เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย – ตอนที่ 41 โฮมส์กับวัตสันกับม็อบ

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

บทที่ 2 ตอนที่ 15

 

    หลังเลิกเรียน พอไปถึงยังร้านอาหารครอบครัวร้านประจำ ที่ตรงนั้นก็มีสมาชิกชมรมนักผจญภัยมารออยู่ก่อนแล้ว

    ยังคงเร็วเกินกว่าจะเป็นช่วงเวลาอาหารเย็น ร้านอาหารจึงมีผู้คนบางตา แต่ด้วยการปรากฏตัวของเด็กสาวแสนสวยลูกครึ่งผมสีแดงและเด็กสาวแสนสวยจูนิเบียวในชุดแฟชั่นโกธิคโลลิต้าพังค์ มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเป็นที่จุดดึงดูดต่อลูกค้าที่อยู่รอบๆ

    เป็นเหมือนอย่างเคย…..รู้สึกอายนิดหน่อยตอนที่มุ่งตรงไปยังที่นั่งที่พวกเธออยู่…..

    ขณะที่คิดอะไรแบบนั้นอยู่ก็ทำการกล่าวทักทายไปเล็กน้อยแล้วนั่งลง จากนั้นอันนาก็เริ่มทำการพูดขึ้นทันที

 

「เอาล่ะ มาเริ่มการประชุมวางแผนกันได้…..แต่ว่า ก่อนหน้านั้น」

 

    ขณะพูด อันนาเหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้แล้วเริ่มทำการค้นของในกระเป๋า แล้วดึงเอาอุปกรณ์คริสตัลขนาดเท่าฝ่ามือออกมา

 

「นี่คือ…..?」

「อุปกรณ์เวทต่อต้านข่าวกรองพื้นฐานส์ มีประสิทธิภาพมากพอในการทำให้เสียงยากที่จะเล็ดลอดไปยังพื้นที่รอบข้างล่ะนะ ในตลาดก็มีขายอยู่เยอะแยะเลย มั่นใจว่ารุ่นพี่เองก็น่าจะเคยเห็นอยู่บ้างส์ใช่ไหมคะ?」

「…..อา พอคิดดูแล้วก็เคยเห็นอยู่ที่ร้านคาราโอเกะนะ」

 

    ผมพยักเห็นด้วย

    จริงอยู่ที่ไม่คิดว่าผู้โจมตีหรือพรรคพวกของมันจะมาบังเอิญอยู่แถวนี้ แต่ระวังตัวเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่า

    อันนาเปิดใช้งานอุปกรณ์เวทต่อต้านข่าวกรองพื้นฐานแล้วเริ่มพูดต่อ

 

「เอาล่ะ ที่พวกเรามารวมตัวกันที่นี่วันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เรื่องเมื่อวันก่อนที่รุ่นพี่ถูกโจมตีจากผู้โจมตี…..เนื่องจากว่าใช้มอนสเตอร์แค่สุนัขกับหมาป่า จะขอเรียกเป็น『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』ละกัน…..มาทำการวางแผนเพื่อค้นหาและจับเจ้า『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』กันส์」

 

    อย่างงี้นี่เอง…..『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』เหรอ เป็นคำที่อธิบายถึงผู้โจมตีที่ใช้การ์ดประเภทหมาป่าได้อย่างเหมาะสมที่สุด ฟังดูดีกว่านักล่าเด็กใหม่ที่ผมแอบคิดเอาไว้อยู่อีก

    ขณะที่ผมแอบชื่นชมอยู่ในใจ โอริเบะก็ยกมือขึ้นมา

 

「…..กรุณารอก่อน ขอเริ่มจากชั้นได้ไหมคะ? เรื่องราวโดยรวมได้ยินมาจากอันนาแล้ว แต่ว่าอยากจะได้ยินจากรุ่นพี่ที่ได้เจอ『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』จริงๆก่อน ตั้งแต่ก่อนจะลงสำรวจเขาวงกตไปจนถึงหลังจากตื่นที่โรงพยาบาล, มีความคิดยังไง, รู้สึกยังไง ทั้งหมดเลย ค่ะ」

「อา เข้าใจแล้ว…..แต่จะว่าไป โอริเบะเข้าร่วมด้วยราวกับเป็นเรื่องปกติเลย มาร่วมด้วยแบบนี้จะดีแล้วเหรอ?」

 

    เว้นตัวอันนาที่ได้ยืนยันความตั้งใจไปแล้วที่ห้องของโรงพยาบาล ไม่ใช่ว่าโอริเบะถูกบังคับให้มาเกี่ยวข้องด้วยหรอกเหรอ…..? พอถามคำถามนี้ไป เธอก็ตีหน้าบูดบึ้งกลับมา

 

「อะไรกัน…..คิดจะกันชั้นออกกลุ่มงั้นเหรอคะ?」

「ไม่สิ ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย…..แต่ว่ามันอันตรายจริงๆนะ」

「อันตราย ถ้าพูดแบบนั้นมันก็เหมือนกับการสำรวจเขาวงกตตามปกตินั่นแหละ เอาเถอะค่ะ เล่าเรื่องมาก่อนได้เลย」

「อ-อา…..」

 

    ผมพยักหน้าแล้วเริ่มเล่าลำดับเหตุการณ์อีกครั้ง

    การเล่าเป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากเคยพูดไปแล้วหลายรอบ แต่เนื่องจากโอริเบะจะแทรกถามหลายคำถามและเรื่องความรู้สึกของผม ส่งผลให้เรื่องที่เล่ายาวนานกว่าที่คาด

    ยังไงก็ดี เรื่องที่เธอถามแบบเจาะลึกนั้นมี『ตอนที่เจอกับเกรมลิน』กับ『ความรู้สึกของผมหลังจากที่ได้คุยกับผู้โจมตีจริงๆ』2 อย่างนี้

 

「…..แล้ว ก็เข้าโรงพยาบาลอยู่ประมาณ  2 วันแล้วกลับมาพักที่บ้าน 1 วัน แล้วก็มาอยู่ที่นี่วันนี้」

「อย่างงี้นี่เอง…..」

 

    หลังจากได้ฟังทุกอย่าง โอนิเบะเอามือกอดอก หลับตา แล้วนิ่งเงียบไป

    พอเธอเป็นแบบนั้น อันนาก็เริ่มพูดขึ้น

 

「เรื่องแรก ก่อนที่จะเริ่มทำการค้นหาคนร้าย อยากจะบอกว่าส์ ไม่มั่นใจว่าพวกเราจะสามารถจับตัวคนร้ายได้

    ความเป็นจริงไม่เหมือนกับนิยายแนวลึกลับสืบสวน ไม่มีหนทางแน่นอนที่สามารถพาไปหาตัวคนร้าย อีกทั้งตัวคนร้ายก็ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ในหมู่ตัวละคร…..

    แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อมูลของรุ่นพี่ที่ไปเจอตัวคนร้ายจริงๆแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ มาเริ่มจากการตรวจสอบมันกันเถอะ」

「อา」

 

    พอผมพยักหน้า อันนาก็ชูนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วพูด

 

「ก่อนอื่น ข้อแรก ทำไมคนร้ายถึงยังไม่ถูกจับตัว

    ตามปกติอาชญากรรมภายในเขาวงกตจะถูกระบุตัวได้อย่างรวดเร็วผ่านใบอนุญาตที่เกททางเข้า-ออก และกล้องรักษาความปลอดภัยด้านหน้าเกท

    ถึงแม้ว่าอาชญากรรมเพียง 1 หรือ 2 ครั้งอาจจะถูกปัดตกว่าเป็นเหตุบังเอิญได้ แต่ถ้าจำนวนผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้น การสืบสวนจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

    ถึงแม้จะใช้ใบอนุญาตที่ทำปลอมขึ้นหรือไปขโมยของคนอื่นมา มันก็สามารถค้นพบได้ตราบเท่าที่ยังมีภาพจากกล้องรักษาความปลอดภัย

    ทว่าความจริงที่คนร้ายยังไม่ถูกจับ หมายความว่าได้ใช้อุบายที่แยบยลอย่างมาก หรือไม่ก็รู้กลไกของเขาวงกตที่คนทั่วไปยังไม่รู้มาก่อนแล้วอาศัยช่องโหว่นั้น…..」

「ก็ ตามนั้นแหละนะ แต่ว่าแบบนั้นพวกเราที่เป็นมือสมัครเล่นก็คงหาไม่เจอหรอก…..」

「ใช่ ชั้นเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันส์ ในตอนนี้『บางทีคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนร้ายเจอโดยดูจากการเข้า-ออกเขาวงกต』 ให้จำจุดนี้เอาไว้ก่อน」

 

    ผมพยักหน้าให้กับคำของอันนา

    โดยทั่วไปของนิยายลึกลับสืบสวน การไขปริศนาห้องปิดตายมักจะนำไปสู่ตัวตนของคนร้าย

    บุคคลเดียวที่สามารถเข้าไปในที่เกิดเหตุที่น่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ จะต้องเป็นคนร้ายอย่างแน่นอน

    ในอีกด้านหนึ่ง คดีในคราวนี้มีความคล้ายคลึงกับการฆาตกรรมในห้องปิดตาย ที่ตัวคนที่น่าจะเป็นคนร้ายไม่สามารถถูกจับได้แม้จะมีการตรวจสอบช่วงเวลาการเข้า-ออก…..คิดว่าเป็นแบบนั้น

    ถ้างั้น หากไขปริศนานั้นได้ มันก็น่าจะนำไปสู่ตัวคนร้าย…..ก็อาจจะคิดกันแบบนั้น แต่ว่าตัวเขาวงกตแต่ไหนแต่ไรมันก็มีปริศนาที่ยังไม่ถูกไขอยู่อีกมาก มันจึงไม่สามารถมองเป็นห้องปิดตายได้

    ถ้าหากเป็นอะไรง่ายๆอย่างการปลอมใบอนุญาตหรือแฮ็กกล้องรักษาความปลอดภัยแล้ว มันก็คงสามารถไล่ตามแนวทางพวกนั้นไปได้ แต่เนื่องจากทางตำรวจและกิลล์ยังคงไม่สามารถระบุตัวคนร้าย มันก็คงจะไม่ได้ง่ายแบบนั้น

    พูดอีกอย่างคือ มีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายใช้กลไกบางอย่างของเขาวงกตที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ หรืออุปกรณ์เวทที่ไม่รู้จัก

    ตรงจุดนั้น พวกเราที่เป็นแค่นักเรียนม.ปลายก็จะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

    แน่นอนว่าถ้าเกิดได้เบาะแสอะไรมาก็จะเริ่มทำการสืบสวน แต่ก็คงต้องบอกว่า ณ จุดนี้จะให้ไปไล่ตามคนร้ายคงจะเป็นเรื่องเกินจริงไป

 

「ต่อไป 『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปภายในเขาวงกตแรงค์ F รึเปล่า…..คิดว่าคงจะปลอดภัยที่จะสรุปว่ามันเป็นแบบนั้น

    ไม่ว่าจะมีกี่ดาว การที่นักผจญภัยหลายคนที่มีการ์ดแรงค์ D กลับหายตัวไปภายในเขาวงกตแรงค์ F เป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะคิดแบบนั้น มันจะเป็นอีกเรื่องถ้าหากว่ามีอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์โผล่ขึ้นไปทั่ว แต่นี่ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์เกิดขึ้นจำนวนมากเลย

    ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นปัยจัยภายนอก หรือก็คือคิดได้ว่ามันเป็นฝีมือของมนุษย์ล่ะ

    ทั้งที่เป็นแบบนั้น ความจริงที่ว่าคนร้ายยังไม่ถูกจับตัวก็หมายความว่า มีวิธีในการเข้า-ออกเช่นเดียวกันกับ『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』หากจะบอกว่ามีวิธีลอบเข้า-ออกเขาวงกตหลายวิธีล่ะก็…..ไม่คิดว่าจะหากันได้ง่ายๆหรอกส์ค่ะ」

 

    อา…..งั้นหรอกเหรอ ผม-ฟุ่บ-เปิดตากว้าง

    เพราะว่าตัวอาชญากรรมเกิดภายในเขาวงกต ทำให้เผลอเชื่อมโยงการหายตัวไปจำนวนมากภายในเขาวงกตแรงค์ F กับ『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』เข้าด้วยกัน แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือคนอื่นก็ได้

    หากมาลองคิดดู ระหว่างการโจมตีนักผจญภัย 1 ดาวที่เป็นแค่เด็กใหม่ กับนักผจญภัย 3 ดาวที่อีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ผลตอบแทนและความเสี่ยงมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเทียบอย่างแรกเป็นการวิ่งราวข้างถนน อย่างหลังก็เหมือนกับบุกปล้นร้านเพชร สามารถคิดได้ว่าเป็นอาชญากรรมคนละอย่าง

    ทว่าหากวิธีการก่ออาชญากรรมมีความสอดคล้องกับแบบพิเศษ มันก็สามารถคิดได้ว่าอาชญากรรมเหล่านี้ถูกก่อขึ้นโดยคนร้ายคนเดียวกัน

    ถ้าเป็นแบบนั้น ด้วยการสืบเสาะการหายตัวไปจำนวนมากภายในเขาวงกตแรงค์ F ก็จะสามารถสาวไปถึงตัวคนร้ายที่โจมตีผมได้

 

「อย่างที่ 3 เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ของตัวคนร้าย

    ตามคำของรุ่นพี่ 『ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ』เรียกร้องการ์ดและอุปกรณ์เวททั้งหมดจากรุ่นพี่ รวมไปถึงการ์ดที่ถูกตั้งชื่อแล้ว สั่งให้ทิ้งเอาไว้แล้วใช้บันไดแทนที่จะเป็นเกท ตามนี้

    ทำไม ตัวคนร้ายถึงต้องการการ์ดที่ถูกตั้งชื่อแล้วและโซลการ์ดที่ไม่สามารถถ่ายโอนสิทธิความเป็นเจ้าของได้

    ถ้าหากว่าเป็นการ์ดปกติและอุปกรณ์เวทที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ก็ยังสามารถเข้าใจจุดประสงค์ที่ต้องการนำไปขาย ทว่าความจริงที่เรียกร้องแม้กระทั่งโซลการ์ด บ่งบอกได้ว่ามีจุดประสงค์ที่มากไปกว่าการลดกำลังรบของตัวรุ่นพี่ลง

    อีกเรื่อง แทนที่จะฆ่าทิ้งไปตรงนั้นเลย ทำไมจะต้องให้ใช้บันไดหนีไปด้วย ถ้าหากไม่มีความตั้งใจจะฆ่าแล้วก็น่าจะปล่อยให้หนีผ่านเกทไป การเอาหนทางในการป้องกันตัวของคนอื่นไปแล้วบอกให้ขึ้นไปชั้นบนที่มอนสเตอร์เพ่นพ่าน มันก็ไม่ต่างกับการบอกให้ไปตายเลย

    ถ้าเป็นแบบนั้น การลงมือฆ่าทิ้งเสียตรงนั้นมันจะทำให้ข้อมูลที่จะนำพาไปสู่ตัวเขารั่วไหลได้ยากขึ้นมากกว่า

    ลงมือทำไปเพราะความซาดิสม์…..ก็มีความเป็นไปได้ที่จะคิดแบบนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างในความขัดแย้งกันนี่ที่จะนำพาไปสู่ตัวจริงของคนร้ายได้…..」

 

    ตรงนั้นแหละ

    นั่นเป็นส่วนที่ผมสงสัยมากที่สุดในตอนที่คุยกับคนร้าย

    ทำไมถึงเรียกร้องแม้กระทั่งโซลการ์ดที่ถึงแม้จะเอาไปได้ก็ไร้ประโยชน์ แล้วยังการบอกให้ขึ้นบันไดไปอีก

    จะบอกว่าเป็นการโกหกเพื่อให้ส่งการ์ดให้เงียบๆ แบบนั้นก็ยากที่จะเชื่อได้ นั่นเพราะไม่ว่าจะส่งการ์ดให้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี

    แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่พอส่งการ์ดให้แล้วลงมือจัดการทันที แต่ว่าในในมุมมองของผม『อนูบิสตัวนั้นไม่ต้องการจะลงมือสังหารด้วยมือของตัวเอง』เหมือนเป็นแบบนั้น

    แน่นอนว่ามันไม่น่าจะเป็นเหตุผลตื้นๆอย่างไม่ต้องการจะข้ามเส้นสุดท้าย มันเป็นอะไรบางอย่างที่น่าจะมีความหมายมากกว่านั้น…..

 

「…..ก็นะ ถือว่ายาวน่าดู แต่นี่ก็น่าจะเป็นข้อมูลทั้งหมดที่ยืนยันได้ในขณะนี้ คำถามคือ จะใช้ข้อมูลพวกนี้ในการระบุตัวคนร้ายยังไง…..-ส์ล่ะนะ…..」

 

    ถึงตรงนี้พวกเราต่างก็เงียบลง

    การจัดลำดับข้อมูลมันก็ดีอยู่หรอก แต่เพราะว่าพวกเราไม่ได้เป็นตำรวจหรือยอดนักสืบอะไร ที่พวกเราจะคิดกลั่นกรองออกมาได้มันก็เลยมีจำกัด

    และแล้ว ในตอนนั้นเอง

 

「มองดูจากเควสค้นหาผู้สูญหาย…..」

 

    โอริเบะที่เงียบไปอยู่นาน พึมพำขึ้นมา

 

「…..คนร้ายมักจะเล็งเป้าไปที่เหยื่อที่อยู่คนเดียวเสมอ

    เป็นการซ่อนตัวอยู่ในเขาวงกตล่วงหน้าแล้วเข้าโจมตีเมื่อเหยื่อโผล่มาคนเดียว….. หรือว่าระบุตัวเหยื่อไว้ล่วงหน้าแล้วถึงก่ออาชญากรรมกันแน่

    ถ้าคิดในแง่ประสิทธิภาพ ความน่าจะเป็นจะเอียงไปอย่างหลัง หากว่าเอาข้อมูลของเหยื่อมาแยกแยะดู อาจจะสามารถจำกัดวงของตัวคนร้ายได้ในระดับหนึ่ง」

「อย่างงี้นี่เอง…..」

 

    ตกใจกับมุมมองที่เฉียบคมอย่างไม่คาดคิดของโอริเบะ แต่ก็น่าเชื่อ

    มันก็จริงที่ภายในเขาวงกตไม่มีทางรับรู้ได้ว่าเหยื่อจะโผล่มาตอนไหน การจะเล็งโจมตีใครบางคนที่บังเอิญมาคนเดียวมันดูจะไร้ประสิทธิภาพเกินไป

    ถึงผมจะลุยเดี่ยวอยู่เสมอ แต่สำหรับนักผจญภัยทั่วไปแล้วมักจะสำรวจเป็นกลุ่ม 2- 4 คน

    นั่นเพราะว่ากันว่าหากต้องเจอกับอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์ อัตราการรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากหากว่ามีคนอยู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

    พวกที่ลุยเดี่ยวนั้นถ้าไม่มั่นใจในพลังของตัวเองอย่างมาก ก็อาจจะต้องการผูกขาดของตอบแทนแม้ว่าต้องแบกรับความเสี่ยง หรือไม่ก็แค่หารวมทีมกับคนอื่นไม่เก่งเท่านั้น

    ในกรณีของผมนั้นเพราะนิสัยช่วงแรกของเร็นกะไม่เหมาะที่จะไปรวมทีมกับคนอื่นเกินไป แล้วพอได้รับรู้ถึงลักษณะพิเศษของเร็นกะแล้ว ก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปกปิดเอาไว้

    นี่ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นพวกโดดเดี่ยวไม่มีเพื่อนหรอกนะ

   

「สิ่งที่น่าหนักใจคือ ถึงแม้จะมีเหยื่ออยู่จริงๆ แต่กลับไม่มีข้อมูลของคนร้ายเลย

    คนหลายคนมักจะนำกล้องและอุปกรณ์อื่นๆติดตัวไปในเขาวงกตก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับนักผจญภัยอื่น การที่ไม่มีกล้องในหมู่สิ่งของของผู้สูญหายเลยมันผิดธรรมชาติ อาจจะสรุปได้ว่ามันถูกทำลายไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และ…..」

 

    โอริเบะทำสายตาเฉียบคมมองมาที่ผมแล้วพูด

 

「รุ่นพี่ ที่ได้เจอกับเกรมลินก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ชั้นล่างสุดและถูกทำลายเครื่องจักรไปเนี่ย นี่มันบังเอิญเหรอค่ะ?」

「ไม่…..」

 

    ผม เจอเข้ากับเกรมลินก่อนที่จะลงไปชั้นล่างสุดแล้วถูกทำลายเครื่อจักร เป็นผลให้ไม่สามารถบันทึกภาพหรือเสียงที่จะนำพาไปสู่ตัวคนร้ายได้เลย

    ในวันนั้น ได้เจอกับเกรมลินอีกตัวและได้การ์ดมา เพราะงั้นจึงไม่สงสัยถึงการปรากฏตัวของเกรมลินในเวลานั้น แต่พอมาคิดดูแล้วจังหวะเวลามันพอดีเกินไป

    อีกทั้ง ปฏิกิริยาของซุซูกะต่อเกรมลินตัวที่ 2…..นั่นมันบางที ที่รู้สึกไม่ค่อยดีอาจจะเพราะว่ามันคือการ์ดของมาสเตอร์คนอื่น

    การที่มันดรอปหินเวทมาเลยทำให้คิดว่าเป็นมอนสเตอร์ป่า แต่นั่นมันก็สามารถอำพรางได้ง่ายๆโดยแค่ให้การ์ดถือหินเวทเอาไว้

    ถ้าเป็นแบบนั้น คนร้ายก็ได้ใช้เกรมลินเพื่อโจมตีเหยื่อและทำลายเครื่องจักร ทำให้ไม่หลงเหลือหลักฐานที่จะนำไปสู่พวกมันได้

 

「ถ้าหากคนร้ายทำลายหลักฐานด้วยเกรมลิน แสดงว่าจะต้องมีการเติมมันที่ไหนซักแห่ง ก่อนอื่นเราจึงควรตรวจสอบว่ามีใครในกิลล์ที่ซื้อเกรมลินเยอะๆบ้างไหม ต่อให้ไม่มีการซื้อตรงๆ ก็น่าจะสามารถบอกอุปทานว่ามีการเพิ่มหรือลดลงไหมในเร็วๆนี้」

「ไล่สืบไปทางนั้นก่อนสินะ」

 

    ผมพยักหน้าให้กับคำของโอริเบะ เท่านี้ก็ตัดสินใจก้าวแรกได้แล้ว

    ในตอนนั้น อันนาก็พูดชวนสงสัยขึ้นมา

 

「แต่ว่า ถ้าทำไปถึงขนาดนั้นเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานสาวถึงตัวเอง แล้วทำไมถึงต้องให้หนีไปทางบันไดส์ล่ะ? ทำให้เหมือนกับโดนมอนสเตอร์ในเขาวงกตโจมตีงั้นเหรอ?」

「เรื่องนั้น ที่ต้องทำก็แค่ใช้การ์ดที่มีชนิดเดียวกันกับมอนสเตอร์ในเขาวงกตที่อยู่ก็ได้แล้ว」

「นั่นส์สินะ…..」

「โอริเบะมีอะไรจะพูดรึเปล่า?」

 

    ผมหยั่งเชิงโอริเบะที่ให้ความเห็นเฉียบแหลมมาตั้งแต่เมื่อกี้

 

「อืม…..เหตุผลที่พอจะเดาได้ก็ครึ่งหนึ่ง ถ้าการคาดเดาของชั้นถูกล่ะก็ มันน่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในหมู่สิ่งของของเหยื่อบางราย ถ้าหากค้นหาดูในสิ่งของของเหยื่อแล้วเจอสิ่งนั้นเข้าก็คงไม่ผิดแน่ แต่ว่าอีกครึ่งหนึ่ง บางทีแล้วถ้ายังจับตัวคนร้ายไม่ได้ก็คงไม่รู้」

「สิ่งนั้นมันอะไรส์เหรอ?」

「จนกว่าจะมีหลักฐานแล้วยังไม่อยากพูดอะไรมาก ไม่อยากจะทำให้เกิดอคติอะไรแปลกๆขึ้นมา…..แต่ว่า เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งที่แม้แต่ชั้นก็ไม่รู้นั้น มันจะต้องเป็นเหตุผลว่าทำไมรุ่นพี่ถึงถูกโจมตีล่ะ」

「ผม?」

 

    ทำไมผมถึงมาเกี่ยวข้องตรงจุดนั้นล่ะ?

 

「ผู้ใช้หมาล่าเนื้อ ตามปกติจะเล็งเป้าไปที่ 1 ดาว แต่ว่ารุ่นพี่เป็น 3 ดาว…..ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นคนที่มีแอดแวนเทจการ์ดของซาชิกิวาราชิที่มีความสามารถเป็นการ์ดแรงค์ B และปรากฏตัวในมอนโคโล แล้วยังการ์ดแทบทั้งหมดก็ถูกตั้งชื่อแล้ว เพราะงั้นต่อให้ไปโจมตีก็คงไม่ได้อะไรดีๆ ความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ ไม่เหมาะจะเป็นเหยื่อตั้งแต่แรกแล้ว」

「อย่างงี้นี่เอง มันก็จริง…..」

 

    เหมือนอย่างที่ผมคิดเมื่อครู่ การโจมตี 1 ดาวกับ 3 ดาว ความเสี่ยงและผลตอบแทนมันแตกต่างกันสุดขั้ว และรูปแบบของอาชญากรรมก็แตกต่างกันสิ้นเชิง

    โดยเฉพาะผมที่เป็นพวกแปลกที่ตั้งชื่อให้กับการ์ดหลักแทบทั้งหมด ซึ่งแน่ใจว่าคนร้ายก็ต้องรู้ได้ผ่านมอนโคโลและ Twitter

    …..โจมตีผมมาโดยที่ไม่รู้งั้นเหรอ? ไม่ เป็นไปไม่ได้ นั่นก็เพราะว่า…..

 

「…..ชัดเจนว่าผู้ใช้หมาล่าเนื้อเล็งโจมตีรุ่นพี่ ในพื้นที่ตอนกลางคืนที่แวมไพร์แทบจะเป็นอมตะ ได้เตรียมอาวุธเงินให้กับการ์ดเพื่อรับมือ พร้อมด้วยการ์ดแรงค์ B อีกหลายใบ อีกทั้งยังเตรียมตัวมาอย่างดีถึงขั้นใช้การ์ดแรงค์ C แบบทิ้งขว้างเพื่อดูลาดเลา นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้หมาล่าเนื้อโจมตีเพื่อ『อะไรบางอย่าง』ที่รุ่นพี่เท่านั้นที่มี」

「『อะไรบางอย่าง』ที่ผมเท่านั้นที่มี…..」

 

    ในตอนนั้นเอง สิ่งแรกที่ลอยขึ้นมาในหัวของผมก็คือซาชิกิวาราชิที่ไม่ธรรมดาในหลายๆด้าน

    เร็นกะ นับว่าเป็นการ์ดที่ไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน สามารถส่งผลกระทบกับอัตราดรอปของมอนสเตอร์ซึ่งเป็นความสามารถที่เหนือกว่าซาชิกิวาราชิธรรมดา ไม่สิ มันตรงกันข้าม ไม่ใช่ว่ายัยนั่นมีความสามารถถึงขนาดส่งผลกระทบต่อ『โชคชะตาของมาสเตอร์』หรอกเหรอ…..มันมีช่วงเวลาที่รู้สึกแบบนั้น

    ความไม่ปกติ ถ้าในแง่นั้นในตัวซุซูกะเองก็รู้สึกได้ แต่ตัวเร็นกะจะรู้สึกถึงลึกซึ้งยิ่งกว่าของซุซูกะ

    ถ้าการโจมตีเล็งมาที่ลักษณะพิเศษนั้น มันก็สมเหตุสมผลที่ศัตรูจะเรียกร้องแม้แต่โซลการ์ด

 

「ที่โจมตี 1 ดาวนั้นเป็นวาระหลัก แล้วการโจมตีรุ่นพี่เป็น『ข้อยกเว้น』งั้นเหรอ หรือว่ามีเป้าหมายอยู่ 2 อย่างแล้วทั้งคู่ต่างก็อยู่ในวาระ เรื่องนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างน้อยมันจะต้องมีความหมายอยู่เบื้องหลังการโจมตีรุ่นพี่อยู่แน่ๆ แล้วถ้าหากว่ามี『ข้อยกเว้น』คนอื่นที่ถูกโจมตีเหมือนรุ่นพี่ล่ะก็ ด้วยการสืบสวนมันก็อาจทำให้รู้ถึงจุดประสงค์ของคนร้ายได้…..」

 

    แต่ว่า เรื่องนั้นมันคงจะยาก ผมคิด อันนาเองก็คงจะคิดแบบเดียวกันจากสีหน้าบูดบึ้ง

    ไม่เหมือนกับเขาวงกตแรงค์ F ที่ผู้คนจะไม่กลับออกมาเป็นเรื่องหายาก ในเขาวงกตแรงค์ D ที่เป็นสนามรบหลักของเหล่า 3 ดาว การที่ผู้คนไม่กลับออกมานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

    ถ้าหากเกิดความเสียหายจำนวนมากก็อาจจะพอบอกได้ แต่ถ้าเกิดจำนวนน้อยมันก็คงแยกไม่ออก

    หากเป็นในแง่นั้นแล้ว อย่างงี้นี่เอง ความเสียหายที่เกิดในเขาวงกตแรงค์ F ถูกใช้เป็นเครื่องบังหน้า

    ผมถอนหายใจแล้วพูด

 

「…..สำหรับตอนนี้เริ่มจากสืบเรื่องเหยื่อ แล้วก็ดูว่ามีใครที่ซื้อเกรมลินในจำนวนมากหรือว่าซื้ออยู่เป็นประจำที่กิลล์รึเปล่าละกัน」

「ปล่อยเรื่องเกรมลินไว้ให้ชั้นได้เลยคะ ถ้าไปถามตรงๆทางกิลล์คงไม่มีทางช่วยแน่ เพราะงั้นชั้นจะใช้คอนเนคชั่นของชั้นเอง」

 

    อันนาเอามือทาบอกด้วยความมั่นใจ

    มันก็จริงว่าถึงแม้พวกเราจะไปถาม ก็ไม่คิดว่าทางกิลล์จะยอมให้ข้อมูลของผู้ซื้อหรอก อันที่จริง ถ้ายอมให้มันจะน่ากลัวกว่าอีก นั่นเพราะข้อมูลของผมมันก็จะรั่วไหลได้ง่ายๆเหมือนกัน

    …..ด้วยความช่วยเหลือของท่านบริษัทยักษ์ใหญ่สามารถทำให้รู้ได้ ในฐานะคนธรรมดาแล้วก็รู้สึกหนาวอยู่หน่อยๆ แต่ก็นะ ตอนนี้คงพูดได้แค่ว่าน่าเชื่อถือดี

 

「ถ้างั้นแล้ว เหมือนว่าพวกเราจะได้ลองดูบุคคลสูญหายก่อนสินะ」

「ทำไมไม่ลองรับเควสดูล่ะ? แบบนั้นจะได้ค้นหาของของเหยื่อได้อย่างถูกต้องด้วย」

 

    อันนาที่เสนอมา ผมก็ได้แต่ส่ายหัวเชิงขอโทษ

 

「ไม่ล่ะ จะให้ไปเขาวงกตตอนนี้เลยมันค่อนข้างจะยากอยู่….. เพราะกำลังรบหลักของผมถูกทำลายไปน่ะสิ」

 

    ถึงแม้กำลังรบในตอนนี้จะไม่มีปัญหากับศัตรูในเขาวงกตแรงค์ F แต่ถ้าเกิดคิดถึงกรณีที่ผู้ใช้หมาล่าเนื้อเล็งเป้ามาที่ผมแล้ว จะให้ไปเขาวงกตตอนนี้มันก็ค่อนข้างจะลังเลอยู่

    อย่างน้อยก็ต้องทำให้ปาร์ตี้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน

 

「อา…..พอมาคิดดูแล้วมันก็ใช่…..ถ้าเอาตามตรงกำลังรบในตอนนี้ของรุ่นพี่เป็นยังไงบ้างค่ะ? ด้านการเงินล่ะ?」

「กำลังรบมีการ์ดแรงค์ C 1 ใบและการ์ดแรงค์ D 2 ใบ ส่วนเงินทุน…..」

 

    ผมตอบไปขณะที่ยังคลุมเครือเรื่องเงินทุนที่มีอยู่

 

「อย่างงี้นี่เอง…..กำลังรบเบื้องต้นคือการ์ดแรงค์ C สินะส์คะ

    ถ้าอย่างนั้นช่วยรอซักหน่อยก่อนที่จะขายการ์ดกับอุปกรณ์เวทได้ไหมส์คะ?

    ชั้นพอจะมีความคิดอะไรบางอย่าง ตอนนี้อย่าเพิ่งซื้อการ์ดเพื่อชุบชีวิตเร็นกะจังกับเอลิซ่าจังนะคะ」

「หืม? อา เข้าใจแล้ว」

 

    บางทีคงจะแนะนำใครบางคนที่จะรับซื้อของราคาสูงหรือขายการ์ดราคาถูกให้ ผมตั้งตารอแล้วพยักหน้า

 

「สำหรับตอนนี้ ตราบเท่าที่ยังมีกำลังรบพอที่จะสู้ศัตรูในเขาวงกตแรงค์ F ก็ไม่เป็นอะไรส์ มารับเควสแล้วค้นหาบุคคลสูญหายกันเถอะค่ะ」

「ไม่เป็นอะไรนี่…..ถ้าถูกผู้ใช้หมาล่าเนื้อโจมตีจะทำยังไงล่ะ?」

「ในตอนนั้นจะใช้นี่ค่ะ」

 

    พอพูดแล้วอันนาก็หยิบตราที่ดูมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์และการ์ด 2 ใบออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ผมกับโอริเบะ

    ตัวตรา ถูกออกแบบมาให้คล้ายกับการ์ดที่ตรงกลางดูจะมีอัญมณีสีฟ้าติดอยู่

    ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตัวการ์ด นี่มัน…..

 

「ตรานี่คือหลักฐานการเป็นสมาชิกของชมรมนักผจญภัยของพวกเรา มันประกอบจากอุปกรณ์เวทประเภทป้องกันที่มีใช้ในมอนโคโล และอุปกรณ์เวทที่ทำให้ตราสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ไม่มีการใช้เครื่องจักรเพราะงั้นจึงไม่ต้องห่วง แม้จะเจอเกรมลินก็ไม่ถูกทำลาย ถ้าเป็นไปได้อยากให้พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาเพราะมันยังช่วยในกรณีของอุบัติเหตุทางจราจรได้ด้วย แล้วส่วนทางด้านการ์ดเวทมนตร์นี่คือ『เคลื่อนย้าย』กับ『ลี้ภัยฉุกเฉิน』คะส์」

 

    『ลี้ภัยฉุกเฉิน』…..เอาจริงดิ

    『ลี้ภัยฉุกเฉิน』คือการ์ดเวทมนตร์ที่ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายจากจุดไหนก็ได้ไปยังพื้นที่ปลอดภัยในทันที แล้วต่อจากนั้นด้วยการ์ด『เคลื่อนย้าย』มันก็เหมือนเป็นการกลับสู่พื้นดินจากที่ไหนก็ได้

    ถ้าหากว่าในตอนนั้นมีมันอยู่ล่ะก็ ผมก็คงจะสามารถหนีได้โดยที่ไม่ต้องสูญเสียพวกเร็นกะไป

    แต่เหตุผลที่ผมไม่มีมันอยู่เลยซักใบมันก็ง่ายๆคือ แพงเอามากๆ

    ราคาของมัน 『ขั้นต่ำ』ก็ปาไปแล้ว 100 ล้านเยน

    สาเหตุที่ราคาพุ่งทยานก็เพราะอัตราการปรากฏจากกล่องน่าผิดหวังนั้นมีต่ำมาตั้งแต่แรก และก็เพราะมันถูกนักผจญภัยมืออาชีพกว้านซื้อไปจนหมด เพราะมันถูกใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน

    เป็นเรื่องหายากที่จะมันจะถูกขายให้ทางกิลล์ และการจะได้มันมาก็ต้องใช้คอนเนคชั่นด้วย

    แล้วยังการ์ด『เคลื่อนย้าย』มารวมกันทั้งหมด 3 ชุด…..

    มือมันสั่นโดยไม่รู้ตัว ทางโอริเบะเองก็ทำสีหน้าปั้นยาก

   

「ไปขอร้องปะป๊าเพื่อยืมมาเผื่อไว้ ถ้าหากว่าเจอเข้ากับผู้ใช้หมาล่าเนื้อล่ะก็ให้ใช้มันเพื่อหนีได้เลย」

 

    อันนาพูดมาง่ายๆ แต่ผมพูดกลับไปขณะที่เหงื่อแตกพลั่ก

 

「ม-ไม่ล่ะ อย่างที่คิด รับของราคาแพงขนาดนี้เอาไว้ไม่ไหวหรอก…..ไม่มีปัญญาจะซื้อด้วย」

 

    โอริเบะพยักหน้าให้กับคำพูดของผม การเคลื่อนไหวที่ราวกับสัตว์ตัวเล็กๆออกจะดูน่ารักนิดหน่อย

 

「ไม่หรอกค่ะ อย่าได้ใส่ใจเลย มันเป็นหน้าที่ของประธานชมรมอยู่แล้วที่จะต้องดูแลความปลอดภัยของสมาชิกชมรม โดยเฉพาะที่คราวนี้ชั้นเป็นคนแรกที่บอกให้『มาหาตัวคนร้ายกันเถอะ』ต้องมีเตรียมเครื่องรางให้บ้าง」

 

    โอ้วววว…..!

    ตัวผม ช่วยไม่ได้ที่ต้องสั่นไหวให้กับความรู้สึกรับผิดชอบอันแรงกล้าของเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า

    เอาจริงดิ เพียงแค่เป็นประธานธรรมดาๆก็สามารถให้ของบางอย่างราคากว่า 100 ล้านเยนไว้เป็นเครื่องรางเลยเหรอเนี่ย? ต่อให้ไปพึ่งผู้ปกครองขนาดไหน มันก็คงต้องมีเงื่อนไขอะไรอยู่แน่ๆ

    แล้วยังไม่รู้สึกเสียดาย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้สึกถึงบรรยากาศว่าเป็นการเมตตาสงสาร

    มองเหมือนว่านี่มันเป็นแค่หน้าที่ทั่วไปของประธาน

    ถึงแม้จะช้าจนป่านนี้ แต่ก็ได้รู้ซึ้งอีกครั้งว่าสาวน้อยคนนี้คือลูกสาวของหนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น

    ถ้าหากว่าผมอยู่ในตำแหน่งของเธอล่ะก็ คงจะขอมีเงื่อนไขซัก 1 หรือ 2 ข้อไปแล้ว

    ขนาดของภาชนะมันช่างแตกต่างจากสามัญชนอย่างผมเหลือเกิน

   

「ต่อจากนี้ไป เมื่อทำงานในฐานะนักผจญภัยของชมรมก็ให้พกติดตัวเอาไว้ 1 คู่เสมอ ถ้าหากรู้สึกว่าอันตรายก็ให้ใช้ได้เลย…..อา แต่ว่ากรุณาอย่าเอาไปให้กับคนอื่น ตกลงนะ?」

「อา นั่นมัน แน่นอนอยู่แล้ว」

 

    ผมกับโอริเบะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

    นี่คือน้ำใจของอันนา ถือว่าเป็นหลักฐานของความไว้วางใจที่จะต้องรักษาเอาไว้

   

「สำหรับตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการสืบสวนภายในเขาวงกตแล้วส์ เอาเป็นว่าขณะที่การสืบสวนเรื่องเกรมลินปล่อยให้เป็นทางคอนเนคชั่นของชั้น แล้วพวกเราก็ค่อยๆสืบหาข้อมูลของเหยื่อกันเถอะ」

「เริ่มจากเควสไหนดี?」

「คิดว่าควรจะเริ่มจากอันล่าสุด ถึงแม้ว่าการเน่าเปื่อยจะไม่เกิดในเขาวงกตแต่ยิ่งเก่ามากเท่าไหร่ มันก็จะถูกมอนสเตอร์ทำลายแล้วสภาพก็จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ」

「จากเควสคำร้อง เหยื่อรายล่าสุดคือ…..」

 

    อันนาใช้งานสมาร์ทโฟนของเธอและตรวจสอบเมล์เควส เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็พูด

 

「…..ซาโต้ โชโกะซัง เริ่มสืบจากคนนี้กันเถอะ」

 

 

 

【Tips】พื้นที่ปลอดภัยและการ์ดเวทมนตร์ประเภทเคลื่อนย้าย

    ด้านหน้าของเกททางเข้าเขาวงกต, และด้านหน้าบันไดของแต่ละชั้น มอนสเตอร์จะไม่สามารถเข้าไปได้ มันก็คือพื้นที่ปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะถูกมอนสเตอร์โจมตี หากว่าหนีเข้าพื้นที่ปลอดภัย การไล่ตามของมอนสเตอร์ก็จะหยุดลง ทว่าหากคุณทำการโจมตีจากภายในพื้นที่ปลอดภัยล่ะก็ ตัวพื้นที่ปลอดภัยในทุกๆชั้นจะหายไปเป็นการชั่วคราว พื้นที่ปลอดภัยที่หายไปจะไม่กลับคืนมาจนกว่าจ้าวจะถูกจัดการลง การโจมตีจากภายในพื้นที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งต้องห้าม

    เขาวงกตแรงค์ A ที่จ้าวยังไม่เคยถูกจัดการ เป็นเรื่องโชคไม่ดีที่แทบทั้งหมดได้สูญเสียพื้นที่ปลอดภัยไปแล้วก่อนหน้าที่กฏข้อนี้จะถูกค้นพบ

    นอกจากนี้เครื่องมือเวทประเภทเคลื่อนย้าย โดยทั่วไปแล้วจะถูกออกแบบมาให้ไม่สามารถใช้งานที่อื่นได้นอกจากพื้นที่ปลอดภัยหน้าบันได หนึ่งในข้อยกเว้นที่มีเพียงเล็กน้อยก็คือ การ์ดเวทมนตร์『ลี้ภัยฉุกเฉิน』ที่ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายจากจุดไหนก็ได้ไปพื้นที่ปลอดภัยของชั้นนั้นๆ

    มันถูกใช้เป็นเหมือนเครื่องรางในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ ราคาพุ่งสูงเนื่องจากอุปทานมีน้อยกว่าอุปสงค์ ราคาในตลาดปัจจุบันมีขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ล้านเยน

   ทีนี้ เมื่อพื้นที่ปลอดภัยหายไป จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การ์ดประเภทเคลื่อนย้ายจะไม่มีจุดหมายให้ไปและไม่สามารถใช้งานได้

    มันคือ 1 ในปัจจัยที่ทำให้เขาวงกตแรงค์ A ไม่ถูกเจาะทะลวง

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

Status: Ongoing
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ในโลกคู่ขนานของญี่ปุ่น จู่ๆ เขาวงกตได้ปรากฏขึ้น ที่ซึ่งมอนสเตอร์โผล่ออกมา ในช่วงแรกเริ่มนั้นเขาวงกตไม่ได้ต่างอะไรไปจากภัยพิบัติ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทรัพยากรที่เขาวงกตผลิต และตัวตนของ ‘การ์ด’ ที่ตกจากมอนสเตอร์ กลายเป็นช่วงแห่งการกอบโกย การ์ดมอนสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาได้ดั่งใจนึก เหล่านักผจญภัยที่ใช้พลังของการ์ดเพื่อพิชิตเขาวงกต ถ่ายทอดสถานการณ์เหล่านั้นด้วยดันเจี้ยนTV, โคลอสเซียมที่มอนสเตอร์ต่อสู้กัน….. สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความสนใจในตัวผู้คน แล้วก่อนที่จะรู้ตัวนักผจญภัยก็กลายเป็นอาชีพที่ผู้คนใฝ่ฝันจะเป็น คิทากาว่า・อุทามาโร่ เด็กม.ปลายสายม็อบ เห็นเพื่อนที่น่าจะเป็นสายม็อบเดียวกัน หลังจากที่เป็นนักผจญภัยแล้วกลับถีบตัวไปอยู่ในกลุ่มท็อบได้ จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักผจญภัยด้วยตัวเอง อุทามาโร่ เพื่อที่จะได้แรร์การ์ดไปอวดทุกคนได้จึงเดิมพันชีวิตกับกาชาสุดบ้าระห่ำราคา 1 ล้านเยน ทว่า—?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท