บทที่ 8
เรียนที่มหาวิทยาลัยทุกวันและทำงานพาร์ทไทม์เป็นครูสอนพิเศษส่วนตัว ขณะที่ผมกำลังทำสิ่งเหล่านั้นใบหน้าของเอริกะจังก็โผล่เข้ามาในหัวของผม
ผู้หญิงที่ซื่อตรงแต่ขาดสามัญสำนึก เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมเด็กผู้หญิงอย่างเอริกะจังถึงตัดสินใจเป็นแยงกี้
ผมรู้เกี่ยวกับเอริกะจังน้อยมากเลย
เธอเป็นผู้หญิงใจดีที่คอยช่วยเหลือมานะในยามที่เธอโดดเดี่ยว แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ผมจะโต้ตอบกับเธอจนถึงตอนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของเอริกะจังสักเท่าไหร่
——ผมสงสัยว่ามันจะดีหรือเปล่าที่พี่ชายจะเข้าไปวุ่นวายกับสถานการณ์ของเพื่อนของน้องสาวตัวเอง….
ในคืนหนึ่ง
ผมนั่งอยู่ในห้องของผมที่โต๊ะเรียน แน่นอนตอนนี้ผมอยู่คนเดียว
วันนี้ไม่มีวี่แววของยัยพวกสาวแยงกี้ที่บ้านเลย พวกเธอพยายามที่จะครอบครองสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ผมเปลี่ยนงานพาร์ทไทม์ไปและกลับบ้านเร็วขึ้น ดังนั้นผมเดาว่าพวกเธอคงรู้สึกแย่ที่จะมาเอะอะกันที่นี่
ชั่วขณะหนึ่ง ผมก็รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ทำให้พวกเธอรู้สึกเกรงใจ
ผมจึงรีบส่ายหัว
ไม่ ไม่ ตั้งแต่แรกก็ห้องผมเอง จะกังวลไปทำไม
เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะอยู่คนเดียวในห้อง ผมไม่ต้องการอยู่ท่ามกลางการละเล่นของยัยพวกแยงกี้หรอกนะ
พวกเธอคงจะบุกเข้ามาในห้องผมอีกแน่ ผมควรทำสิ่งที่ผมจะทำในขณะที่ยังทำได้
เพื่อให้จิตใจสดชื่นขึ้น ผมดื่มกาแฟบนโต๊ะ รสขมกระจายอยู่ในปากของผมและกลบความรู้สึกมืดมนในตัวเอง
จากนั้น ทันทีที่ผมเอื้อมมือไปที่แป้นพิมพ์ของ คอมพิวเตอร์… จู่ๆ บ้านก็มีเสียงดังขึ้นมา
พายุกำลังจะมา ก่อนที่ผมจะได้เตรียมตัวประตูก็ถูกเปิดออก
“เรากลับมาแล้ว~! สึคาจิ ดูนี่สิ~! หนูได้เห็ดยัดไส้ขนาดใหญ่ยักษ์จากอาร์เคดล่ะ~!”
เป็นเสียงของรูนะจัง จากนั้นเห็ดขนาดใหญ่ก็โผล่ขึ้นมาต่อหน้าต่อตาฉันอย่างกระตือรือร้น ส่วนของร่มเห็ดบดบังการมองเห็นของผมไปหมด ผมจึงรีบพยายามผลักมันออกไป
“ใกล้เกินไปแล้ว!! มันใกล้เกินที่ฉันจะมองเห็นแล้วเฟ้ย!!”
ผมจับก้านอ่อนของเห็ดแล้วเอียงไปด้านข้างและในที่สุดก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับเห็ดที่รูนะจังผลักเข้ามา ผมเห็นมานะและอาริสะจังเริ่มวางเครื่องดื่มและของว่างลงบนโต๊ะเตี้ย
“เดี๋ยวดิ ทำไมพวกเธอถึงตั้งหน้าตั้งตามาปาร์ตี้กันที่นี่ล่ะเฮ้ย!?”
ผมตะโกนและมานะก็พูดอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรๆ? หนูคิดว่าบางทีพี่อาจต้องการอนุภาค JK ในห้องของพี่บ้าง หนูจะโปรยมันไปทั่วบรรยาที่นี่เลย พี่จะได้สนุกไปกับมันอย่างสงบสุข”
“แล้วฉันจะทำยังไงกับอนุภาค JK ที่โปรยลงมาในอากาศได้กัน!?”
เวลาอยู่คนเดียวของผมหายวับไปอย่างน่าเศร้า
ความเงียบถูกทำลายอย่างง่ายดายโดยสามสาวแยงกี้
— หืม? สาม?
แล้วผมก็สังเกตเห็น…. เอริกะจังไม่ได้อยู่ที่นี่
ผมถามมานะ
“เอริกะจังอยู่ไปไหนซะล่ะ”
“เธอบอกว่าเธอกำลังมองหางานพาร์ทไทม์และจะแวะมาทีหลัง วันนี้เธอไม่น่าจะมาหรอก เอริกะบอกว่าจะมาช้าทีไร เธอก็ไม่เคยมาสักที”
“งั้นเหรอ….”
วันที่ผมพาเอริกะจังกลับบ้านพร้อมตัวเปียกโชก เธอบอกว่าจะหยุดพักจากการหางานสักพัก แต่แล้วเธอกลับยังคงหาอยู่จนถึงทุกวันนี้…
“เธอต้องการงานพาร์ทไทม์มากขนาดนั้นเลยเหรอ..?”
ผมพึมพำ แล้วอาริสะจังก็ยิ้มออกมา
“อืมมม~? คุณพี่ชายรู้สึกเหงาเพราะเอริกะไม่ได้ อยู่ที่นี่งั้นเหรอคะ~?”
“ปะ เปล่าสักหน่อย ฉันไม่! มันไม่ใช่แบบนั้น… ฉันแค่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอริกะจังมากนัก ฉันเลยสงสัยว่าทำไมเธอถึงอยากได้งานพาร์ทไทม์มากขนาดนั้น…”
พอผมพูดแบบนั้น มานะ รูนะจัง และอาริสะจังก็มองหน้ากัน และเมื่อผมเห็นว่ารูนะจังและอาริสะจังพยักหน้าเงียบๆ มานะก็หันมาหาผมแล้วพูดว่า….
“พี่อยากฟังเรื่องครอบครัวของเอริกะมั้ย”
“เอ๊ะ…มันจะดีเหรอ?”
“ถ้าเป็นพี่… หนูคิดว่ามันเป็นการดีที่จะบอก เอริกะประสบปัญหาในการหางานพาร์ทไทม์มาโดยตลอด ดังนั้นหนูคิดว่าพี่น่าจะช่วยเธอได้…”
รูนะจังและอาริสะจังพยักหน้าด้วย ผมบอกได้เลยว่ามานาและคนอื่นๆ ก็กังวลกับการหางานพาร์ทไทม์ของเอริกะเหมือนกัน
“งั้นช่วยเล่าให้ฉันฟังทีละกัน”
ผมนั่งลงใกล้กับโต๊ะเตี้ยกับทั้งสามคน จากนั้นมานะก็เริ่มพูดขึ้น
“อ่า ก่อนอื่นเอริกะอยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อของเธอ…. หนูไม่รู้เกี่ยวกับเขาจริงๆ”
“อืม…”
“แม่ของเธอทำงานที่บาร์ตั้งแต่เอริกะยังเด็ก หนูไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเธอโตพอที่จะรับรู้สิ่งรอบตัวแม่ของเธอมักจะไม่อยู่บ้าน คุณป้าในละแวกนั้นเลยคอยทำอาหารให้เธอกิน… แม่ของ เอริกะไม่ค่อยเป็นห่วงเธอสักเท่าไหร่”
“…เธอใช้ชีวิตค่อนข้างหนักเลยแฮะ”
ผมนึกภาพเอริกะจังตัวน้อยอยู่บ้านตามลำพังก็ทำหัวใจผมก็เจ็บปวดเล็กน้อย
แล้วรูนะจังก็พูดว่า
“แม่ของหนูก็ทำธุรกิจประเภทนั้นเหมือนกัน แต่หนูมีคุณย่าอยู่ที่บ้านเสมอ ดังนั้นหนูจึงไม่เคยรู้สึกเหงาเลย หนูคิดว่ามันคงจะยากสำหรับเอริกะที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียว”
แล้วอาริสะก็พูดพร้อมกับยิ้ม
“แต่เธอยังโชคดีไม่ใช่เหรอที่ยังมีผู้หญิงดีๆ อยู่ในละแวกบ้านของเธอ? ทั้งหมดที่ฉันมีคือพ่อแม่เฮงซวย”
“เรายังโชคดีนะที่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียนน่ะ~” รูนะจังพูด “ฉันรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาไม่ขอให้เราทำงานหลังจากจบมัธยมต้น” อาริสะจังเห็นด้วย
ผมรู้ว่าทุกคนต่างไปจากผมที่มีชีวิตสุขสบาย ผมเกิดในครอบครัวที่ดี ได้รับความรักโดยครอบครัวความเห็นแก่ตัวของผมถูกรับฟังและมีความฝันและความหวังตามสภาพแวดล้อมของมัน
แต่สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมนั้นไม่เหมือนกันสำหรับพวกเธอ
ผมถามรูนะจังกับอาริสะจัง
“แล้วทำไมเธอสองคนถึงกลายเป็นแยงกี้ซะล่ะ”
จากนั้นรูนะก็พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย
“เอ๊ะ~ ทำไมน่ะเหรอ? หนูแค่อยากใช้เวลาในปัจจุบันให้คุ้มค่าที่สุดมันเลยเป็นเองโดยธรรมชาติน่ะ”
อาริสะจังพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่เลย เมื่อหนูต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตหนูก็กลายเป็นแยงกี้ไปซะแล้ว แยงกี้เป็นสายพันธุ์การต่อสู้”
บางทีสถานะของ “แยงกี้” ของพวกเธออาจหมายถึงการติดอาวุธ แม้แต่มานะก็กลายเป็นแยงกี้เพื่อไม่ให้พ่ายแพ้ต่อเพื่อนร่วมชั้นใจร้ายที่รังแกเธอ
พวกเธอกลายเป็นแยงกี้เพื่อเอาชีวิตรอดในช่วงเวลาปัจจุบัน
แยงกี้มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งในการต่อสู้กับแยงกี้คนอื่น ๆ แต่สิ่งที่พวกเธอต่อสู้กันจริง ๆ อาจไม่ใช่แยงกี้คนอื่น ๆ แต่เป็นบางสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในตัวพวกเธอเอง
พอผมเงียบไปสักพักรูนะจังก็ตบหลังผมอย่างแรง
“ม่าย ม่าย อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ! ถึงจะเป็นแบบนี้แต่เราก็ใช้ชีวิตได้สนุกกว่าที่คิดนะ”
“…เธอรู้สึกไม่พอใจพ่อแม่ของเธอรึเปล่า”
“เอ๊ะ? ไม่ว่าจะเกิดมาจากพ่อแม่แบบไหน ก็ต้องมีบ้างแหละที่ไม่พอใจพวกเขาอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตใช่มั้ยล่ะคะ?”
ก็จริงนะ บางครั้งผมไม่เห็นด้วยกับพ่อแม่ของผมเหมือนกัน เป็นเส้นทางที่ทุกคนเคยผ่านเมื่อเข้าสู่วัยแรกรุ่น
ในขณะที่ผมคิดเห็นด้วย อาริสะจังก็พูดว่า
“ถ้าพ่อแม่เป็นพวกขยะ ลูก ๆ ของพวกเขาก็จะถูกเรียกว่า พวกขยะ และเป็นความจริงที่พวกแยงกี้อาจเป็นพวกขยะในสายตาชาวโลก แต่เราไม่ต้องการมีชีวิตแบบเดียวกับพ่อแม่ พ่อแม่ของเรามีชีวิตของตัวเองและเราก็มีชีวิตของเรา เรากำลังต่อสู้เพื่อเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม”
แม้จะเผชิญกับความทุกข์ยากแต่ยัยพวกแยงกี้ JK ก็เผชิญกับความท้าทายในชีวิตโดยไม่ยอมแพ้ ความยืดหยุ่นของพวกเธอนั้นน่าทึ่งมาก
“พวกเธอทุกคนนี่…สุดยอดสุดๆเลย”
ผมพูดพึมพำและหัวเราะออกมา แล้วรูนะจังกับอาริสะจังก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงหัวเราะเยาะผม ผมก็เลยได้แต่มองพวกเธออย่างเหม่อลอย แล้วมานะก็พูดว่า
“พี่ที่ยอมรับเราแบบนั้นได้น่าชื่นชมเหมือนกัน จากนี้ไป ได้โปรดคิดถึงพวกเราแบบนี้ต่อไปด้วย”
เธอฟังดูโอ้อวด แต่ค่อนข้างภูมิใจในคำพูดของเธอเลยทีเดียว
บรรยากาศในห้องสงบและทุกคนยิ้มแย้ม แม้ว่าสถานการณ์ในครอบครัวจะหนักหนาสาหัสก็ตาม
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
รูนะจังกับอาริสะจังกลับบ้านไปแล้ว ส่วนมานะก็ไปอาบน้ำ ผมไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรดื่ม แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมล็อกประตูหน้าบ้าน
ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างนอกประตู
ผมไม่คิดว่าเป็นไปได้ ผมจึงสวมรองเท้าและเปิดประตูดู จากนั้น… ผมก็เห็นเอริกะจังอยู่ที่นั่น
“เอริกะจัง…?”
“อา ขอโทษค่ะ…ทุกคนกลับไปแล้วใช่มั้ย?”
“ใช่… พวกเธอกลับไปประมาณ 5 ทุ่มเหมือนเคยน่ะ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ~…แย่จริงๆ หนูมาสายอีกแล้ว”
เอริกะจังหัวเราะเบาๆ
“เธอ… หางานพิเศษอยู่ใช่มั้ย”
เมื่อผมถาม เอริกะจังก็ตอบในขณะที่เล่นกับหินก้อนเล็กที่วางอยู่บนบันไดประตูด้วยปลายรองเท้าของเธอ
“พวกเขาบอกว่าถ้าหนูอยากได้งาน หนูต้องย้อมผมให้เป็นสีดำก่อน”
“…เธอไม่ชอบมันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้ามันไม่ใช่ผมบลอนด์เอริกะจัง? ฉันว่าสีดำสะดวกกว่านะเพราะไม่ต้องย้อมใหม่บ่อยๆ…”
ผมสีดำธรรมชาติของเอริกะจังปรากฏให้เห็นบน ศีรษะของเธอ โดยปกติแล้วเมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องย้อมผมอีกครั้งเอริกะจังมักจะย้อมผมหลังจากที่ผมส่วนที่เป็นสีดำโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น
“แต่ถ้าหนูย้อมผมเป็นสีดำ หนูจะดํไม่เหมือนแยงกี้และคงจะถูกเพื่อนๆ กีดกัน….?”
เอริกะจังดูไม่สบายใจเล็กน้อย
“สิ่งที่สำคัญสำหรับแยงกี้คือจิตวิญญาณของพวกเธอ ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกสักหน่อย? เธอจะเลิกเป็นเพื่อนกับใครบางคนเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปได้งั้นเหรอ?”
แม้ว่าผมจะไม่ใช่แยงกี้ แต่ผมกำลังพูดถึงแยงกี้เหมือนกับว่าผมเป็นหนึ่งในนั้น หลังจากพูดไปแบบนั้นผมรู้สึกอายเล็กน้อยและเกาหัวของผม
ผมนึกว่าจะโดนแกล้งซะอีก….
แต่เอริกะจังกลับมองมาที่ผมและยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“คุณพี่ชายเท่มากเลยค่ะ”
เอริกะจังกำลังยิ้มท่ามกลางแสงที่ส่องมาจากประตูหน้า เธอก็ดูสวยงามสายลมหนาวของเดือนพฤษภาคมพัดโชยมาทำให้ผมสีบลอนด์ยาวสลวยของเธอพลิ้วไหว
“พี่กำลังเรียนเพื่อเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ ทำไมล่ะ? ตอนนี้ฉันเรียนคณะครุศาสตร์อยู่น่ะ”
“แล้ววันหนึ่งพี่ก็จะสอนนักเรียนอย่างหนูด้วยใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ฉันคิดว่างั้นนะ ทางเลือกแรกของฉันในตอนนี้คือสอนภาษาญี่ปุ่นระดับมัธยมปลาย ดังนั้นฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ฉันจะทำ….”
“หนูแน่ใจว่าพี่จะเป็นครูที่ดีแน่ค่ะ หนูอิจฉาคนที่ได้เป็นลูกศิษย์ของพี่จัง”
คำพูดของเอริกะจังทำให้ผมมีความสุขและผมก็ขอบคุณเธอ
“ขอบคุณนะ พอเอริกะจังพูดแบบนั้นแล้วมันทำให้ฉันอยากทำให้ดีที่สุดเลยล่ะ”
การเคลื่อนไหวของเอริกะจังหยุดลง
เธอจ้องมาที่ผมราวกับเวลาหยุดหมุน และหลังจากนั้นครู่หนึ่งริมฝีปากสีชมพูของเธอก็ขยับ
“จริงเหรอคะ การขอบคุณ…..เป็นความรู้สึกที่มีความสุขมากจริงๆ ค่ะ”
เอริกะจังยิ้มอย่างเขินอายและบอกผมว่า “ราตรีสวัสดิ์” ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“ราตรีสวัสดิ์, เดินทางกลับบ้านปลอดภัยล่ะ”
ผมส่งเสียงให้เธอขณะที่เธอจากไปเอริกะจังไม่หันกลับมาแต่ผมก็ยังคงมองเธอต่อไป
—ก่อนที่เธอจะเลี้ยวออกจากบ้านของผม ผมคิดว่าผมเห็น เอริกะกำลังมองมาที่ผม ผมมองไม่เห็นว่าเธอมีสีหน้าแบบไหน แต่ผมเห็นเธอโบกมือให้เล็กน้อย
ผมจ้องมองที่มุมสักพักหลังจากที่เอริกะจังหายไปจากสายตาของผม
ผมจำสิ่งที่มานะและคนอื่นๆ บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านของเอริกะจังในวันนี้ได้และรู้สึกเศร้าหมอง
ผมเดาว่าบ้านของเอริกะจังไม่ใช่สถานที่ที่เธอรู้สึกสบายใจ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่เคยพูดว่า “หนูจะกลับบ้านแล้ว” ทุกครั้งที่เธอจากไป
-ไม่ว่าหนูจะพูด “ยินดีต้อนรับกลับนะ” หรือไม่พูดมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลยสักหน่อย?”
ผมนึกถึงสิ่งที่เอริกะจังเคยพูดกับผม นึกแล้วมันก็เจ็บปวด
ตอนนี้ผมเดาได้แล้วว่าทำไมเอริกะจังถึงพูดแบบนั้น
“คงจะดีนะถ้าพรุ่งนี้เธอมาด้วย”
ถ้าบ้านของเราเป็นสถานที่ที่เอริกะจังอยู่แล้วรู้สึกสบายใจผมก็ยินดีที่จะต้อนรับเธอ