครัวหนึ่ง สาวใช้หนึ่ง ยังมีบ่าวหญิงทำงานใช้แรงอีกหนึ่ง

ชุนหยาก็คือสาวใช้เพียงหนึ่งเดียว พอได้ยินนายสั่งการก็เข้าไปเก็บกวาด ที่เหลืออีกสามคนก็ไม่กล้าถามมาก พากันกลับห้องนอนตนเองไปเงียบๆ

“เยวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับห้องไปได้แล้ว” บิดาโจวหนิงเยวี่ยมองไปทางโจวหนิงเยวี่ยที่กำลังร้องไห้

โจวหนิงเยวี่ยไม่ขยับ “ข้าจะช่วยใส่ยาให้ท่านแม่แล้วค่อยไปนอนเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้อง ไปนอนเถอะ” มารดาโจวหนิงเยวี่ยใช้อีกมือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บลูบผมบุตรสาวปลอบใจ เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กดี”

โจวหนิงเยวี่ยเห็นมารดาตนฝืนทนความเจ็บปวดก็ขมวดคิ้วมองบิดาตนเอง สุดท้ายได้แต่พยักหน้ากลับเรือนตะวันตก

“เข้าไปข้างใน” ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด ได้ยินเสียงบิดาโจวหนิงเยวี่ยเย็นเยียบเล็กน้อย

ในลานค่อยๆ เงียบลง

ซินโย่วที่อยู่ข้างกองฟืนไม่ขยับตัว ในใจรู้สึกตกใจดังคลื่นโหมกระหน่ำซัดสาด

บทสนทนาของบิดาและมารดาโจวหนิงเยวี่ยหมายความว่าอย่างไร

มารดาโจวหนิงเยวี่ยบอกว่านางทำร้ายฮองเฮาซิน กระดาษเงินกระดาษทองนี้เผาให้ฮองเฮาซิน?

ฮองเฮาซิน…ซินโย่ว…

ไม่ว่าการคาดเดานี้จะน่าตกใจเพียงใด ยามที่จัดระเบียบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็ย่อมโผล่พ้นผิวน้ำเอง

คล้ายว่ามารดานางก็คือฮองเฮาซินที่มารดาโจวหนิงเยวี่ยเอ่ยถึง…

ซินโย่วไม่มีเวลามาจัดการอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ย่องมายังข้างหน้าต่างเรือนกลางอย่างเบากริบ อาศัยใบกล้วยกำบังเงี่ยหูลอบฟัง

ไฟในเรือนตะวันออกส่องสว่าง มีเสียงสูดลมหายใจของผู้หญิงดังมาเป็นระยะ น่าจะเป็นมารดาโจว หนิงเยวี่ยกำลังทำแผลไฟลวก นอกจากนี้ก็มีแต่ความเงียบ

จนกระทั่งดับไฟได้สักพัก ก็มีเสียงสนทนาของสองสามีภรรยาดังขึ้นอีกครั้ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าทำใจยอมรับไม่ได้ แต่เจ้าต้องคิดเพื่อครอบครัวเราและเพื่อเยวี่ยเอ๋อร์ จะทำใจยอมรับไม่ได้เพียงใดก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ วันหน้าอย่าได้ทำเรื่องเช่นนี้อีก”

“โจวทง หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกผิดแม้สักนิด”

อารมณ์มารดาโจวหนิงเยวี่ยไม่ได้คลายลงหลังเกิดเหตุคาดไม่ถึงจนได้รับบาดเจ็บ “เจ้าบอกว่าท่านนั้นแต่ไรมาไม่เคยละทิ้งความพยายามตามหาฮองเฮา ปล่อยตำแหน่งฮองเฮาว่างมาตลอดเพื่อรอฮองเฮากลับมา ปรากฏว่ากลับส่งคนไปเอาชีวิตฮองเฮา…หากรู้เช่นนี้ ข้าไม่ควรบอกเรื่องได้พบสตรีระหว่างทางที่คล้ายฮองเฮากับเจ้า…”

“มากล่าวเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ข้าเป็นเพียงแค่นายกองร้อยเล็กๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเบื้องบนที่แท้คิดเช่นนี้ ตอนข้าได้รู้เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะไม่รายงานเบื้องบนได้หรือ คนคิดลงมือสังหารคือท่านนั้น คนลงมือก็คือใต้เท้าเฮ่อ เจ้ากับข้าเอะอะไป ทันทีที่เรื่องแพร่งพรายออกไป พวกเราก็คงไร้ที่ฝัง”

วาจามากมายล่าวจบในอึดใจเดียว จากนั้นน้ำเสียงของโจวทงก็อ่อนลง “ซู่ซู่ หากเจ้าไม่คิดถึงข้า ก็คิดถึงเยวี่ยเอ๋อร์บ้าง ครอบครัวเราแม้ไม่ได้ร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่ก็เลี้ยงดูเยวี่ยเอ๋อร์มาดังไข่มุกในฝ่ามือ หรือว่าเจ้าทนเห็นนางต้องทนทุกข์ทรมานได้ อาจถึงกับ…”

มารดาโจวหนิงเยวี่ยเงียบลง คล้ายว่าถูกกล่อมสำเร็จ

โจวทงถอนหายใจยาว “นอนเถอะ นอนสักตื่นก็จะลืมเรื่องทั้งหมด ครอบครัวเรามาอยู่เมืองหลวง วันเวลาดีๆ ยังรอพวกเราอยู่”

มารดาโจวหนิงเยวี่ยยังคงนิ่งเงียบ

จากนั้นก็ไม่ได้ยินโจวทงเอ่ยอันใดอีก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ

ลมพัดใบกล้วยไหว นอกจากเสียงกรน คล้ายว่ายังมีเสียงสะอื้นไห้เบาๆ

เมฆดำบนท้องฟ้าลอยมาบดบังดวงจันทร์ ในลานพลันมืดมิดมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า

ซินโย่วค่อยๆ ลุกขึ้น ขยับขาทั้งสองข้างที่เหมือนเหน็บกินไปแล้ว เดินกะเผลกไปถึงกำแพงลาน

สาวน้อยยืนเงยหน้าเล็กน้อยในความมืด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ากำแพงลานตระกูลโจวสูงมาก ถึงกับเป็นครั้งแรกที่ทะยานขึ้นไปและร่วงลงมา ดีที่ไม่ได้ทำเสียงดังอันใด

ซินโย่วค่อยๆ หายใจเข้าออก ใช้กำลังทั้งหมดที่เหลือสั่งการแขนขาที่ไม่ยอมฟังคำสั่ง ปีนขึ้นกำแพงอีกครั้งก่อนจะกระโดดออกไป

ถนนสายยาวว่างเปล่าไร้ผู้คน มืดดำจนมองไม่เห็นปลายทาง สาวน้อยในชุดดำย่องเดินย่ำไป คล้ายดังเหยียบอยู่บนดินโคลน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด พอสายตาปรับกับความมืดได้ ในที่สุดก็เห็นร้านหนังสือชิงซงลางๆ

ร้านหนังสือที่ปิดร้านเข้านอนไม่ต่างอันใดกับบ้านเรือนทั่วไป แต่กลับทำให้สาวน้อยสีหน้าไร้ความรู้สึกกะพริบตาเบาๆ

ตะเกียงในเรือนตะวันออกยังจุดสว่างรอนางอยู่ เสี่ยวเหลียนได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบตรงเข้าไปดึงประตูเปิดออก

“คุณหนู…” คำพูดจากนี้หยุดชะงักทันทีที่ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของซินโย่วชัดเจน สีหน้าเสี่ยวเหลียนตื่นตระหนก “คุณหนูท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ”

นางไม่เคยเห็นคุณหนูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้มาก่อน!

“เสี่ยวเหลียน” ซินโย่วส่งเสียงเรียก

“คุณหนู ท่านว่ามาเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนน้ำตาไหลไม่รู้ตัว มือไม้ลนลานชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ยามนี้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า คุณหนูได้กลายเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของนางไปอย่างไม่ทันรู้ตัว นางก็คือความมั่นใจของนางยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ

“เสี่ยวเหลียน ไปยกน้ำร้อนมาให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกหนาว อยากจะแช่น้ำร้อนสักหน่อย”

“ได้ ได้ คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ”

เสี่ยวเหลียนรีบออกไปเตรียมน้ำร้อนอย่างแคล่วคล่องว่องไว ซินโย่วแช่อยู่ในถังไม้ใบใหญ่ เผยเพียงแค่ลาดหัวไหล่ขึ้นไป

สายตาเสี่ยวเหลียนอดมองไปบนหัวไหล่นางไม่ได้

ผิวพรรณลาดไหลขาวราวหิมะ ปานสีแดงรูปหยดน้ำสีสดเป็นพิเศษ

นี่คือหลักฐานที่บอกเสี่ยวเหลียนว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คุณหนูของนาง แต่ยามนี้เห็นสาวน้อยซุกตัวอยู่ในถังน้ำ นางกลับรู้สึกว่าได้พบกับคุณหนูของนาง

ที่แท้ยามคุณหนูปวดใจไร้ที่พึ่งก็ไม่ต่างอันใดกับหญิงสาวทั่วไป

“เสี่ยวเหลียน เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่คนเดียวสักครู่”

เสี่ยวเหลียนอยากพูดแต่ก็เงียบลง สุดท้ายรับคำก่อนจะถอยออกไปเงียบ ๆ

ในห้องเล็กๆ มีเพียงตนเอง ซินโย่วกะพริบตาเบาๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาหยดลงสู่น้ำร้อน

พอมือเท้าเริ่มอบอุ่น สมองที่แข็งทื่อก็ค่อยๆ ทำงาน

นางรู้มาแต่เล็กว่านางไม่มีบิดา

มารดาเล่าว่า บิดานางก็คือหนุ่มยากจน นางและเขาสร้างตัวจากมือเปล่า สร้างกิจการยิ่งใหญ่ในใต้หล้า แต่พอบิดานางได้เป็นเจ้าของที่ดินร่ำรวยแล้วก็เปลี่ยนไป คำมั่นที่ให้ไว้ว่าชีวิตนี้จะมีกันเพียงสองคน ถึงกับแอบเลี้ยงดูหญิงอื่นไว้นอกบ้านอีกหลายคน พอมารดานางพบเข้าก็รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว

มารดานางผิดหวังจึงได้พาสาวใช้คนสนิทจากไป และให้กำเนิดนางเพียงลำพัง

ตอนนางย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มารดานางเคยถามนางว่าอยากกลับไปหาบิดาหรือไม่ หากอยากกลับไป นางก็จะไม่รั้งไว้ แต่นางปฏิเสธทันที

นางไม่ต้องการบิดาเช่นนี้

ตอนนี้นางรู้แล้ว มารดาแต่งกายธรรมดาของนางก็คือฮองเฮา บิดาเจ้าของที่ดินร่ำรวยของนางก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

บิดานางสิบปีก่อนผิดต่อมารดา สิบปีต่อมาสังหารมารดานางอีก

ใต้เท้าเฮ่อที่ให้ความช่วยเหลือนางอยู่หลายครั้ง ใต้เท้าเฮ่อที่ชอบอ่านหนังสือเงียบๆ เป็นดาบของคนผู้นั้นที่สั่งสังหารมารดานาง

ช่างเป็นความจริงที่เหลวไหลสิ้นดี

ซินโย่วทิ้งตัวดิ่งลงน้ำ ร้องไห้เจ็บปวดอย่างไร้สำเนียง

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท