เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา – ตอนที่ 11

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

บทที่ 11

 

กลางเดือนกรกฎาคม

 

ช่วงบ่ายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ S

 

โรงอาหารของนักศึกษาแน่นขนัดไปด้วยนักศึกษาที่หิวโหย ซึ่งกำลังมองหาอาหารกลางวันทานกัน ผมกำลังกินข้าวหน้าเนื้อ(กิวด้ง)เพื่อสนองความอยากอาหารของผมอยู่

 

ที่โต๊ะเดียวกันคือโฮชิโนะและโทคุนากะซึ่งอยู่คณะครุศาสตร์เหมือนกันกับผม และพวกเขาก็กินข้าวหน้าเนื้อด้วยเหมือนกัน

 

“ฉันถูกแฟนทิ้งซะแล้วล่ะ”

 

จู่ๆ โฮชิโนะก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ฉันอุตสาห์เพิ่มค่าความชอบจนได้คบกับสาว JK ที่แสนน่ารักแล้วเชียว แต่เธอกลับโกรธที่ฉันมองตามเพื่อนของเธอจนขอเลิกกับฉันซะงั้น”

 

“นายกำลังเดทกับมนุษย์อยู่นะเฟ้ย อย่าพูดถึงค่าความชอบเหมือนมันเป็นเกมสิ แล้วก็นะ ถ้านายแอบมองผู้หญิงคนอื่นอย่างตั้งใจซะขนาดนั้น มันก็ไม่แปลกหรอกที่นายจะโดนบอกเลิกน่ะ”

 

ผมสวนกลับโฮชิโนะที่ทำหน้าเหมือนกำลังถามว่าเขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า ทำไมโฮชิโนะถึงโง่แบบนี้ ทั้งๆ ที่หน้าตาดีและเรียนเก่งแท้ๆ

 

จากนั้นโฮชิโนะก็จัดตำแหน่งแว่นตาอย่างรวดเร็วด้วยนิ้วชี้

 

“ให้ตายเถอะ… ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ ฉันน่าจะทำให้มันเป็นความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวซะก็ดี….”

 

“นายควรไปลองยืนใต้น้ำตกและล้างตัณหาออกจากตัวนายบ้างนะ”

 

ผมคาดไม่ถึงว่าหมอนี่พูดเรื่องไร้สาระออกมาด้วยใบหน้าเย็นชาแบบนั้น

 

ผมรู้สึกสงสารโฮชิโนะที่ไม่สามารถเป็นคนปกติได้ แม้ว่าเขาต้องเป็นที่นิยมแน่ถ้าเขาเป็นปกติ

 

“ฉันควรเลิกหาแฟนแล้วใช้ชีวิตเหี่ยวเฉาแบบคามิโจดีมั้ยนะ…

 

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น โฮชิโนะก็วางแก้มลงบนมือของเขาและเริ่มกินข้าวหน้าเนื้อของเขาต่อ

 

“นายไม่ควรวางแก้มไว้บนมือขณะรับประทานอาหารนะ แล้วอีกอย่างฉันไม่ได้มีชีวิตที่เหี่ยวเฉาซักหน่อย ฉันแค่ไม่ได้สนใจ.. อย่างน้อยเคยเป็นอย่างนั้น”

 

ในขณะที่ตักเตือนโฮชิโนะสำหรับความหยาบคายของเขา ผมลงเอยด้วยการเผลอพูดเกี่ยวกับเอริกะจังขึ้นมา

 

โทคุนากะที่หมกมุ่นอยู่กับข้าวหน้าเนื้อของเขา ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซับซ้อนของผม เขาจึงเอ่ยถามผมขึ้นมา

 

“เอ๋ นี่มันหมายความว่าไงน่ะ? ฟังดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น นี่นายตกหลุมรักสาวที่ไหนไปแล้วงั้นเหรอ”

 

“… ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนตกหลุมรัก….”

 

“ว่าไงนะ!?คามิโจกันเนี่ยนะมีสาวมาตกหลุมรัก!?”

 

เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของผม โฮชิโนะตะโกนเสียงดังขึ้นมา ผมล่ะอยากให้เขาหยุดท่าทีโอเวอร์แบบนี้จริงๆ มันเสียมารยาทกับผมนะเฟ้ย แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมอยากให้เขาหยุดส่งเสียงดังในโรงอาหารได้แล้ว เพราะผู้หญิงโต๊ะใกล้ๆ หันมามองโต๊ะเรากันหมดแล้ว

 

“ว่าแต่ ใครงั้นเหรอ?”

 

โทคุนากะชะโงกหน้าถาม

 

พอผมตอบไปว่า “เพื่อนของน้องสาวฉัน” โฮชิโนะก็ตะโกนอีกครั้งว่า “สาว JK!?”

 

“โฮชิโนะ ฉันขอล่ะ หุบปากแล้วกินข้าวหน้าเนื้อของนายไปซะ”

 

ผมคีบเนื้อชิ้นหนึ่งจากชามของโฮชิโนะด้วยตะเกียบแล้วยัดเข้าปากเขา โฮชิโนะกินมันอย่างเงียบๆ

 

“อืม~? แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? นายจะคบกับเธอมั้ย”

 

โทคุนางะพูดกับผมพร้อมกับแสยะยิ้ม

 

“เอาจริงๆ เลยนะ ฉันคิดกับเธอแค่น้องสาว ดังนั้นฉันจึงปฏิเสธเธอไปแล้ว และตอนนี้เธอตื้อฉันหนักมากเลย….

 

ผมไม่ต้องการให้เขามีปฏิกิริยามากเกินไป ผมจึงละเว้นส่วนที่จู่ๆ เธอก็ขอผมแต่งงาน

 

“เอ๊ะ? หนักที่ว่านี่แบบไหนกัน?”

 

ราวกับว่าเขาสงสัยมากเกี่ยวกับวลีที่ว่า ‘หนักมาก’ โทคุนากะก็โน้มตัวมาข้างหน้า

 

“… เธอเขียนจดหมายรักให้ฉัน…. มาเยอะมากเลยล่ะ”

 

ผมตัดสินใจที่จะบอกพวกเขาเกี่ยวกับวันหลังจากที่เธอขอผมแต่งงาน

 

เอริกะจังนำจดหมายรักจำนวนมากมากับเธอในวันนั้น บางทีกระดาษเขียนน่ารักๆ ของเธออาจหมด เพราะข้อความบอกรักพวกนั้นถูกเขียนไว้ที่ด้านหลังของกระดาษพิมพ์ของโรงเรียนและแม้กระทั่งที่ด้านหลังของใบปลิวโฆษณา ผมรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเอริกะจังมีความรู้สึกเร่าร้อนต่อผมมากขนาดนี้ แต่ว่า….

 

“…พอฉันอ่านพวกมันปุ๊บ ฉันถึงกับผงะ มันเต็มไปด้วยการสะกดผิดและตัวอักษรที่เขียนลวกๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนเขียนตัวอักษร 変(แปลก) แทน 恋(รัก(koi)) ใน ‘ฉันตกหลุมรัก’ และตัวอักษร 愛(รัก(ai)) ใน ‘ฉันรักคุณ’ มันก็ดูยุ่งเหยิงจนแทบดูไม่ออกอีก”

 

ขณะที่ผมกำลังอธิบายลักษณะจดหมายรักที่ได้รับจากเอริกะจัง โทคุนากะก็ขมวดคิ้ว

 

“นี่นาย อย่าบอกนะว่า… นายชี้จุดผิดพวกนั้นต่อหน้าเธอคนนั้นเลยอย่างงั้นเหรอ?”

 

“ใช่ ฉันทำอย่างนั้น ฉันตรวจมันด้วยปากกาสีแดงน่ะ”

 

“ไองี่เง่า! นายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับหัวใจของผู้หญิงเลยจริงๆ! นี่คือเหตุผลที่พวกไก่อ่อนถึงไม่เป็นที่นิยม!”

 

คราวนี้เป็นโทคุนากะที่ตะโกน มันค่อนข้างเจ็บเลยนะที่จะถูกตะโกนว่าเป็นไก่อ่อนในโรงอาหารมหาลัยเนี่ย

 

“มันช่วยไม่ได้นี่นา! ความฝันของฉันคือการเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่น! ฉันรักภาษาญี่ปุ่นที่งดงาม! ฉันเพิกเฉยไม่ได้หรอกถ้ามันเขียนผิดแบบนั้น!”

 

ขณะที่ผมอธิบายการกระทำของผม โฮชิโนะซึ่งเคี้ยวเนื้อเสร็จแล้ว ก็เข้าร่วมการสนทนา

 

“แล้วปฏิกิริยาของน้อง JK คนนั้นเป็นยังไงอ่ะ?”

 

“อ่า เธอก็ฝึกเขียนคันจิและเรียนรู้วิธีเขียนอย่างถูกต้องอย่างมีความสุขล่ะมั้ง?”

 

พอผมสอนวิธีเขียนให้เธออย่างละเอียด เอริกะจังก็ฝึกฝนอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเธอก็ยื่นกระดาษที่มีข้อความว่า ‘ฉันรักคุณ’ ที่เขียนไว้อย่างเรียบร้อยบนกระดาษให้ผม และพูดว่า ‘นี่คือของจริงค่ะ’

 

“นี่มันสาว JK ใสซื่อที่แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว…. ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะทำให้เธอมีความสุขแทนที่จะให้เธอทําอะไรน่าสมเพชแบบนั้น….”

 

โฮชิโนะเอามือจับหน้าผากขณะที่เขาฟังผม

 

โทคุนางะพยักหน้าเห็นด้วยกับโฮชิโนะ

 

“แล้วนอกเหนือไปจากการสอนภาษาญี่ปุ่น นายตอบกลับจดหมายรักของเธอหรือเปล่า”

 

โทคุนางะถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“… ฉันรับมันมาแล้วก็พูดว่า ‘ขอบคุณนะ’ มั้งนะ”

 

พอผมตอบแบบนั้น ดวงตาของโฮชิโนะก็เบิกกว้าง

 

“ทำไมมั้งนะล่ะฟะ นี่กะจะสอนแค่แก้จดหมายรักเฉยๆ รึไง!? ตอบเธอให้มันดีๆ หน่อยเซ่!”

 

“ก็ฉันเคยบอกเธอไปแล้วว่าฉันคบกับเธอไม่ได้เพราะฉันคิดกับเธอเหมือนน้องสาว แล้วจะให้ฉันตอบยังไงกับคนที่เขียนจดหมายรักถึงฉัน ทั้งๆ ที่ฉันปฏิเสธไปแล้วน่ะ”

 

เอริกะจังไร้เดียงสามากจนเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าผมไม่แนะนำเธอ มันมีแต่ความรู้สึกของพี่ชายที่อยากทำอะไรให้เธอเท่านั้นเอง

 

ตอนที่ผมนึกภาพที่คบกับเอริกะจัง กอดเธอ และจูบเธอ… ผมรู้สึกผิดอ่ะ

 

เขาต้องสังเกตเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของผมแน่ๆ โทคุนากะมองมาที่ผมและยิ้มอย่างใจเย็น

 

“คามิโจเป็นคนจริงจังเกินไปนี่นะ ที่นายกังวลเพราะเธอเป็น JK ใช่มั้ย ถ้าเป็นแบบนั้น นายก็แค่ขอให้เธอรอจนกว่าเธอจะเรียนจบม.ปลายก่อนสิ พอถึงตอนนั้น คามิโจอาจจะเริ่มมองเธอเป็นเพศตรงข้ามขึ้นมาบ้างก็ได้”

 

ก็จริงที่ว่าสิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือความจริงที่ว่าเอริกะจังยังอยู่มัธยมปลายอยู่เลย มันจะดีมั้ยนะ ถ้าผมจะบอกเธอให้ชัดเจนว่ามันเป็นไปไม่ได้จนกว่าเธอจะเรียนจบก่อน?

 

สมกับเป็นโทคุนากะผู้มีประสบการณ์ความรักในระดับสูง ต้องขอบคุณหมอนี่ ผมมีวิธีอธิบายให้เอริกะจังฟังแล้ว

 

ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตาม โฮชิโนะกลับขมวดคิ้ว

 

“มันแปลกที่นายไม่อยากให้เธอเป็น JK…”

 

“เพลาๆ บ้างนะ นายน่ะ”

 

หลังจากโต้กลับความคิดเห็นที่น่าสงสัยของโฮชิโนะ ผมก็เริ่มกินข้าวหน้าเนื้อที่เหลือต่อ

 

เย็นวันนี้

 

พอผมกลับถึงบ้านและไปที่ห้องของผม ผมพบว่าเอริกะจังนอนอยู่บนเตียงของผมด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเอาฟูกนอนคลุมตัวและรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่เลย

 

“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ~ คุณพี่ชาย”

 

เอริกะจังดูมีความสุขเหมือนเคย ผมรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่เห็นเธอเป็นแบบนั้น

 

ผมกังวลเกี่ยวกับเอริกะจังหลังจากที่โฮชิโนะและคนอื่นๆ ตำหนิการจัดการจดหมายรักของเธอในวันนี้ ผมสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเอริกะจังเสียใจจริงๆ … แต่ดูเหมือนว่าความกังวลนั้นไม่จำเป็นแล้ว

 

ผมเกาหัวและพูดกับเอริกะ

 

“ฉันกลับมาแล้ว อืม…เอริกะจัง นั่นมันที่นอนของฉันนะ….”

 

“ถ้าพี่อยากใช้ ทำไมไม่ใช้ด้วยกันกัยหนูล่ะคะ ตรงนี้ค่ะ…”

 

พอพูดอย่างนั้นเธอก็ม้วนฟูกขึ้น เอริกะจังกวักมือเรียกผมไปนอนบนเตียง เสื้อของเธอถูกปลดกระดุมมากกว่าปกติ ร่องอกและเสื้อชั้นในสีม่วงอ่อนของเธอมองเห็นได้เล็กน้อย

 

ยัยนี่จงใจทำมันอย่างแน่นอน….

 

สมองสั่งการทันทีว่า “อย่ามองนะ! ตั้งสติไว้!”

 

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ? พี่หน้าแดงไปหมดแล้วนะคะ ถ้าพี่ไม่สบายก็มานอนพักกับหนูนี่มา”

 

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะ แต่ฉันต้องเขียนรายงานส่งมหาวิทยาลัย ฉันเลยไม่มีเวลามานอน”

 

“เอ๊ะ~? แบบนั้นไม่ฝืนร่างกายมากเกินไปหน่อยเหรอคะ~?”

 

“ไม่ต้องกังวลหรอกหน่า”

 

ถ้าขืนผมยังฟังเธอต่อ ผมต้องลงเอยด้วยการทำตามที่เธอต้องการแน่ๆ

 

ผมจึงไปที่โต๊ะทำงานและเริ่มเตรียมรายงาน ขณะที่ผมกำลังจะเปิดคอมพิวเตอร์ ผมเห็นร่างของเอริกะจังที่คืบคลานมาข้างหลังผม สะท้อนบนหน้าจอสีดำ

 

ตัวของเอริกะจังแนบกับหลังของผมและมองไปที่คอมพิวเตอร์ มีบางอย่างอุ่นๆ นุ่มๆ กดทับที่หลังของผม มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่รู้สึกพวกมัน

 

 

“พี่จะเขียนรายงานนั้นในคอมพิวเตอร์นี่เหรอคะ”

 

“ใช่”

 

“น่าทึ่งมาก…พี่ดูเท่เหมือนผู้ใหญ่เลย”

 

ถ้ามีคนมาบอกว่าผมเท่ข้างๆ หู เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้น มันเป็นแค่ปฏิกิริยาทางสรีรวิทยา มันไม่เกี่ยวกับความต้องการของผมเลยจริงๆ นะ

 

“พี่คะ หูของพี่แดงไปหมดแล้วนะ จะดีกว่ามั้ยถ้านอนพักกับหนูบนเตียงน่ะ”

 

“ถ้าเธอห่วงเรื่องหูฉันแดง เธอก็ช่วยหยุดกระซิบที่ข้างหูฉันทีได้มั้ย นอกจากนี้ ฉันจะขอบคุณอย่างมากถ้าเธอย้ายตัวเองออกจากตัวฉันน่ะ….“

 

ผมเผลอพูดออกไปด้วยความสุภาพ

 

“หนูไม่อยากอ่ะ มันรู้สึกดีและอบอุ่นที่ได้กอดคุณพี่ชายแบบนี้ หนูไม่อยากออกไปค่ะ…”

 

คราวนี้เอริกะจังเอาแขนมาโอบผมจากด้านหลังแล้วกอดผมแน่น

 

ความใกล้ชิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก

 

“อืม เอริกะจัง ฉันขยับแขนไม่ได้”

 

“หนูจะปล่อยพี่ไปถ้าพี่แต่งงานกับหนู”

 

“เอริกะ จนกว่าเธอจะเรียนจบม.ปลาย ฉันจะไม่มีทางคบกับเธอเด็ดขาด”

 

“ทำไมล่ะคะ? ทำไมถึงคบกันตอนที่หนูอยู่ม.ปลายไม่ได้ล่ะคะ?”

 

เอริกะจังทำหน้ามุ่ย

 

“นั่นเพราะว่า… เธอยังเป็นเด็กม.ปลายอยู่ มันทำอะไรหลายๆ อย่างยังไม่ได้…”

 

“พี่หมายถึงอะไรคะ ‘หลายๆ อย่าง’ นั่นน่ะ~?”

 

“กะ ก็อย่างเช่น… จูบไง…”

 

ในขณะนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆ มาสัมผัสที่แก้มของผม

 

ผมประหลาดใจจนพูดไม่ออก

 

“อยู่ม.ปลายก็จูบได้ค่ะ~”

 

ริมฝีปากที่สัมผัสแก้มของผมกำลังยิ้มอย่างมีความสุข

 

พอเห็นแบบนี้

 

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เอริกะจังเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ผมจ้องไปที่เอริกะจังอย่างเงียบๆ แล้วก็เข้าไปใกล้เธอ เอริกะตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของผม เธอถอยหลังหนีจนไปติดอยู่กับกำแพง

 

ผมขังเอริกะไว้ระหว่างตัวผมกับกำแพงและเอาหน้าเข้าไปใกล้เธอ

 

“อย่ามาแกล้งผู้ใหญ่มากนักนะ เธออาจคิดว่าฉันไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะฉันไม่มีประสบการณ์ในเรื่องความรัก แต่ผู้ชายน่ะอันตรายกว่าที่เธอคิด”

 

พอผมพูดด้วยเสียงที่เบากว่าปกติ ใบหน้าของเอริกะจังก็เปลี่ยนเป็นสีแดง คอและผิวหนังของเธอที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อกลายเป็นสีแดงเข้มสวยงาม เพราะสีผิวปกติของเธอนั้นขาวมาก ผมจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

 

ใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาที่เปียกชื้นของเอริกะจังเป็นภาพที่น่าจับตามอง แต่นี่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ผมไม่ได้พยายามที่จะจริงจังเลยซักนิด

 

ผมขยับออกห่างจากเธอทันทีและตบหัวเธอเบาๆ

 

“เธอเป็นเหมือนน้องสาวของฉัน ฉันอยู่กับเธอได้มากเท่าที่เธอต้องการเลย เพราะงั้นยอมแพ้ซะเถอะนะ”

 

พอผมพูดเสร็จ และเอริกะก็เม้มปากด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าของเธอยังคงแดงและดวงตาของเธอยังคงชื้นอยู่

 

ผมอาจจะทำเกินไปหน่อยแฮะ

 

ขณะที่ผมกำลังคิดว่าผมทำให้เธอกลัวมากเกินไป เอริกะจังก็คว้าคอเสื้อของผมไว้ในทันใด

 

เอริกะจังดึงผมเข้าไปใกล้ และริมฝีปากของเธอก็ประกบกับผม

 

“พี่บ้า ไม่มีทางที่หนูจะตัดใจหลังจากที่พี่มาทำแบบนี้ได้หรอก … ไฟหนูติดขึ้นมาแล้วค่ะ”

 

ดวงตาของเธอเป็นประกายอย่างรุนแรง

 

ไม่ดีแน่ นี่ไม่ใช่ดวงตาของคนที่ยอมแพ้

 

เอริกะจังรีบปล่อยมือจากผมแล้วออกจากห้องไป

 

“แล้วเจอกันนะคะ~”

 

เอริกะจังพูดตามปกติขณะที่เธอออกจากห้องไป เนื่องจากเธอไม่หันกลับมามองทางผม ผมจึงดูไม่ออกว่าเธอมีสีหน้ายังไง

 

“ฉันแพ้อย่างราบคาบเลย…”

 

ผมพึมพำในห้องที่ผมถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง

 

ผมพยายามบังคับให้เธอยอมแพ้ แต่ดูเหมือนว่าผมจะเผลอไปจุดไฟในตัวเธอแทน

 

แม้ว่าตอนนี้จะช้าไปซักหน่อย แต่พอผมนึกถึงความรู้สึกของริมฝีปากของเอริกะจ้ง ใบหน้าของผมก็ร้อนขึ้นมา

 

“เธอเป็นเหมือนน้องสาวของฉันนะ… อย่ามาทำให้หัวใจฉันเต้นแรงแบบนี้สิ…”

 

ตอนนี้ผมรู้สึกกับเอริกะจังมากขึ้นเล็กน้อย และมันทำให้รู้สึกค่อนข้างหงุดหงิดเลยทีเดียว

 

เพจผู้แปล Lemon FT 

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

Status: Ongoing
วันหนึ่ง คามิโจ สึคาสะ นักศึกษาผู้ขยันขันแข็งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยังไม่มีแฟนไปจนกว่าจะถึงวัยทำงาน ได้ถูก ฮาตะ เอริกะ เพื่อนแยงกี้ม.ปลายของน้องสาวของเขาขอแต่งงานแบบงงๆ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท