สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 65 ทบทวนตนเอง

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 65 ทบทวนตนเอง

ซินโย่วไม่ตอบความสงสัยของเฮ่อชิงเซียว ก่อนจะถามอีกคำถาม “ไปทางใต้มาหรือเจ้าคะ”

หากไม่มีวิชานรลักษณ์สองครั้งแรกของซินโย่วที่เอ่ยเตือนเขา และเรื่องราวก็เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง เฮ่อชิงเซียวได้ยินคำพูดนี้ก็คงคาดเดาว่าอีกฝ่ายกำลังสืบเรื่องของเขา

ยามนี้เขากำลังประหลาดใจกับวิชานรลักษณ์ลุ่มลึกของสาวน้อยตรงหน้า

น่าอัศจรรย์มากไปสักหน่อยหรือไม่

“ใช่ ออกไปปฏิบัติงานทางใต้”

“เปิดเผยสถานที่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

เฮ่อชิงเซียวเผยรอยยิ้มขออภัย “เรื่องนี้ไม่สะดวกเปิดเผย”

ซินโย่วฝืนฉีกยิ้มมุมปาก ใช้วิชานรลักษณ์มาอ้างต่อ “ไม่สะดวกก็แล้วไป ใต้เท้าเฮ่อไปปฏิบัติครั้งนี้ประสบเหตุนองโลหิตกระมัง”

เฮ่อชิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อยไม่ตอบอันใด

ยามเขานิ่งไป ซินโย่วก็ย่อมรู้คำตอบ นางกำมือแน่น สีหน้าไม่เผยพิรุธใด “ก็แค่อยากเตือนใต้เท้าเฮ่อสักหน่อย การเดินทางลงใต้ครั้งนี้เกรงว่าจะนำเคราะห์ร้ายมาสู่ท่าน ใต้เท้าเฮ่อต้องระมัดระวังสักหน่อย”

“ขอบคุณคุณหนูโค่วที่เตือน ข้าจะระวัง” แววตาเฮ่อชิงเซียวปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง

ทำให้ซินโย่วแน่ใจได้ว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเรื่องที่เฮ่อชิงเซียวไม่อยากเอ่ยกับผู้ใด

ปฏิบัติภารกิจ ความลับ การเดินทางลงใต้ในเดือนสี่ ทุกอย่างที่ถามออกมาทำให้ความคาดหวังทั้งหมดจบสิ้น

ซินโย่วแค่นเยาะกับตนเอง ตอนหันหลังกลับทิ้งคำถามเหมือนผีสางดลใจ “หว่านหยางกระมัง”

แววตาเฮ่อชิงเซียวตกใจ สีหน้าฉายแววประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

คือหว่านหยาง

ความคาดหวังที่ไม่อาจกล่าวสาเหตุได้กระจ่าง ความคาดหวังที่ซ่อนลึกอยู่ในใจซินโย่ว พังทลายหมดสิ้นไม่มีเหลือแม้เถ้าธุลี

นางหันหลังก้าวเดินช้าๆ ยืนหยัดเดินต่อไปข้างหน้า รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตามหลังนางมาตลอด

นางรู้ว่าสุดท้ายก็อดถามคำถามหนึ่งออกไปไม่ได้ ทำให้เฮ่อชิงเซียวตกใจจนถึงขั้นสงสัย

แต่แล้วอย่างไรเล่า ความแค้นสังหารมารดา ไม่สิ้นชีวีย่อมไม่เลิกรา นางหาตัวไม่ผิดคนแน่แล้ว และไม่ว่าใต้เท้าเฮ่อจะสืบอย่างไร นางก็คือคุณหนูนอกโค่วชิงชิงจวนรองเจ้ากรมในสายตาของผู้คนทั่วไป

เฮ่อชิงเซียวมองตามซินโย่วจากไปด้วยอาการหัวใจเต้นแรง

วิชานรลักษณ์คาดเดาได้ถึงระดับนี้จริงหรือ คุณหนูโค่วเป็นเด็กสาวกำพร้ามาพึ่งพาญาติ จะเรียนรู้วิชานรลักษณ์ได้อย่างไร

หากกล่าวว่ากระถางดอกไม้ร่วงลงมาครั้งนั้นอาจเป็นไปได้ที่จะวางแผนไว้ก่อน แต่หลายวันก่อนตอนจับขุนนางโกงกิน เขาซ่อนมีดสั้นไว้ในแขนเสื้อแทงใส่เขา เป็นไปไม่ได้ที่คุณหนูโค่วจะสั่งการ

เฮ่อชิงเซียวรู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง ได้แต่ยอมรับความจริงที่ว่าคุณหนูโค่วคืออาจารย์ดูดวงที่เก็บตัวไม่ให้ผู้ใดรู้จัก

หวนคิดถึงการเตือนอีกครั้งของซินโย่ว ริมฝีปากเฮ่อชิงเซียวก็อดมีรอยยิ้มไม่ได้

ซินโย่วไม่ได้กลับเรือนตะวันออก แต่หวนคิดถึงรายละเอียดของภาพที่เห็น จึงออกไปเดินท้องถนนยามค่ำคืน

บนท้องถนนคนเดินผ่านไปมา ร้านค้าริมทางติดธงเรียกลูกค้าโบกสะบัด กลิ่นสุราอาหาร กลิ่นชาและเสียงผู้คนผสมผสานกลายเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ซินโย่วเดินผ่านร้านน้ำชาร้านสุราแต่ละร้าน

ในภาพที่เห็น เฮ่อชิงเซียวอยู่ในห้องรับรอง มองไม่ออกว่าเป็นร้านน้ำชาใด แต่มองออกจากหน้าต่างห้องรับรอง ก็เห็นธงสีเขียวเขียนว่าร้านอาหารเยวี่ยไหล

นางหยุดเดิน ถามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนลูกค้าร้านสุรา “ขอถามท่านอา ท่านรู้จักร้านอาหารเยวี่ยไหลไหมเจ้าค่ะ”

“ร้านอาหารเยวี่ยไหล?” ชายวัยกลางคนมองซินโย่วด้วยแววตาแปลกประหลาด “คุณหนูถามถึงร้านอาหารเยวี่ยไหลร้านใด ในเมืองหลวง ข้ารู้จักร้านอาหารชื่อเยวี่ยไหลสามร้าน”

ซินโย่วเอ่ยอย่างสุภาพ “ข้ารู้เพียงร้านอาหารเยวี่ยไหล ไม่แน่ใจว่าร้านใด ท่านอาบอกตำแหน่งร้านเยวี่ย ไหลทั้งสามร้านให้ข้ารู้หน่อยได้หรือไม่”

“ละแวกนี้ก็มีร้านหนึ่ง ยังมีอีกร้านที่ฝั่งใต้ของเมืองหลวง…”

ได้ฟังชายวัยกลางคนพูดจบ ซินโย่วก็คำนับเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ”

เห็นซินโย่วจะเดินไป ชายวัยกลางคนอดเตือนไม่ได้ “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เจ้าเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่าไปไหนมาไหนดีกว่า”

ซินโย่วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เดินไปยังร้านอาหารเยวี่ยไหลที่อยู่ในละแวกนี้

ริมกำแพงไม่ไกลนัก มีชายไม่ทำงานทำการสองคนสบตากันด้วยแววตาลิงโลด

“นังหนูนั่นน่าจะมาคนเดียว”

“หึ ใจกล้าไม่น้อย ไม่เพียงแค่คนเดียว ยังกล้าสนทนากับคนแปลกหน้าอีก”

“ใจกล้ามาก พวกขี้ขลาดก็จะสงบเสงี่ยมอยู่แต่ในบ้าน จะมาให้พวกเราพบเข้าได้อย่างไร ลงมือ”

ความสาวเยาว์วัยและความหน้าตาดี หากได้ครองหนึ่งในสองได้ ก็ทำให้ชายไม่ทำงานทำการพวกนี้หวั่นไหวได้แล้ว นับประสาอันใดกับทั้งสองประการ

ซินโย่วรู้สึกได้ว่ามีคนสะกดรอยตามมา แต่ก็มิได้หยุดฝีเท้า

พวกนักเลงหัวไม้ข้างถนน เมื่อก่อนนางไปไหนมาไหนคนเดียวก็เห็นมามาก ความสามารถไม่มาก แต่จิตใจชั่วร้ายมาก ปกตินางจัดการสลบจับโยนไปที่หน้าประตูที่ทำการศาล

ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจคนพวกนี้ ซินโย่วจึงเลี้ยวไปยังที่ที่มีคนมาก ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่าย

ถึงร้านอาหารเยวี่ยไหลแล้ว

ซินโย่วหันหน้ามองฝั่งตรงข้ามร้านอาหารเป็นโรงรับจำนำ

ไม่ใช่ที่นี่

เดิมซินโย่วคิดไม่ถึงว่าจะเสียเวลาหาอยู่ครู่หนึ่งจึงหาพบ นางถอนหายใจเบาๆ เดินไปยังทิศทางร้าน เยวี่ยไหลถัดไป

เลี้ยวออกจากถนนสายหลัก บนถนนพลันเงียบเชียบลงไม่น้อย เสียงฝีเท้าด้านหลังใกล้เข้ามา

ซินโย่วขมวดคิ้ว แต่ไม่ทันได้หันหลังกลับไปก็ได้ยินเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวด

“ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย!”

สีหน้าเฮ่อชิงเซียวเรียบเฉยสั่งการลูกน้อง “จับนักเลงสองคนนี้ส่งไปกองบัญชาการรักษานคร”

“ขอรับ”

นักเลงหัวไม้สองคนถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวไป เฮ่อชิงเซียวก้าวมาหาซินโย่ว

“เหตุใดคุณหนูโค่วอยู่เพียงลำพัง”

“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงออกมาเดินเล่น สองคนนั้น…”

“เมื่อครู่ตอนเห็นสองคนนั้นลับๆ ล่อๆ เดินตามหลังคุณหนูโค่วมาตลอด เดาว่าเป็นพวกนักเลงหัวไม้ ค่ำมืดแล้ว คุณหนูโค่วมาเดินข้างนอกคนเดียวไม่ปลอดภัย ข้าส่งคุณหนูกลับร้านหนังสือก็แล้วกัน”

คำปฏิเสธติดอยู่ที่ริมฝีปากถูกซินโย่วกลืนกลับลงไป “รบกวนใต้เท้าเฮ่อแล้ว”

“ไม่รบกวน ข้าก็ไม่ได้มีธุระอันใด” เฮ่อชิงเซียวก้าวนำยังทิศทางไปร้านหนังสือ ยังตั้งใจก้าวเดินให้ช้าลง

แสงโคมไฟหลายบ้านจุดสว่างกันแล้ว ผสมผสานแสงดาวบนท้องฟ้าทำให้ค่ำคืนเมืองหลวงยังคงเปี่ยมชีวิตชีวา แตกต่างจากความวุ่นวายการงานยามกลางวัน บรรยากาศยามนี้ผ่อนคลายกว่ามาก

ซินโย่วเดินตามไปเงียบๆ พลางเหลือบมองชายหนุ่มข้างกาย

ร้านอาหารเยวี่ยไหลในเมืองหลวงไม่ได้มีเพียงสามร้านที่ถามมาได้ เฮ่อชิงเซียวจะไปร้านใด

เฮ่อชิงเซียวเลิกคิ้วเล็กน้อย

คุณหนูโค่วคล้ายกำลังมองเขา หรือว่ามีอันใดไม่เหมาะสม

ในสถานการณ์เช่นนี้ยามนี้ เขาไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกอึดอัด ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เดินต่อไป

ทั้งสองคนเงียบมาตลอดทาง พอมาถึงประตูข้างของร้านหนังสือชิงซง

เฮ่อชิงเซียวหยุดชะงัก “คุณหนูโค่วรีบเข้าไปเถอะ วันหน้าหากออกจากบ้าน ควรมีสาวใช้หรือผู้คุ้มกันไปด้วยจะดีกว่า”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้าเฮ่อที่มาส่ง ใต้เท้าเฮ่อรีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ” ซินโย่วย่อกายลงคำนับ เดินเข้าประตูข้างตรงไปเรือนตะวันออก ไม่หันหลังกลับมามองอีก

เฮ่อชิงเซียวยืนอยู่ที่เดิมเหมือนครุ่นคิด

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ ท่าทีคุณหนูโค่วต่อเขาคล้ายว่าไม่เหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าดูแล้วยังคงสุภาพเกรงใจ แต่กลับเผยกลิ่นอายเย็นเยียบยามเผลอไผล

ไม่ใช่ว่าไม่อาจเย็นเยียบต่อเขา แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ไร้เหตุผลไปสักหน่อยหรือ

หรือว่ารังเกียจที่เขามักมาอ่านแต่หนังสือแต่ไม่ซื้อ

เฮ่อชิงเซียวคิดไปคิดมา ก็ได้แต่คิดถึงความเป็นไปได้นี้

วันต่อมา ซินโย่วกำลังออกจากบ้าน ก็ได้พบกับสายตางุนงงของหลิวโจว

“ท่านเจ้าของร้าน ข้ามีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งจะบอก ใต้เท้าเฮ่อซื้อบันทึกการเดินทางพวกนั้นไปแล้วขอรับ!”

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท