บทที่ 9
ตอนนี้เป็นเดือนมิถุนายน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ งานพาร์ทไทม์ของผมในฐานะติวเตอร์ก็ไปได้ด้วยดี และผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มชินกับการเรียนมหาวิทยาลัย ผมเป็นคนที่ชอบเรียนมาโดยตลอด ด้งนั้นมันจึงเป็นเรื่องสนุกที่ได้ใช้ชีวิต ที่ผมสามารถคิดถึงเรื่องเรียนได้ตลอดเวลา ผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วที่จะลาออกจากงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอิซากายะ
และตอนนี้… ผมเริ่มชินกับการมียัยพวกแยงกี้ JK อยู่ในห้องของผมแล้วล่ะ
“เน่-เน่-พี่ชาย พี่ไม่มีมังงะโรแมนติกมากกว่านี้แล้วเหรอ?”
เป็นเวลา 3 ทุ่ม
บนพื้นห้องของฉัน เอริกะจังที่กำลังนอนคว่ำหน้าในชุดนักเรียนกำลังอ่านมังงะอยู่ และผมก็อยู่ที่โต๊ะเรียน
“ไม่มีหรอก พอดีฉันไม่ค่อยชอบอ่านแนวนั้น”
“พวกนี้ทั้งหมดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดในต่างโลก และก็ฮาเร็มด้วย พี่ชายต้องการที่จะเกิดใหม่และมีชีวิตที่เป็นที่นิยมอย่างไม่มีเงื่อนไขงั้นสินะคะ”
“ไม่ใช่เฟ้ย ฉันแค่คิดว่ามันน่าสนใจในฐานะมังงะเฉยๆ ไม่ต้องมายุ่งไม่เข้าเรื่องเลย”
เมื่อผมอ่านมังงะ ผมก็แค่อยากคิดถึงโลกอื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ผมชอบมังงะที่ไม่มีความสมจริง
ผมถอนหายใจและมองไปที่เอริกะจัง
“อย่าบ่นเรื่องนั้นในทั้งๆที่ยืมมังงะของคนอื่นอ่านดิเฮ้ย”
“หนูไม่ได้บ่นซักหน่อย หนูรู้ว่าพี่สนุกกับมัน แต่บางครั้งหนูก็แค่อยากอ่านมังงะประเภทความสัมพันธ์รัก-เกลียดที่น่าตื่นเต้นซักหน่อย”
“เอริกะจัง มาอารมณ์ไหนของเธอเนี่ย…”
ขณะที่เรากำลังคุยกันเรื่องไรสาระ ผมก็กำลังทํางานบนคอมพิวเตอร์ เป็นการทำเอกสารสําหรับการสอนในวันเสาร์หน้า เป็นแบบฝึกหัดพิเศษที่ออกแบบให้เหมาะกับจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคนของผม
วันนี้มานะและคนอื่นๆ ก็ออกไปอีกแล้ว ช่วงหลังๆ มานี้ พอมานะและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เอริกะก็มาที่ห้องฉันคนเดียวบ่อยขึ้น แต่พวกเธอก็ไม่ได้ทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรกันนะ
—เป็นเพราะเธออยากอยู่คนเดียวงั้นเหรอ? ไม่สิ ถ้าเธออยู่ในห้องของผม แล้วผมอยู่ที่นี่มันก็ไม่ใช่การอยู่คนเดียวแล้วล่ะ
งั้น บางที…
บางทีเธออาจจะอยากอยู่คนเดียวกับผม… ผมคิดเรื่องนั้นแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง คิดบ้าอะไรล่ะนั่น? เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นกัน?
ผมดื่มกาแฟจากโต๊ะเรียนและพยายามตั้งสมาธิกับการพิมพ์อีกครั้ง แต่แล้วเอริกะจังก็พูดกับผมอีกครั้งหนึ่ง
“พี่ชาย….มันเป็นไปไปได้จริงๆ เหรอที่หนูจะได้งานน่ะ?
“หืม?”
เมื่อผมมองไปที่เอริกะเธอยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมที่อ่านมังงะอยู่ แล้วเธอก็พูดต่อ
“ไม่ว่าหนูจะไปที่ไหน พวกเขาก็มักจะพูดว่า คุณทํางานที่นี่ไม่ได้ ในทางกลับกัน พอมีคนที่ชักชวนไปทำงานด้วย ‘ ก็มักจะดูน่าสงสัย ‘ หนูก็ไม่อยากทํางานที่นั่นเหมือนกัน”
มือของเธอดูเหมือนจะหยุดพลิกหน้ากระดาษแล้ว
“…เธอบอกว่าเธออยากทํางานพาร์ทไทม์เพื่อที่จะได้ออกจากบ้านใช่มั้ย? เอริกะจัง แล้วเธอต้องการจะทำอะไรหลังจากนั้นงั้นเหรอ?”
พอผมถาม และเอริกะจังก็ถามผมกลับ
“พี่ถามหนูว่าหนูอยากท่าอะไรในอนาคตงั้นเหรอ?
“อา-ใช่อะไรแบบนั้นแหละ”
“ในอนาคต…อืม มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรืออะไรสักเท่าไหร่แต่…”
“?”
“หนูน่ะอยากเป็นคนปกติ… หนูอยากเป็นคนธรรมดาที่สามารถใช้คำสุภาพได้อย่างเหมาะสม หนูอยากใช้ชีวิตที่หนูสามารถทํางานและเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ”
คำว่า ‘ปกติ’ ที่เอริกะจังใช้นั้นดูมีน้ำหนักมาก ความหมายของคำว่า ปกติ แตกต่างกันไปในแต่ละคน แม้อาจดูเหมือนมีความหมายเหมือนกันสำหรับทุกคน แต่บางครั้งความหมายที่แท้จริงก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดการขัดแย้งได้ แต่ฉันก็พอจะเข้าใจได้ว่าเอริกะจังหมายถึงอะไรในคำว่า ‘ ปกติ ‘ นั้น
ไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ที่ไหน กินอะไร หรือใช้ชีวิตอย่างไร ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินและการมีงานทำที่มั่นคง มีชีวิตธรรมดาๆ แต่บางครั้งก็อยากกินอาหารอร่อยและซื้อมังงะที่ชื่นชอบ เอริกะจังอยาก เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบนั้นได้
ผมอยากช่วยเธอ
ความรู้สึกนั้นเดือดดาลขึ้นในตัวฉัน
“..ถ้าเธอพร้อมจะเปลี่ยน…มาร่วมมือกับฉันมั้ยล่ะ”
ผมพูดอย่างสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอ๊ะ แต่หนูมันโง่… มันจะยากสุดๆ เลยนะรู้มั้ยคะ!?”
เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงกว่าที่ผมคาดไว้มาก เอริกะจังรีบวางมังงะลง พยุงตัวลุกขึ้นแล้วคลานเข้ามาใกล้โต๊ะเรียนของผมทันที
การได้เห็นเอริกะจังดูมีแรงบันดาลใจทำให้ผมรู้สึกมีความสุข และผมก็พยักหน้าให้เธอ
“ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยเธอเอง ทุกสิ่งที่เธออยากรู้ ทุกสิ่งที่เธออยากทำได้ ฉันจะสอนเธอทุกอย่างเลย”
เอริกะจังดูตื่นเต้นอย่างรุนแรง
“เอ่อ หนูควรเริ่มจากอะไรดี? มีหลายอย่างเลยที่หนูไม่รู้! หนูอยากเรียนทำอาหารง่ายๆ วิธีดูดฝุ่น และหนูก็ไม่ค่อยรู้วิธีพับผ้าอย่างถูกต้องด้วยเหมือนกัน…”
“ไม่เป็นไรๆ มาทำไปทีละอย่างกันเถอะ”
เอริกะจังเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาของเธอเป็นประกายและเบิกกว้าง แก้มของเธอแดงระเรื่อ
ความสุขของเธอถูกแต่งแต้มขึ้นทั่วใบหน้าของเธอ
“คุณพี่ชาย…ขอบคุณนะคะ”
ระยะหลังมานี้ เอริกะพูดขอบคุณกับผมบ่อยขึ้นมาก และผมคิดว่าผมเริ่มรู้สึกสนุกกับการอยู่ด้วยกันกับเอริกะจังมากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็สอนเอริกะทุกอย่างที่เธออยากรู้
วิธีใช้คำชมเชย วิธีแยกขยะ วิธีการดูพยากรณ์อากาศ วิธีซื้อของอย่างชาญฉลาด และอื่นๆ อีกมากมาย
บางคนอาจคิดว่า คุณสามารถค้นหาสิ่งเหล่านี้ได้บนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้ แต่บางคนพบว่ามันยากที่จะเข้าใจสิ่งที่เขียนบนอินเทอร์เน็ต คนทุกคนไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย หากคุณนั่งถัดจากพวกเขาและค่อยๆ อธิบายสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาฟัง พวกเขาอาจเข้าใจได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจเลยก็ได้
จากวันนั้นก็ประมาณสามสัปดาห์ผ่านไป
“เห-! หนูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าข้าวไม่ได้ล้างด้วยผงซักฟอก!”
วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังฝึกวิธีซาวข้าวในครัว เอริกะจังพูดออกมาแบบนั้น
“มันก็มีผงซักฟอกสาหรับอาหารอยู่นะ แต่เธอสามารถล้างข้าวด้วยน้ำเอาก็ได้”
“แล้วทำไมเราถึงใช้น้ำร้อนไม่ได้ล่ะ? ฤดูหนาวมันจะไม่เย็นเอาเหรอ?”
“ว่ากันว่าการข่าวข้าวด้วยน้ำร้อนจะทำให้รสชาติของข้าวลดลง”
“งั้นคงไม่เป็นไรสินะ ตราบใดที่หนูไม่บ่นเรื่องรสชาติ?”
“ก็แล้วแต่เธอเลย แต่ถ้าจะกินทั้งที เธอไม่อยากกินแล้วอร่อยเหรอ? ฉันอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตว่าถ้าไม่ชอบน้ำเย็นในฤดูหนาว สามารถทำให้น้ำร้อนได้ถึง 20 องศาก่อนค่อยใช้ก็ได้”
“หนูไม่สามารถทราบอุณหภูมิ 20 องศาว่ารึเปล่าจากการสัมผัสได้หรอกนะคะ”
“แล้วทำไมเธอไม่ใช้เทอร์โมมิเตอร์เอาล่ะ”
“มันยุ่งยากค่ะ..”
ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่เอริกะจังก็ดูเหมือนจะสนุกกับตัวเองอยู่
การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นเรื่องสนุก นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้เอริกะจ้งได้ลองสัมผัสมัน
“—จะว่าไปแล้ว เอริกะจัง ช่วงนี้เธอพยายามอย่างเต็มที่ในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ดังนั้นทำไมเธอไม่พักสักหน่อยล่ะ”
“เอ๊ะ? พักเหรอคะ?”
“เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนกับฉันแทนที่จะออกไปเล่นกับมานะและคนอื่นๆ เธออยากออกไปที่ไหนสักแห่งเป็นรางวัลมั้ย”
“รางวัล!? เอ๊ะ!? หนูควรจะไปที่ไหนดีล่ะ”
“ที่ไหนเอริกะจังอยากไปก็ดีทั้งนั้นแหละ วางใจได้เลย เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะจัดให้เอง”
“แล้วหนังล่ะ! และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วย! เราไปร้องคาราโอเกะกันเถอะ!”
“ได้เลย เอาเป็นวันอาทิตย์นี้ละกันนะ โอเคมั้ย?”
“พี่ไม่มีงานสอนเหรอคะ”
“นักเรียนของฉันมีธุระ ฉันก็เลยได้พักน่ะ”
“ดีจังเลยค่ะพี่! แล้วหนูจะตั้งตารอนะคะ!”
เธอยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่ดีที่สุดที่ผมเคยเห็นเลยล่ะ พอเห็นมันก็ทำให้ผมดีใจมากที่ได้ชวนเธอออกไปเที่ยวกัน”
วันอาทิตย์, มันเป็นวันที่อากาศแจ่มใส
ผมกำลังรอเอริกะจังอยู่ใต้นาฬิกาเรือนใหญ่หน้าสถานี
เป็นเวลาสิบสองนาฬิกาตามเวลานัด แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเอริกะจังเลย
—พอพูดถึงเรื่องนี้ ผมไม่เคยเห็นเอริกะจังในชุดไปรเวทของเธอเลย เธอคงไม่มาในชุดนักเรียนของเธอใช่มั้ย…ผมค่อนข้างกังวลเล็กน้อยนะถ้าต้องเดินไปข้างๆ JK ในเครื่องแบบน่ะ
ผมจะทํายังไงถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถามผมว่า ‘ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์แบบไหนกันครับ’ จะน่าเชื่อถือไหมถ้าผมพูดว่า ‘เธอเป็นเพื่อนของน้องสาวของผมครับ’ ไม่สิ เราอายุห่างกันไม่มาก มันคงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แปลกสักเท่าไหร่ล่ะนะ
ขณะที่ผมมัวแต่กังวลอยู่นั้น ผมก็ถูกตบเข้าที่ไหล่ พอผมหันไปดูก็เห็นเอริกะจังที่ผมสีบลอนด์ของเธอถูกรวบเป็นหางม้า
“ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ…”
“อา อื้ม…”
เอริกะจังสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีเข้ม และเสื้อโค้ทสีดำตัวยาว ที่ดูเหมือนเป็นเสื้อกั๊กที่เป็นเสื้อกั๊กยาว ผมจำได้ดีเลยล่ะ เพราะมานะเคยสวมแบบนั้นครั้งหนึ่ง พอผมเรียกมันว่าเสื้อกั๊กยาวเท่านั้นแหละเธอส่งผมบินไปเลย
มันเป็นชุดที่เรียบง่ายและดูสดใส เพราะเธอมีใบหน้าที่สวยงามและมีสไตล์ที่ยอดเยี่ยม เธอจึงดูเปล่งประกายและงดงาม….
“เป็นอะไรของพี่กันคะ… อย่าเอาแต่จ้องหนูแบบนั้นสิ”
ขณะที่ผมกำลังสังเกตเอริกะจังโดยไม่รู้ตัว แก้มของเธอก็แดงขึ้นและเธอก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผม
“อา ขอโทษที … ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยมั้ย”
“ค่า”
ผมเริ่มเดินเคียงข้างเอริกะจัง
เราห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร และผมก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่ามันใกล้หรือไกล แต่มันทําให้ผมรู้สึกเสียวซ่านไปหมด
ก่อนอื่นเราไปที่โรงภาพยนตร์เพื่อชมภาพยนตร์แอคชั่นเกี่ยวกับแยงกี้ JK ต่อสู้กับซอมบี้
ฉากการต่อสู้ที่ค่อนข้างดุเดือดเลือดสาดเลยทีเดียว ดังนั้นผมจึงดีใจที่ได้ทานอาหารกลางวันก่อนมา เอริกะจังยิ้มตลอดเวลาด้วยเหตุผลบางอย่าง
“มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมถามเอริกะจังหลังจากดูหนังจบ
“ใช่ค่ะ! ซอมบี้มันดูตลกมากเลย!”
เห็นได้ชัดว่าเธอพบว่าภาพของซอมบี้เป็นเรื่องมันดูตลก เอิ่ม…ผมเดาว่าทุกคนคงมีอารมณ์ขันในแบบของตัวเองล่ะนะ
หลังจากดูหนังเสร็จ เราก็ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อยู่ใกล้ๆ
ขณะที่เราเดินไปพร้อมกับมองดูปลา เท้าของเอริกะจังหยุดที่มุมเพนกวินกลางแจ้ง… และเธอก็ไม่ขยับไปจากที่นั่นอีกเลย
30 นาทีต่อมา
“อืม…เอริกะจัง เราควรย้ายไปยังพื้นที่อื่นบ้างนะ?”
“อีกเดี๋ยวเดียวนะคะ…”
เธอพูดแบบนั้น แต่อีกเดี๋ยวเดียวของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเลย
“เอริกะจัง เธอชอบเพนกวินขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“หนูไม่เคยเห็นเพนกวินตัวเป็นๆ มาก่อนเลย พวกมันน่ารักมากเลย… หนูจะฝังมันไว้ในความทรงจำของหนู เพื่อจะได้ไม่มีวันลืม หนูขออีกเดี๋ยวเดียวนะคะ”
เอริกะจังที่หัวเราะเยาะหนังซอมบี้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังจ้องมองเพนกวินด้วยสีหน้าจริงจัง
แววตาของเธอดูจริงจังมาก จริงจังซะจนการจ้องมองของเธอดูเหมือนใบมีดที่คมกริบเลยทีเดียว
ด้วยประกายคมในดวงตาของเธอ บางคนอาจตัวสั่นและวิ่งหนีไปได้เลย อย่างไรก็ตาม เพนกวินกำลังดูแลตัวเองอยู่บนโขดหิน ราวกับว่าพวกมันไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่
ดูเหมือนเธอจะชอบมันมากจนลืมเวลาไปเลย
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเอริกะจังหมกมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง ดูเหมือนเธอจะชอบมันมากจนฉันแนะนำให้เธอ
“ถ้าอย่างนั้น…ทำไมเราไม่ซื้อตุ๊กตาเพนกวินจากร้านขายของที่ระลึกกันล่ะ”
“เอ๊ะ!? อา แต่หนูไม่มีเงิน ดังนั้น…หนูแค่ดูพวกเขาก็พอแล้วค่ะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะซื้อให้เธอเอง”
“ไมค่ะ พี่จ่ายค่าทุกอย่างตั้งแต่ภาพยนตร์ไปจนถึงอควาเรียมแล้ว หนูพึ่งพาพี่มากขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ไม่เป็นไร, ตุ๊กตาสัตว์ไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้น นอกจากนี้…ฉันเป็นคนคิดจะซื้อมัน ดังนั้นให้ฉันจัดการเอง ถ้าเธอปฏิเสธ ฉันคงจะรู้สึกเศร้านิดหน่อย”
ขณะที่เธอจ้องมองนกเพนกวิน เอริกะก็มีสีหน้าลำบากใจ
ความรักที่เธอมีต่อนกเพนกวินนั้นต้องเยอะมากแน่ๆ เอริกะจังมองมาที่ผมและยิ้มให้
“ถ้าพูดอย่างงั้น หนูจะให้พี่ซื้อเพนกวินตัวที่แพงที่สุดในร้านขายของที่ระลึกให้ซะเลย”
พอเอริกะจังพูดแบบนั้นมา มันก็ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย
“ดีล่ะ ไปที่ร้านขายของที่ระลึกและซื้อเพนกวินตัวโปรดของเอริกะจังกันเถอะ!”
“ไปกันเถอะ! ไปที่ร้านขายของที่ระลึกกัน!”
ด้วยความประหลาดใจกับเสียงที่ร่าเริงของเอริกะ คู่รักที่อยู่ใกล้ ๆ มองมาที่เรา
ถ้าเป็นปกติผมคงจะเตือนเธอว่าอย่าตะโกนในที่สาธารณะ แต่วันนี้เป็นวันพักผ่อน ปล่อยไปซักวันแล้วกัน
บางทีผมอาจจะมีความสุขมากที่ได้เห็นเอริกะจังแบบนั้น
เวลาแห่งความสนุกผ่านไปในพริบตาและตอนนี้เป็นเวลาจะ 2 ทุ่มแล้ว ผมหาอาหารว่างแทนอาหารเย็นที่บาร์คาราโอเกะและร้องเพลงกันเป็นเวลาสามชั่วโมง…ผมเริ่มเหนื่อยแล้วเพราะมันแตกต่างจากชีวิตปกติของฉันมากในการเรียนมหาวิทยาลัยและทํางานพาร์ทไทม์
“เราควรกลับบ้านกันเลยมั้ย”
“เอ๋-!? หนูอยากเล่นมากกว่านี้อีกอ่ะ “
ตรงข้ามจากผมที่รู้สึกเหนื่อย เอริกะจังยังคงเต็มไปด้วยพลังงาน เธอกอดตุ๊กตาเพนกวินขนาดยาว 30 เซนติเมตรด้วยแขนข้างเดียว และเล่นไมโครโฟนที่อยู่บนโต๊ะด้วยมือข้างที่ว่าง
“แต่วันนี้หนูสนุกมาก และในเมื่อพี่ซื้อนกเพนกวินให้หนู หนูจะปล่อยพี่ไปก่อนละกัน ขอบคุณนะคะ พี่”
พอพูดจบ เอริกะจังก็เอามือออกจากไมโครโฟน
เธอดูลังเลมาก
ผมคิดว่ามันดูน่ารักนิดหน่อยนะแบบนั้นน่ะ
“เอริกะจัง… ถ้าเธอตั้งใจเรียนกับฉันให้ดีที่สุด เธออยากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอีกครั้งเป็นรางวัลมั้ย? ฉันมั้นใจว่าเธออยากดูนกเพนกวินอีกครั้งแน่ๆ”
“จริงเหรอคะ? หนูจะไป! หนูจะไปแน่นอนค่ะ!”
“งั้นเรามาสัญญากัน นอกจากนี้ เดี๋ยวจะมีงานเทศกาลของมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ดังนั้นเธอควรเชิญมานะและคน อื่นๆ มาร่วมงานกันได้นะ”
“นี่ นี่ พี่แน่ใจแล้วใช่มั้ยคะว่าโอเคที่จะให้แยงกี้ JK สี่คนไปน่ะ?”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปดูรอบๆ เอง”
“งั้นเหรอคะ… หนูชักจะตื่นเต้นนิดหน่อยแล้วสิ! เป็นเวลานานแล้วที่หนูได้รู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับอนาคตน่ะ!”
“เมื่อเธอโตขึ้นและดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง เธอจะสนุกมากขึ้นได้อีก ตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอต้องอดทนและพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา แม้ว่ามันจะยากเย็น แต่แน่นอนว่ายังมีเรื่องสนุกรอเธออยู่ในอนาคต … ด้งนั้นมาพยายามทำให้ดีที่สุดด้วยกันเถอะ”
เมื่อผมยิ้มให้เธอ เอริกะจังก็หลบสายตาไปที่เพนกวินอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ หนูจะตั้งตารอ… หนูจะทำให้ดีที่สุด…”
เอริกะลูบไล้ตุ๊กตาเพนกวินอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเธอดูมีเสน่ห์ผิดปกติ… และชั่วขณะหนึ่ง ผมก็รู้สึกหลงใหลในใบหน้านั้นของเธอ
ฝากเพจผู้แปลด้วย Lemon FT