บทที่ 3
ต้นเดือนพฤษภาคมหลังจากวันหยุดยาว
ผมก็กําลังกลับบ้านตอนเวลา 1 ทุ่มเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
“มีความสุขสุดๆ… เป็นครั้งแรกเลยที่ได้กลับบ้านเวลานี้”
ปกติเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังทํางานพาร์ทไทม์ที่อิซากายะอยู่แต่ว่า ตอนนี้ผมลาออกจากงานที่นั่นแล้วในตอนปลายเดือนเมษายน
มันก็ผ่านมาสักพักแล้วตั้งแต่ที่ผมได้แวะร้านหนังสือระหว่างทางกลับบ้านและหลังจากที่ซื้อข้าวของอะไรเสร็จก็พึ่งแค่ 1 ทุ่มเองแล้วความคิดที่ว่าจะสามารถใช้เวลาที่เหลือในค่ำคืนนี้ตามใจชอบก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ตัวผมนั้นรู้สึกตื่นเต้น
ผมสามารถที่จะพักผ่อนเรียนหรืออ่านหนังสือ
ผมสามารถที่จะดูรายการทีวีที่อยากจะดูได้ในแบบเรียลไทม์แบบที่ไม่ต้องอัดไว้ได้แล้ว
ปกติผมมักจะกลับบ้านตอน 5 ทุ่มอยู่ตลอดเลย
แล้วพอนึกความสง่างามของค่ำคืนนี้ผมก็ได้ยิ้มออกมา
“กลับมาแล้ว~”
ทันทีที่ผมเปิดประตูหน้าบ้านผมก็พบเข้ากับรองเท้าที่วางอยู่กระจัดกระจาย
มันคือรองเท้าของยัยพวกแยงกี้สาวทั้งหลาย ดูเหมือนว่าจะมาเที่ยวเล่นกันอีกแล้วสินะ
บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ๆมานะและเพื่อนๆของเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกัน
พ่อแม่ของผมไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกแยงกี้ ดังนั้นพวกเธอก็เลยทําตัวตามสบายกันได้ที่นี่แต่พ่อแม่ของผมจะเดือดสุดๆถ้าหากว่าพวกเธอพยายามที่จะสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า
แต่พวกเขาไม่โกรธหรอกถ้าแค่เล่นกันส่งเสียงดังทั้งคืนตราบใดที่พวกเธอไม่ได้ทําอะไรผิดกฏหมายล่ะก็นะ
เหตุผลก็คือพ่อแม่ของผมรู้สึกขอบคุณมากที่มานะมีเพื่อนที่เธอสามารถไว้ใจได้อย่างแท้จริง
พอคิดถึงอนาคตมานะเองก็อาจจะไม่ได้เป็นแยงกี้ไปตลอดหรอก
เธอเองก็ตั้งใจเรียนอย่างหนักและได้คะแนนสูงสุดในโรงเรียนม.ปลายมาพ่อแม่ของผมก็หัวเราะแล้วก็พูดออกมาว่า
“เธอเป็นเด็กเงียบๆและเอาจริงเอาจังอยู่เสมอเพราะงั้นถ้าเธอคิดจะเปลี่ยนตัวเองอีกรอบก็คงทําได้แหละถ้าหากว่าเธอต้องการ”
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ของผมก็เถอะนะ ผมก็ยังประหลาดใจกับความผ่อนปรนของพวกเขาจริงๆ
เอาเถอะผมเองก็โล่งใจมากกว่าที่พวกเธออยู่ที่บ้านกันแทนที่จะไปเที่ยวเล่นที่อื่นและไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องเลย
ผมจัดเรียงรองเท้าให้เข้าที่และเข้าไปในบ้าน
เสียงหัวเราะของมานะและคนอื่นๆดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน ผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของผม
แปลกแฮะ
เพราะอะไรก็ไม่รู้ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงของยัยพวกแยงกี้ดังออกมาจากในห้องของผม
ไม่ๆ ไม่ใช่หรอกน่า…….
ห้องของน้องสาวของผมมันอยู่ห้องข้างๆนี่เองผมมั่นใจว่าเสียงของพวกเธอคงดังมากจนได้ยินมาถึงตรงนี้
ไม่มีทางที่มานะและยัยพวกนั้นจะมาเอะอะโวยวายในห้องของผมได้หรอก…….
เมื่อวานเอริกะจังก็เข้ามาอยู่ในห้องของผมทีนึงละแต่นั่นคือเอริกะจังเพราะงั้นก็เลยไม่นับ
เอริกะจังเธอมาที่บ้านของผมตั้งแต่สมัยม.ต้น และเคยเข้าไปในห้องของผมหลายต่อหลายครั้งถึงผมจะบอกเธอว่าห้ามเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติก็เถอะ แต่เธอก็ยังเข้าไปอยู่ดีเพราะงั้นก็ช่วยไม่ได้
แต่มันเป็นไปได้มั้ยนะที่ห้องของผมจะกลายเป็นที่สังสรรค์ของยัยพวกแยงกี้ในตอนที่ผมไม่อยู่น่ะ?
แต่ผลลัพธ์มันก็คงจะออกมาเหมือนเดิมถึงแม้ว่าผมจะอยู่ก็ตาม
เปิดดูเลยละกันจะได้จบๆ!
ถ้าหากว่ากําลังเล่นอะไรพิเรนทร์ๆกันอยู่ล่ะก็จะได้จับได้คาหนังคาเขาทันที! ผมเปิดประตูไปอย่างห้าวหาญ
จากนั้น…..
“ห๊ะ!? ทำไมพี่ถึงได้กลับบ้านเร็วนักล่ะ แล้วงานพาร์ทไทม์ล่ะ?”
คนแรกที่ตอบสนองเมื่อเห็นผมก็คือมานะน้องสาวของผมเอง
“หา?! สึคาจิโดนไล่ออกแล้วงั้นเหรอ?”
อาริสะจังก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นผม
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่เลย! ไปยุ่งกับผู้หญิงของผู้จัดการเข้าล่ะสิ!”
รูนะจังมองหน้าผมและชี้นิ้วมาอย่างจริงจัง
“ไม่มีทางที่คุณพี่ชายจะกล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก ใช่มั้ยล่ะคะ?”
เอริกะจังพูดออกมาขณะที่กำลังอ่านมังงะและดูดน้ำผลไม้จากกล่องไปด้วย
ที่โต๊ะเรียงรายไปด้วยกล่องน้ำผลไม้และถุงขนมขบเคี้ยว
ยัยพวกนี้สบายใจเฉิบในห้องผมอย่างเต็มที่เลย
“นี่มันอะไรเนี่ย?! พวกเธอมาทําอะไรตอนที่ชั้นไม่อยู่กันล่ะเนี่ย? นี่อย่าบอกนะว่าพวกเธอเข้าเล่นในห้องของชั้นมาโดยตลอดเลยน่ะ?”
ผมทํางานพาร์ทไทม์ที่อิซากายะในช่วงกลางคืนของวันธรรมดาเพราะงั้นจึงได้กลับบ้านราวๆ 5 ทุ่มแทบทุกวันเลย ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่เพื่อนๆของมานะ เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองพอดี
ผมก็เลยไม่รู้ว่าพวกเธอพากันไปเล่นตรงส่วนไหนหรือทำอะไรกันในบ้าน
ได้โปรดบอกทีว่าผมคิดผิดน่ะ
ขณะที่คิดแบบนั้น ผมมองไปที่เอริกะจังแล้วเธอก็หัวเราะคิกคักออกมา
“พึ่งจะรู้ตัวเหรอคะ? คุณพี่ชายเนี่ยเป็นคนหัวทึบกว่าที่คิดอีกนะคะที่ไม่ทันสังเกตุกลิ่นของ JK ที่อบอวลอยู่ในห้องของตัวเองเลยน่ะค่ะ อย่างนี้ในอนาคตตอนที่คุณพี่ชายมีแฟนระวังจะโดนแฟนทิ้งเพราะไม่สังเกตุเห็นว่าเธอตัดผมหน้าม้ามาได้นะ รู้มั้ยคะ”
“ห๊ะ!?”
ไอ้ปาร์ตี้แยงกี้นี่มันจัดขึ้นในห้องของผมทุกวันเลยอย่างนั้นเหรอ
ผมถึงกับยืนเซและเอามือมาจับหน้าผากของตัวเองเลย
“ไม่มีทางน่า……”
ผมมันโง่เอง ผมมันโง่ที่ตลอดมาไม่ทันได้เอะใจเลย
ไม่สิ พอพูดถึงมันแล้วผมก็หวนจําได้ถึงความรู้สึกที่อึดอัดแปลกๆเมื่อตอนนั้น
“ชั้นนึกออกแล้ว! เจ้ากลิ่นหอมหวานแปลกๆบนเตียงของชั้นเป็นฝีมือพวกเธอเองสินะ?!”
พอผมพูดแบบนี้ออกไปยัยพวกแยงกี้ก็พากันมองหน้ากันและเอียงศีรษะอย่างสับสน
จากนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผมเองก็ได้ยินไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่…..แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะคุยกันถึงเรื่องที่ว่าพวกเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามัน คืออะไร
และแล้วในที่สุดอาริสะจังก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดออกมาอย่างใจเย็น
“บางทีอาจจะเป็นกลิ่นแฮนด์ครีมที่หนูเผลอทําหกใส่เตียงของพี่ก็ได้ค่ะ”
“เป็นงั้นเองสินะ”
ดูจากลักษณะแล้วน่าจะพอเป็นคำใบ้ได้ว่ายัยพวกแยงกี้พวกนี้เคยเข้าๆออกๆ บ้านมาก่อนแล้วก็คอยซ่อนนู่นนี่นั่นในห้อง
แล้วนี่ปกติแล้วผมพอจะสังเกตุเห็นพวกมันบ้างไหมนะ?
หรือที่ผมไม่ทันสังเกตุก็เพราะตัวเองสมองทึบเกินไปกัน?
ไม่ล่ะ ผมอยากจะคิดว่าตัวเองเหนื่อยจากงานพาร์ทไทม์เกินกว่าจะคิดเรื่องนี้
“แล้ว…..ทำไมพี่ถึงได้กลับมาบ้านเร็วจังล่ะ?”
มานะถามพลางดูดน้ำผลไม้
“พี่เปลี่ยนงานแล้ว พอดีเพื่อนคนนึงของพี่ที่มหาลัยเขาแนะนำงานกวดวิชาให้น่ะ งานส่วนใหญ่จะเป็นช่วงตอนกลางวันและวัดหยุดสุดสัปดาห์เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้พี่ก็เลยว่างในช่วงตอนเย็นของวันธรรมดาน่ะ”
พอผมอธิบายอย่างจริงจังรูนะจังก็เริ่มหยอกล้อผม
“เห~ สอนตัวต่อตัวกับเด็ก ม.ปลายน่ารักๆงั้นเหรอคะ? แล้ว คุณพี่ชายจะสอนเรื่องอื่นนอกตำราเรียนด้วยมั้ยคะ?”
“จะบ้ารึไง! แล้วอีกอย่างนะนักเรียนทุกคนก็มาจากโรงเรียนชายล้วนกันทั้งนั้นด้วย!!”
“โอ้ว ถ้างั้นก็…BL สินะคะ”
“ฉันสอนเฉพาะเรื่องเรียนเฟ้ย!”
ทําไมเธอถึงได้ชอบโยงไปเรื่องรักๆใคร่ๆด้วยล่ะเนี่ย?
แล้วไอ้เจ้า BL นั่นมันอะไรกัน?
ผมว่าผมต้องทําให้โลกได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่างานติวเตอร์พาร์ทไทม์จะเป็นอันจบเห่แน่นอน เมื่อเริ่มลงมือกับนักเรียน
“อ่าๆ เดี๋ยวชั้นจะเรียนแล้วนะ!”
เมื่อผมพูดอย่างนั้นแล้วมานะก็ขานตอบเบาๆ
“อา ได้สิ”
“อืม…..งั้นก็”
ผมเดินไปที่โต๊ะเรียนมันยังไม่ถึง 2 ทุ่ม แล้วตอนนี้ผมควรจะทําอะไรดี
“ฮะ…ฮ่าๆๆๆ รูนะตลกจัง!”
“นี่เธอจะไม่ขำเกินไปหน่อยรึไง?”
“จริงๆนะ! ก็มันขำจริงๆนี่นา”
ด้วยเหตุผลบางอย่างยัยพวกแยงกี้ที่เอาแต่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ทางด้านหลังของผมไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลย
ผมบอกไปแล้วแท้ๆว่าผมจะเรียนแถมมานะก็ตอบว่า ‘ได้สิ’ แล้วด้วย
ถึงอย่างงั้นแล้ว…ทําไมถึง…
“หนวกหูโว้ยยยยยย!”
ผมตะคอกใส่ยัยพวกแยงกี้แล้วมานะก็ตะคอกกลับมาทันที
“ไอ้ที่หนวกหูน่ะมันพี่นั่นแหละ! ไอ้เวอร์จิ้นน่ารำคาญ!”
“ว่าไงนะ……”
มันก็น่าตกใจอยู่ที่โดนน้องสาวตะคอกใส่แต่ก็ค่อนข้างช็อคอยู่เหมือนกันที่โดนน้องสาวตัวเองเรียกว่าไอ้เวอร์จิ้น
หน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีทั้งตกใจทั้งสับสนจนพูดไม่ออก
พอเห็นผมเป็นแบบนั้นรูนะจังก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า
“ฮ่าๆๆ สึคาจิหน้าแดงใหญ่เลย~”
และอาริสะก็พูดต่อ
“อยากให้พวกเราช่วยมั้ยคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของพวกเธอเฟ้ย!”
ผมตะคอกออกไปเสียงดังจนเจ็บคอ
ผมไม่อยากให้เพื่อนของน้องสาวต้องมาคอยพะวงเรื่องนั้นหรอกนะ
“พวกเธอน่ะควรไปเล่นกันที่ห้องของมานะนู่น! ทำไมถึงได้มาเอะอะโวยวายในห้องของฉันกันแบบนี้ล่ะ?”
แล้วมานะก็ตอบกลับมาง่ายๆว่า
“ก็ห้องของพี่มันใหญ่กว่าแถมสะอาดกว่าอ่ะ”
“งั้นก็รักษาความสะอาดสิฟะ!”
ห้องของผมมันไม่ได้ใหญ่และสะอาดเพื่อที่จะให้ยัยพวกแยงกี้ JK มาสังสรรค์กันนะ
แล้วมานะก็หัวเราะออกมา
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่นาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ให้ยืมห้องพวกหนูจะมอบสิ่งที่มีค่าอย่างเหลือเชื่อให้กับพี่ก็แล้วกัน”
“หา? สิ่งมีค่าอะไรของเธอ”
“กลิ่นหอมของ Jk ยังไงล่ะ”
“อย่ามาตลกนะ! ชั้นไม่ได้อยากได้เจ้ากลิ่นที่ว่านั่นเลยสักนิด!”
“แล้วไม่ใช่ว่าเมื่อวานพี่ก็สนุกสนานกับการดมกลิ่นของเอริกะหรอกเหรอ?”
“เมื่อวานชั้นก็ปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่รึไง?”
นี่น้องสาวผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ยากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ตั้งแต่หล่อนเปลี่ยนคลาสตัวเองเป็นแยงกี้ผมก็คิดว่ามานะนั้นกลายเป็นคนที่รับมือไม่ได้ง่ายๆเลยจริงๆ
ในฐานะของพี่ชายผมก็ดีใจที่น้องสาวของตัวเองเข้มแข็งขึ้น แต่เอาตรงๆถ้าเป็นถึงขั้นนี้จะให้มีความสุขก็คงจะไม่ไหว
ให้ตายเถอะ ถ้าไม่รีบไล่ยัยพวกแยงกี้ตัวแสบพวกนี้ออกไป ผมก็คงไม่สามารถใช้เวลายามเย็นอันแสนงดงามนี้ได้
ในขณะที่ผมคิดอย่างถี่ถ้วนว่าจะหาวิธีไล่ยัยพวกนี้ออกไปได้ยังไงดี?
รูนะจังและอาริสะจังก็ลุกขึ้นยืน
“อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าคุณพี่ชายกำลังวางแผนที่จะไล่พวกเราออกไปงั้นเหรอคะ?”
รูนะจังมองมาทางผมอย่างเคืองๆ
“นี่คิดว่าพวกเราจะยอมง่ายๆงั้นเหรอ?”
อาริสะจังก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
นี่อย่าบอกนะว่าพวกเธอวางแผนตะลุมบอนผมอยู่น่ะ
หัวใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ปกตินี้
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นแค่เด็กม.ปลายแต่พวกเธอก็เป็นแยงกี้ ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะต้องทํายังไงดีถ้าเกิดว่าพวกเธอเข้าหาผมด้วยกำปั้น แล้วจากนั้น…
“นี่แหนะ นี่น่ะเซอร์วิสไงคะ เท่านี้พอจะอนุญาติให้พวกเราอยู่ที่นี่ต่อได้มั้ยค้า~?”
ขณะที่พูดอย่างนั้นรูนะจังก็เริ่มถลกกระโปรงชุดเครื่องแบบของตัวเองขึ้นและแน่นอนอาริสะจังก็ทำแบบเดียวกัน
ทั้งคู่เลิกกระโปรงขึ้นมาอย่างนุ่มนวลและกระพือขึ้นลงอย่างแรงส่งลมมาหาทางผม
ลมที่เกิดจากการกระพือกระโปรงของ Jk
ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้นพอพวกเธอเลิกกระโปรงขึ้นผมก็เห็นขาของพวกเธอจนไปถึงข้างบนสุด…..
“เป็นสาวเป็นนางอย่าทำอย่างงั้นสิ! ไม่อายกันบ้างรึไง!”
สิ่งที่ออกจากปากของผมคือคำพูดที่คล้ายกับคําพูดของคนเป็นแม่โดยที่ไม่ทันรู้ตัว
“คิกๆ สึคาจิเป็นคุณแม่หรือไงนั่น”
รูนะจังหัวเราะคิกคัก
“ต่อให้หวังไปก็เปล่าประโยชน์น่า หนูใส่ซับในไว้อยู่เพราะงั้นถึงถูกเห็นไปก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
พอพูดอย่างนั้นอาริสะก็ม้วนกระโปรงของเธอขึ้น
ขาเรียวยาวกับกางเกงขาสั้นสีดำที่เหลือบเห็นท้องของเธอหน่อยๆ
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย! ถึงจะบอก ว่าให้ดูได้ไม่เห็นจะเป็นไรก็เถอะ! มันก็เรื่องของเธอ! แต่ในสังคมนี้น่ะนะมันก็มีผู้ชายที่อันตรายประเภทที่แค่ได้เห็นใต้กระโปรงก็ตื่นเต้นแล้วอยู่นะ! มันไม่ดีเลยนะที่จะไปทําแบบนี้ที่ไหนก็ได้ตามใจชอบน่ะ!”
จิตวิญญาณความเป็นแม่ของผมร่ำร้องด้วยความเป็นห่วงเป็นใยออกมากับการที่รู้ว่ามี Jk จะที่ทำเรื่องอันตรายแบบนั้นกําลังเดินเตร่ข้างนอกไปทั่วโดยไม่สนโลกเลย
ไม่สิที่สำคัญไปกว่านั้นไหงผมถึงต้องมาสั่งสอนยัยพวกแยงกี้ Jk แบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย?
ผมไม่อยากจะกระตุ้นสัญชาติญาติความเป็นแม่ที่อยู่ในตัวมากไปกว่านี้แล้ว
“ถ้างั้นพี่ก็เป็นหนึ่งในคนที่อันตรายพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
มานะพูดด้วยสีหน้าสงสัย
“ชั้นแค่เตือนไว้ก่อนเฉยๆ!! ไม่ได้เกี่ยวกับตัวชั้นเองสักหน่อย!”
ปวดหัวชะมัด
ไอ้ช่วงเวลายามเย็นอันแสนงดงามของผมมันหายไปไหนแล้วนะ?
ขณะที่ผมหมดแรงจะเถียงต่อเอริกะจังที่อ่านมังงะอย่างเงียบๆไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาเลยมาสักพักนึงแล้วก็ลุกยืนขึ้น
“ยังอ่อนหัดนะ……รูนะ อาริสะ พวกเธอเองก็น่าจะรู้นี่ว่าแบบนั้นน่ะคุณพี่ชายไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
เอริกะจังพูดพลางเอามือเท้าเอว
ผมก็แอบหวังเล็กๆว่าบางทีเธออาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยผมหรือไม่เธอก็พร้อมจะย้ายไปที่ห้องของมานะแล้ว
แต่แล้วเอริกะจังก็ทรยศความคาดหวังของผมไปอย่างง่ายดาย
“คุณพี่ขายคงไม่ยอมรับของแค่นั้นหรอก ถ้าจะให้ดูล่ะก็…..ต้องอย่างเช่นกางเกงใน…..”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย! ยัยพวก แยงกี้!! ถ้าพูดภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องเข้ามาในห้องของชั้นอีกเลยนะ!!”
เมื่อผมระเบิดลงเต็มที่ยัยพวกแยงกี้ก็หัวเราะคิกคักแล้ววิ่งออกไปยังห้องข้างๆ
แล้วก็แน่นอนว่าพวกขนมและกล่องนํ้าผลไม้ก็ยังอยู่ครบ
“ถ้าคิดจะมาเล่นกันที่นี่ก็หัดเก็บกวาดหลังเล่นเสร็จซะด้วยเซ่!!”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดออกไปเหมือนกับแม่ไม่มีผิด
ผมได้กลายเป็นคุณแม่ที่มีลูกสาว 4 คนที่เป็นแยงกี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เสียงร้องด้วยความปวดร้าวของผมดังก้องอย่างเสียเปล่าภายในห้องของตัวผมเอง