เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา – ตอนที่ 6

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

บทที่ 6

 

วันต่อมาในวันศุกร์เวลา 7 โมงเช้า

 

ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในห้องของผมเอง

 

ในที่สุดพรุ่งนี้ผมก็จะเริ่มงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูสอนพิเศษส่วนตัว ตอนนี้ผมอยู่ระหว่างการทำเอกสารการสอนสำหรับงานบนแล็ปท็อปของผมให้เสร็จ

 

โชคดีที่ยัยพวกแยงกี้ไม่อยู่กัน และไม่มีเอริกะจังอยู่บนเตียงด้วย

 

ผมอยู่คนเดียวอย่างสมบูรณ์

 

ถึงมันจะเป็นห้องของผมแต่ก็แปลกเพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบนานมาแล้วที่ผมรู้สึกแบบนี้

 

“อ่า—ยอดเยี่ยมจริงๆ! บรรยากาศเหมาะกับการเรียนเป็นที่สุด!”

 

ผมอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาดัง ๆ ที่รู้สึกถึงความอิสระอันน่าพึงพอใจ

 

พอผมพูดอย่างนั้น ประตูห้องของผมก็ถูกเปิดออก

 

“นี่คุณพี่ชายพูดคนเดียวเสียงดังเกินไปแล้ว!”

 

“ว้าาาาาา!!”

 

เอริกะจังโผล่มาจากไหนไม่รู้

 

ผมรู้สึกประหลาดใจที่เห็นคนที่ผมไม่คาดคิดและอายที่ถูกได้ยินตอนพูดกับตัวเอง ดังนั้นผมจึงเผลอตะโกนออกมา

 

เอริกะจังมองมาที่ผมและยิ้ม

 

“คุณพี่ชายเป็นคนประเภทที่ชอบพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ เหรอคะ? เหงาขนาดนั้นเลยเหรอ? พี่คิดว่ามันยังไม่เพียงพอเหรอที่เราไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ทั้งเมื่อวานและวันนี้ด้วย”

 

“ไม่ไม่! นั่นไม่จริงสักหน่อย!! แล้วจู่ๆ มาทำอะไรใน ห้องฉันเนี่ย!?”

 

“เพราะหนูมีบางอย่างที่ต้องทำน่ะ”

 

เมื่อพูดแบบนั้น เอริกะจังก็เข้ามาในห้องของผม และ…กระโดดขึ้นไปบนเตียงของผม

 

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์~”

 

“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”

 

ผมรีบห้ามไม่ให้เอริกะจังดึงฟูกนอนขึ้นคลุมตัวเธอที่พยายามจะนอน

 

“หนูบอกพี่ไปแล้วนี่ว่าหนูมีประจำเดือนเมื่อวานนี้ นี่แค่วันที่สองอยู่เลยนะ มันปวดอ่ะ”

 

“แล้วทำไมเธอต้องมานอนที่ห้องฉันด้วยล่ะ!”

 

“เพราะเมื่อคืนเป็นคืนที่หลับสบายที่สุดที่หนูเคยหลับมาก่อน เพื่อเป็นการขอบคุณ หนูจะทิ้งความอบอุ่นไว้บนฟูกของพี่ให้เองค่ะ ปล่อยหนูไว้แบบนี้แหละ”

 

“ฉันไม่ต้องการคำขอบคุณแบบนั้นเลยสักนิด!! เธอจะมานอนห้องฉันไม่ได้นะ!!”

 

เธอมีการรับรู้ถึงอันตรายที่ต่ำเกินจนผมปวดหัว หรือว่าเธอไม่เคยเห็นผมเป็นผู้ชายเลย? แบบนั้นมันก็น่าปวดหัวเหมือนกัน ในอีกแบบหนึ่ง…

 

“แล้วมานะกับคนอื่นๆล่ะ!?”

 

ไม่มีวี่แววว่าน้องสาวของผมหรือเพื่อนแยงกี้คนอื่น ๆ ของเธอจะอยู่ที่บ้าน ถ้าพวกเธออยู่ที่นี่ ผมคงจะรู้ได้ทันทีเพราะเสียงคงดัง

 

“มานะและคนอื่นๆ อยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ หนูมาที่นี่ก่อนเพราะหนูปวดท้องน่ะ”

 

“แล้วทำไมไม่ไปรอที่ห้องของมานะล่ะ? อย่ามานอนบนเตียงของฉันสิ!”

 

“งั้นหนูกลิ้งก็ได้”

 

“ทั้งนอนทั้งกลิ้งก็ไม่ให้ทำมันทั้งคู่นั่นแหละ”

 

“นิดเดียวเองไม่เป็นไรหรอกน่า? อ่า ถ้าคุณพี่ชายอยากนอนล่ะก็จะมานอนกับหนูก็ได้นะคะ~”

 

เอริกะจังพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เธอกลิ้งตัวไปมาบนเตียง เงยหน้ามองผมพร้อมแขนทั้งสองข้างที่กางออก ลักษณะของเธอเหมือนแฟนสาวที่กำลังรอผมเข้านอน

 

หยุดความคิดไปเลยนะ เธอไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย ทำไมผมถึงได้รู้สึกใจเต้นขนาดนี้นะ!!?

 

ผมขจัดความปรารถนาทางโลกทั้งหมดออกจากจิตใจของผม

 

จากนั้น หลังจากหยุดคิดไปสักพัก ผมพูดกับเอริกะจังว่า

 

“แล้วก็นะ… อย่ากลิ้งไปมาทั้งชุดแบบนั้นสิ!”

 

ผมอยากจะเอาเอริกะลงจากเตียงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และนั่นคือประโยคที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม

 

จากนั้นเอริกะจังก็ทำหน้ามุ่ย

 

“เอ๊ะ~ แบบนี้มันเป็นปัญหางั้นเหรอ~?”

 

“ปัญหา….?”

 

‘อย่ากลิ้งไปมาในชุดเครื่องแบบสิ’ คือสิ่งที่แม่เคยพูดกับมานะ ดังนั้นมันจึงฝังอยู่ในใจของผม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพอเธอถามว่ามันมีปัญหาอะไร ผมคิดไม่ออกเหมือนกัน

 

“เอ่อก็…กระโปรงมันจะยับใช่มั้ยล่ะ? มันจะไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในทำความสะอาดเพื่อแก้ไขมันงั้นเหรอ?”

 

ผมคิดแล้วตอบแบบนั้นไป เอริกะจังก็มองฉันด้วยสีหน้าสงสัย

 

“รอยยับมันเป็นปัญหาใหญ่งั้นเหรอ”

 

“เพราะเธอต้องใส่ชุดพวกนี้อยู่บ่อยๆ ฉันคิดว่ามันคงจะดีขึ้นถ้ามันสะอาดและดูเรียบร้อย”

 

“…คุณพี่ชายคิดว่าสาวม.ปลายในเครื่องแบบสะอาดๆ จะดีกว่าใช่มั้ยคะ?”

 

“แน่นอนสิ ถ้าชุดดูยับและสกปรก ฉันคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนซกมกน่ะ”

 

“…อย่างงี้นี่เอง”

 

เอริกะจังดูไม่ค่อยสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม เธอเข้าใจประเด็นที่ผมจะสื่อ และลุกขึ้นจากเตียงและนั่งบนขอบแทน

 

“คุณพี่ชายมีอะไรอีกมั้ยที่พี่คิดว่าหนูควรแก้ไขเกี่ยวกับตัวเอง”

 

เอริกะจังถามพลางแกว่งเท้าไปมา

 

“ขอฉันคิดก่อน… อา ที่ทางเข้าไง! ฉันคิดเรื่องนี้มาสักพักละ ช่วยจัดรองเท้าให้เรียบร้อยก่อนเข้าบ้านมาหน่อยได้มั้ย!”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะ…”

 

เด็กในวัยนี้มันควรจะมีสามัญสำนึกเรื่องนี้สิ แต่ปฏิกิริยาแบบนี้ แปลกแฮะ ผมรู้สึกเหมือนเป็นแม่ที่กำลังอธิบายให้ลูกวัยอนุบาลฟังเลย

 

“…เพื่อป้องกันปัญหาการทำรองเท้าหายหรือคนที่มาที่หลังทำรองเท้าหายเราหายน่ะ”

 

“ปกติแล้วจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคนที่มาที่หลังด้วยงั้นเหรอคะ”

 

เอริกะจังเอียงศีรษะด้วยความงงงวย

 

ผมถอนหายใจและอธิบายให้เอริกะจัง

 

“ถ้าอย่างนั้นลองนึกภาพตามดูนะ มีสถานที่ที่เธออยากไปมาก แต่พอเธอไปถึงผู้คนที่มาถึงก่อนทิ้งรองเท้าไว้เกะกะ เธอจะรู้สึกยังไง”

 

“หนูคงรู้สึกอยากจะเตะพวกมันออกไป เพราะพวกมันขวางทาง”

 

“มันขึ้นอยู่กับเธอว่าเธอจะโกรธ เศร้า หรือเบื่อหน่าย แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่ควรจัดรองเท้าของเธอเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกแย่กับสิ่งที่เธอทำ”

 

“อืม…เข้าใจแล้ว หนูจะพยายามระวังต่อจากนี้ค่ะ แต่ว่าหนูขี้ลืมมาก ดังนั้นอาจมีบางวันที่หนูไม่ได้ทำนะ”

 

น่าแปลกที่เธอตั้งใจฟังผม ผมค่อนข้างมีความสุขกับเรื่องนี้แฮะ

 

“มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำเป็นปกติได้ในทันที แต่แค่เธอคิดแบบนั้นได้ ก็ดีแล้วล่ะ ฉันมั่นใจว่าวันหนึ่งเธอจะสามารถทำได้โดยเป็นธรรมชาติแน่นอน”

 

เมื่อผมยิ้มให้เอริกะจัง เธอก็มองไปทางอื่น ดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อย

 

ถึงเอริกะค่อนข้างขาดสามัญสำนึก แต่เธอก็เป็นคนใจดีพอที่จะคุยกับมานะในตอนที่เธอโดดเดี่ยว อีกทั้งเธอยังซื่อตรงและน่ารักอย่างน่าประหลาดใจ

 

“มีอะไรอีกมั้ย?”

 

เธอถามแบบห้วนๆ

 

“อืม…ใช่ๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องแก้ไข แต่ว่ามีบางอย่างที่ฉันอยากจะบอกเธอมาเสมอแต่ไม่เคยบอกเลย”

 

“เอ๊ะ? อะไรน่ะ?”

 

“เอริกะจัง ขอบคุณมากนะที่เป็นเพื่อนที่ดีกับมานะเสมอมา”

 

ผมบอกเธอว่าฉันรู้สึกอย่างไร

 

จากนั้นเอริกะจังก็ลุกขึ้นจากเตียง เธอเม้มปากของเธอและแสดงสีหน้าแปลกๆ หมอนร่วงลงจากเตียงเนื่องจากการที่เธอลุกขึ้นพรวดพราด

 

“อา—พอแล้ว! หนูพักพอแล้ว! หนูจะไปเล่นกับมานะและคนอื่นๆแล้ว!”

 

“อ๊ะ เดี๋ยวสิ กลับมาคุยเรื่องนี้ให้จบก่อนสิ!”

 

การบ่นคนอื่นไม่ใช่งานอดิเรกของผม แต่เมื่อต้องมาดูแลยัยพวกแยงกี้ ก็มีเรื่องให้ผมบ่นมากมายเลยล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของเอริกะจัง

 

ผมมองไปที่เอริกะจัง รู้สึกขอโทษกับการสั่งสอนเธอไป และ ตามคาดเธอดูเบื่อหน่าย

 

“…พี่ชายจะจู้จี้จุกจิกเกินไปแล้วนะทั้งเรื่องกระโปรง เรื่องรองเท้า เรื่องหมอน… เพราะแบบนี้พี่ถึงหาแฟนไม่ได้ไงคะ?”

 

มีบางอย่างแทงเข้าไปในหัวใจของผม ความโศกเศร้านี้พรั่งพรูออกมาจากบาดแผล….

 

“ฉันทุ่มเทให้กับการเรียนอยู่! ค่อยไปกังวลเรื่องความรักเมื่อตอนทำงานแล้วก็ได้ ฉันไม่ได้หาแฟนสักหน่อย ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่ฉันจะไม่มีน่ะ!”

 

“นั่นมันเป็นแค่ข้อแก้ตัวไม่ใช่เหรอ~? พี่กำลังโกหกตัวเอง ว่าไม่ต้องการมีแฟนเพราะไม่ว่าจะทำยังไงก็หาไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ?”

 

เอริกะจังหัวเราะคิกคัก

 

สาวสวยหน้าตาดีราวนางฟ้าเริ่มดูเหมือนปีศาจ

 

แต่ผมไม่อยากให้เอริกะเปลี่ยนเรื่อง

 

“ฉันยอมรับว่านั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัว แต่—”

 

ผมพูดกับเอริกะจังด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“—ถึงอย่างนั้น ถึงเอริกะจังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ฉันก็จะแนะนำเธออยู่ดี เธออาจจะรู้สึกเหมือนถูกห้ามนู่นห้ามนี่ แต่ถ้าเธอทำได้มันจะดีกับเธอ และถ้าเธอหยุดทั้งๆที่ยังไม่ได้ลอง ฉันคิดว่ามันคงไม่ดีสำหรับเอริกะจังนะ ถ้าเธอจะไม่รู้มันเลยน่ะ”

 

ถ้าผมไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเอริกะจังเลย ผมคงไม่คอยดูแลเธอหรอก มันช่วยไม่ได้ล่ะนะ มันง่ายที่จะยอมแพ้และพูดว่ามันไม่มีประโยชน์

 

แต่ผมรู้สึกอยากจะบอกเอริกะจังสักครั้ง

 

นี่คือ…ข้อพิสูจน์ว่าผมเป็นห่วงเอริกะจัง

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผม เอริกะจังก็มองมาที่ผมอย่างสงสัย

 

“พี่หมายความว่าหนูควรจะรู้สามัญสำนึกบางอย่างใช่มั้ยคะ?”

 

“ประมาณนั้นนั้น…. เมื่อเธอออกไปสู่สังคม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสามัญสำนึก ดังนั้นถ้าเธอไม่รู้อะไรเลย เธอจะถูกคนอื่นดูถูกเอา เธอไม่ต้องการแบบนั้นใช่มั้ย เอริกะจัง?”

 

“หนูไม่ชอบมัน….เวลาที่คนอื่นดูถูกหนู”

 

เป็นการยากที่จะสื่อสารกับแยงกี้ให้เข้าใจ แต่เอริกะจังก็หยิบหมอนที่หล่นอยู่อย่างไม่เต็มใจและวางมันลงบนเตียงอีกครั้ง

 

ผมดีใจที่ความรู้สึกของผมถูกถ่ายทอดออกไป ขณะที่ผมโล่งใจ เอริกะจังก็ยิ้มให้ผม

 

“ว่าแต่ว่าคุณพี่ชายกังวลเกี่ยวกับอนาคตของฉันงั้นเหรอคะ~?”

 

เป็นไปตามคาดเอริกะจังเธอใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการเอาชนะความหดหู่ใจจากการถูกสอน

 

เธอเปลี่ยนอารมณ์มาหยอกล้อผมอย่างรวดเร็ว

 

ในขณะที่ชื่นชมความแปลกประหลาดของเธอ ผมก็ตอบออกไป

 

“ฉันก็กังวลแน่นอนอยู่แล้วสิ เอริกะจังมาที่บ้านฉันบ่อยจนตอนนี้เธอก็เหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่งของฉันไปแล้วนะ”

 

“เห~? น้องสาวงั้นเหรอ~ หนูเข้าใจแล้ว ในเมื่อตอนนี้พี่ตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรัก พี่เลยไม่คิดว่าฉันเป็นเพศตรงข้ามงั้นสินะ~?”

 

“เอริกะจัง? ไม่มีทาง ไม่เด็ดขาด!”

 

เมื่อผมได้ยินคำพูดของเอริกะจังผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

 

“แล้วถ้าหนูบอกว่าหนูอยากเป็นแฟนพี่ พี่จะทำยังไงคะ”

 

“เอ๊ะ?”

 

เสียงหัวเราะของผมเริ่มแผ่วลง

 

เอริกะจังที่กำลังจ้องมองมาที่ผม ดูเหมือนจะมีสีหน้าจริงจังกว่าปกติ

 

—อย่าบอกนะว่าเอริกะจังชอบผม..?

 

ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าเพื่อนของน้องสาวจะมาชอบผม

 

มันดูเป็นไปไม่ได้…

 

ขณะที่ผมจมอยู่กับความสับสน เอริกะจังก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! หน้าคุณพี่ชายมันตลกเกินไปแล้วนะ~!”

 

“นี่เธอ ล้อฉันเล่นงั้นเหรอ!”

 

“อะไรกัน~? พี่รู้สึกหงุดหงิดที่คิดว่าฉันจริงจังงั้นเหรอคะ? พี่คิดว่าเพื่อนของน้องสาวอาจจะกลายมาเป็นแฟนของพี่~?”

 

“ไม่ ฉันไม่ได้คิดนะ! ฉันแค่สับสนอยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้!”

 

“หืม~? เป็นไปไม่ได้สินะคะ~?”

 

เอริกะจังตบหลังผมขณะที่เธอเดินผ่านไป มุ่งหน้าไปยังประตูห้องของผม

 

“รู้มั้ยคะ ในมังงะในห้องของคุณพี่ชายน่ะ มันบอกว่า “ไม่มี สิ่งที่ใดเป็นไปไม่ได้””

 

“นั่นสินะ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้เลยที่เอริกะจังจะกลายเป็น JK ที่เรียบร้อยและมีระเบียบเช่นกัน”

 

“ฮะ? นั่นน่ะเป็นไปไม่ได้แน่นอนค่ะ!”

 

ในตอนท้าย ผมแกล้งเอริกะจังในขณะที่เธอวิ่งออกจากห้องไปอย่างหน้าแดง

 

ผมหัวเราะคนเดียวในห้องของผม

 

“แย่จริง…เธอน่ารักชะมัด”

 

ผมพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ผมรู้สึกว่าเอริกะจังเป็นเหมือนน้องสาวของผมจริงๆนะ

 

ผมกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเธอเพราะเธอขาดสามัญสำนึก ผมแค่ปล่อยเธอไว้คนเดียวไม่ได้ เพราะผมไม่อยากให้เธอตกอยู่ในอันตราย

 

ผมอยากสอนอะไรหลายๆอย่างให้เธอ จากนี้เป็นต้นไป

 

ผมเดินไปที่เตียงของผม เอริกะจังได้ทิ้งฟูกไว้อย่างยุ่งเหยิง เนื่องจากเธอเพิ่งนั่งอยู่บนนั้นฟูกจึงยังอุ่นอยู่ และผมก็จัดเก็บมันอย่างระมัดระวังโดยพยายามจะไม่แตะต้องมัน

 

…ความรู้สึกตื่นเต้นกับตัวเอริกะจังที่เป็นเหมือนกับน้องสาวของผมนั้น เป็นความรู้สึกที่ผมอยากจะหลีกเลี่ยง

 

เพจผู้แปล Lemon FT 

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

Status: Ongoing
วันหนึ่ง คามิโจ สึคาสะ นักศึกษาผู้ขยันขันแข็งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยังไม่มีแฟนไปจนกว่าจะถึงวัยทำงาน ได้ถูก ฮาตะ เอริกะ เพื่อนแยงกี้ม.ปลายของน้องสาวของเขาขอแต่งงานแบบงงๆ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท