ตอนที่ 322 ดาบผิงล่วน (2)
“ผมสนใจมากมายขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ”
ตอนนี้ฟางผิงมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน อย่างมากถ้าระบบอัปเกรดแล้ว ตัวเองค่อยหาวิธีดูอีกที ตอนนี้เขาขาดแคลนค่าทรัพย์สิน ไม่ได้ขาดแคลนเงิน หากเข้าตาจนจริงๆ ใช้เงินซื้อก็เพียงพอแล้ว
พูดเรื่องสินสงครามแล้ว ฟางผิงก็ไม่วกหาประเด็นนี้ต่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ วิชากระบี่ครั้งก่อนของคุณสอนให้ผมเถอะ ตอนนี้ผมไม่ขาดอะไรทั้งนั้น ขาดแค่กระบวนท่าเดี่ยวที่ระเบิดพลังแข็งแกร่งแบบนี้ แน่นอนว่าทางที่ดีควรแปลงเป็นวิชาดาบ ฟันหนึ่งดาบออกไป ไม่พูดถึงฆ่าขั้นเจ็ด แค่ขั้นหกก็พอแล้ว”
“ฆ่าขั้นเจ็ด?”
ตาเฒ่าหลี่ชำเลืองตามองเขา แค่นหัวเราะ
ผ่านไปพักหนึ่งก็ครุ่นคิด “เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ บอกเธอตามตรง กระบวนท่านี้ไม่ใช่บอกว่าจะฟันก็ฟันออกมาได้ เธอคิดว่าฆ่าข้ามขั้นง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง? ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกฝึกได้ครึ่งกระบวนท่าก็สามารถฆ่าขั้นแปดได้แล้ว? กระบี่นี้ของฉัน…เตรียมมานานแล้วต่างหาก อันที่จริงไม่นับว่าเป็นกระบวนท่าอะไร ผ่านการสะสมพลังครั้งแล้วครั้งเล่า อัดแน่นแล้วอัดแน่นอีก ใช้ปราณบ่มเพาะในกระบี่ แลกเปลี่ยนไม่ขาดสาย รอแค่ชั่วพริบตาที่ออกกระบี่ แค่เสี้ยววินาทีนี้เท่านั้น!”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อันที่จริงผมเดาไว้แล้วเหมือนกัน จะต้องอาศัยจิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่ง จ่ายค่าตอบแทนแสนสาหัสออกไป?”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อยากฆ่าข้ามขั้น จ่ายค่าตอบแทนนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลหรือไง?”
“จะตายหรือเปล่าครับ?”
“ทายดูสิ?”
ฟางผิงแค่นยิ้ม “ผมไม่ทาย ทางที่ดีคุณก็อย่าใช้เหมือนกัน อันที่จริงผมไม่ได้อยากเรียนวิชากระบี่ แต่ผมอยากเรียนวิธีสะสมพลังของคุณ ฝึกทักษะระเบิดพลัง ไม่ชักดาบก็ไม่เป็นไร แต่ชักดาบแล้วต้องมีคนตาย! แก่นแท้ของกระบวนท่าคุณอยู่ตรงนี้ ส่วนจ่ายค่าตอบแทนถึงจะสังหารศัตรูได้ ผมไม่เรียนหรอก วันนี้ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตผมจะไม่ใช่ ตอนนี้จ่ายค่าตอบแทนแสนสาหัสเพื่อฆ่าศัตรูแข็งแกร่งผู้หนึ่ง ไม่คุ้มค่าพอ คุณว่าเป็นหลักการนี้หรือเปล่า?”
“แม้กระบี่นั้นของคุณจะฆ่าขั้นแปดได้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของถ้ำใต้ดินได้หรือไง? หากผมเป็นคุณ ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าขั้นหกให้มากหน่อย เจอกับผู้แข็งแกร่ง หนีเอาตัวรอดก่อน ฆ่าระดับกลางได้สี่ห้าร้อยคน หรือจะเทียบกับฆ่ายอดฝีมือคนหนึ่งไม่ได้? ระดับกลางพวกนี้ บางทีไม่นานหลังจากนี้อาจจะกลายเป็นระดับสูง…”
ตาเฒ่าหลี่ยิ้มไม่พูดอะไร เป็นหลักการนี้แหละ แต่ไอ้หนูอย่างเธอไม่เข้าใจหรอก นั่นล้วนเป็นเรื่องอนาคต ตอนนี้ความแตกต่างของมนุษย์และพวกถ้ำอยู่ที่พลังต่อสู้ระดับสูง
หากมีหวังเป็นปรมาจารย์ บางทีเขาอาจจะพูดกับฟางผิงแบบนี้ วันนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย วันหน้าฉันค่อยมาฆ่านายใหม่
ฆ่าระดับกลางคนอื่นหนึ่งร้อยคนก็ไม่ต่างกัน
น่าเสียดายที่สวรรรค์ไม่มอบโอกาสนี้ให้เขา
ไม่ต่อบทสนทนากับฟางผิงอีก ตาเฒ่าหลี่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “วิชาสะสมพลังและระเบิดพลังน่ะมี แต่นี่ต้องการอาวุธดีเล่มหนึ่ง…”
“อันนี้เป็นยังไง?”
ฟางผิงหยิบดาบในมือวางบนโต๊ะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดาบผิงล่วน ดาบดีอย่างแท้จริง!”
“มองออกแล้ว” ตาเฒ่าหลี่ไม่แปลกใจเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อีกอย่างอย่าเปลี่ยนชื่อมั่วซั่ว ดาบตั้งโค่วของจางติ้งหนาน ชื่อเสียงไม่ใช่น้อยเชียว”
“คุณก็รู้จักดาบนี้?”
“รู้จัก” ตาเฒ่าหลี่หัวเราะ “เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว อาวุธที่พวกเขาใช้จะอยู่ระหว่างความว่างเปล่าและความแท้จริง ไม่ใช่อาวุธโลหะผสมอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ก่อนทะลวงขั้นเจ็ด ยังคงใช้อาวุธอย่างแท้จริง! อาวุธประเภทนี้ อันที่จริงก็มีการจัดอันดับในแวดวงเล็กๆ อย่างพวกคัมภีร์อาวุธ สิบอาวุธวิเศษที่ทุกคนมักจะพูดถึงก็คือสิ่งเหล่านี้แหละ แน่นอนว่าไม่มีการจัดอันดับเป็นทางการ แต่ในแวดวงอาวุธบางอย่างยังมีชื่อเสียงไม่น้อย อย่างดาบตั้งโค่วของจางติ้งหนาน กระบี่พิฆาตของสวี่โม่ฟู่ สนับกระหายเลือดของราชสีห์ถัง…แน่นอนว่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือกระบี่อมตะของฉัน!”
ตาเฒ่าหลี่ทำหน้าภาคภูมิใจ ฟางผิงกลับไม่คิดประจบประแจง เอ่ยทันที “หัวสิงโตมีอาวุธด้วย?”
“เหลวไหล!”
ตาเฒ่าหลี่เห็นเขาไม่เอ่ยยกยอจึงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ยังคงตอบกลับไป “ราชสีห์ถังมีอาวุธอยู่แล้ว สนับกระหายเลือดของเขามีชื่อเสียงไม่น้อย อันที่จริงก็เกี่ยวข้องกับฝีมือของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าราชสีห์ถังจะไม่ได้รวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่ง แต่ฉายา ‘ราชสีห์คลั่ง’ ไม่อาจโผล่ขึ้นมาเฉยๆ ได้ เขาไม่ค่อยใช้อาวุธเท่าไหร่ ตอนนี้ไม่ใช้อาวุธ หลักๆ เพราะอยากขัดเกลาร่างกายตัวเองให้แตะถึงขั้นจิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่ง ตอนที่เขาบ้าคลั่งจริงๆ ควักสนับกระหายเลือดออกมา ทางที่ดีไอ้หนูอย่างเธอหลบไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น ตอนนี้ยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดของเซี่ยงไฮ้ คนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือเขา อาจารย์ของเธอยังแพ้ไปเล็กน้อย ฉายา ‘อู๋ไร้พ่าย’ นั้นเธอตั้งขึ้นมาเอง วัดกับราชสีห์ถังตอนยังไม่คลั่งไม่เป็นไร แต่เจอกับราชสีห์ถังที่บ้าคลั่ง อาจารย์ของเธออาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป…”
“แต่ก่อนหน้านี้เขาต่อสู้กับขั้นหก เหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่…ครั้งก่อนขั้นหกที่ไล่ตามผมคนนั้น เขาชกหนึ่งหมัดยังทำให้ตายไม่ได้ ปล่อยให้คนหนีไป”
ตาเฒ่าหลี่ส่ายหัวว่า “หากไม่ใช่ว่าขั้นหกที่ไล่ฆ่าเธอเป็นผู้แข็งแกร่งก็อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะมีเธอเป็นอุปสรรคเช่นกัน ใครจะรู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง ยังไงเธอก็หาเรื่องเขาน้อยๆ หน่อยเถอะ การจัดอันดับขั้นหกยังไม่ออกมา หากออกมาจริงๆ ราชสีห์ถังอาจจะเข้าสู่สิบอันดับแรก”
“งั้นคุณล่ะ?”
“ฉัน?”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยอย่างสบายๆ “อันดับหนึ่ง”
ฟางผิงหมดคำจะพูด ครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมหมายถึงในสถานการณ์ที่คุณไม่ใช้กระบี่เล่มนั้น…”
ตาเฒ่าหลี่สีหน้าดำคล้ำ ไม่สนใจเขาอีก
ไม่ใช้กระบี่เล่มนั้นตาเฒ่าคงเข้าไม่ถึงร้อยอันดับด้วยซ้ำ!
เห็นตาเฒ่าหลี่เงียบไป ฟางผิงจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “งั้นอาจารย์ของผมจะอยู่ที่อันดับเท่าไหร่?”
“ประมาณสามสิบอันดับแรกล่ะมั้ง มากสุดก็เท่านี้”
“อ่อนแอขนาดนั้นเลย?”
ฟางผิงทำหน้าแปลกใจ หลู่เฟิ่งโหรวเป็นคนที่ใกล้จะทะลวงขั้นปรมาจารย์แล้ว!
อ่อนแอ?
ตาเฒ่าหลี่แค่นเสียง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอจะไปรู้อะไร ขั้นหกสูงสุดมีสามประเภท ประเภทแรกเริ่มสัมผัสถึงพลังจิตใจ คนประเภทนี้สามารถเรียกได้ว่าขั้นหกสูงสุด อันดับแรกคือปิดผนึกประตูซานเจียวแล้ว ประเภทที่สอง พลังจิตใจแตะถึงขั้นปลดปล่อยไปภายนอก ประเภทที่สามสารจิงและเลือดหลอมรวมกัน ประเภทนี้ถึงจะนับว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด ขั้นเจ็ดเป็นเรื่องในอีกไม่ช้า! หลู่เฟิ่งโหรวพลังจิตใจไม่อ่อนด้อย แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางระดับรอง ก็แข็งแกร่งมากอยู่ดี แต่เธอทำไม่ถึงขั้นหลอมสารจิงและเลือดรวมเป็นหนึ่ง ดังนั้นสรุปแล้ว ไม่ได้ฝีมือแข็งแกร่งมากจนเกินไป แน่นอนว่าพลังจิตใจของเธอแข็งแกร่งไม่น้อย แม้ว่าจะเจอกับยอดฝีมือที่หลอมรวมเป็นหนึ่งแล้วอาจจะไม่แพ้เสมอไป”
“ราชสีห์ถังยังไม่แตะถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นกัน ตามหลักแล้วต้องด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ราชสีห์ถังมีปราณแข็งแกร่ง เคล็ดวิชาก็ฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด พื้นฐานร่างกายยังแตะถึงขั้นสูงสุดเช่นกัน แม้จะสู้ฉันที่กึ่งร่างทองไม่ได้ แต่เทียบกับร่างกายปรมาจารย์ขั้นเจ็ดทั่วไปไม่อ่อนแอเลย หากเขาและหลู่เฟิ่งโหรวต่อสู้เอาเป็นเอาตายจริงๆ หลู่เฟิ่งโหรวอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”
“หัวสิงโตแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว…”
ฟางผิงกลืนนำลาย ฉันไม่เห็นมองออก!
แบบนี้เท่ากับว่าฉันเอาชีวิตไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวันเลยน่ะสิ?
แต่จะว่าไปแล้ว ปรมาจารย์ยังกล้าหาเรื่อง แหย่หัวสิงโตนิดหน่อยเหมือนจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ตาเฒ่าหลี่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะ ครุ่นคิดเล็กน้อย “แต่ก็พูดยาก ภายในถ้ำใต้ดิน อันที่จริงยังมียอดฝีมือขั้นหกสูงสุดอยู่ไม่น้อย คนพวกนี้เป็นหรือตายไม่ชัดเจน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีการจัดอันดับขั้นหกออกมาสักที แน่นอนว่าหากปล่อยออกมาจริงๆ พวกคนที่สูญหายพวกนั้นคงไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับ”
ฟางผิงเพิ่งอยากถามเรื่องกึ่งร่างทอง ตาเฒ่าหลี่กลับเอ่ยขึ้นว่า “วิชาสะสมพลังและระเบิดพลังฉันสอนเธอได้ ส่วนวิธีฝึกกึ่งร่างทอง ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ”
ตาเฒ่าหลี่ไม่ได้วางแผนจะถ่ายทอดความรู้ให้ ไม่มีประโยชน์อะไร
ร่างทองกึ่งหนึ่งของเขาเป็นเพราะไม่มีหวังทะลวงขั้นเจ็ด เขาจึงเลือกใช้ทางลัด คลำถูกๆ ผิดๆ เอาเอง
หากฟางผิงฝึกจริงๆ จะเป็นประโยชน์หรือโทษกับการหลอมร่างทองในอนาคต เขาก็ไม่รู้เช่นกัน
ส่วนวิชาสะสมพลังและระเบิดพลัง อันที่จริงเป็นวิชาลับของเขาเหมือนกัน สิบปีนี้เขาไม่มีหวังเป็นปรมาจารย์จึงสร้างเคล็ดวิชาลัดพวกนี้ขึ้นมาไม่น้อย
แต่ให้คนทั่วไปเรียนก็ไม่มีประโยชน์ อาจไม่มีกระทั่งความสามารถในการแบกรับอาวุธ
วิชาลับพวกนี้ฝึกง่ายกว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ วิชาเกาทัณฑ์เลือดของหลู่เฟิ่งโหรวพูดขึ้นมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ แต่เป็นวิชาลับมากกว่า
ตาเฒ่าหลี่พูดคร่าวๆ อยู่พักหนึ่ง ฟางผิงก็จดจำไว้
แต่ตาเฒ่าหลี่ยังมีส่วนที่กั๊กเอาไว้ เกี่ยวข้องกับที่ฟางผิงพูดเช่นกัน เขาไม่เรียนวิชาที่ใช้ชีวิตเข้าแลก
ทั้งสองคนผลัดกันถามตอบ เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป
จวบจนฟางผิงจดจำทั้งหมดได้ ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงแล้ว
“พรุ่งนี้มีการแข่งขันร้อยอันดับแรก ผมขอตัวก่อนนะครับอาจารย์”
“อืม”
“กระบี่เล่มนั้นของคุณ กลับไปเอาให้ผมได้หรือเปล่า ผมคิดว่าใช้ดาบและกระบี่ควบคู่กันดูเหมาะกับผมดี”
“ไสหัวไป!”
ฟางผิงหัวเราะหมุนตัวเดินจากไป ในใจกลับลอบคิดวางแผน หรือจะขโมยกระบี่เล่มนั้นดี?
ตาเฒ่าหลี่ไม่มีกระบี่เล่มนั้นก็เป็นยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ว่างจนต้องฆ่าขั้นเจ็ดขั้นแปด คิดว่าขั้นเจ็ดขั้นแปดจัดการง่ายหรือไง?
———————–