ฝึกโดดเดี่ยวในดันเจี้ยนไป 100,000ปีออกมาอีกทีกลายเป็นตัวบัค – ตอนที่ 3 สถานการณ์ของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองคน

ฝึกโดดเดี่ยวในดันเจี้ยนไป 100,000ปีออกมาอีกทีกลายเป็นตัวบัค

บทที่ 1 ตอนที่ 3: สถานการณ์ของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองคน

 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง การเดินทางจากเมืองลามูร์ไปยังเมืองหลวงจะใช้เวลาอย่างน้อยสามสัปดาห์ เรากำลังหยุดพักในขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้ฉันเข้าแถวเพื่อรับอาหารเย็นที่ปันส่วนแล้ว

 

“นี่…มีแค่นี้เองเหรอ”

 

ฉันถามเมื่อเห็นว่าส่วนที่ฉันได้รับจากชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนทำอาหารนั้นเป็นเพียงขนมปังสีดำแข็งๆ ชิ้นหนึ่ง ฉันอาจจะอยู่ในรถม้าคันเดียวกับโรสและคนอื่นๆ แต่ฉันได้ยินมาจากปู่ของฉันว่าเขาได้จ่ายค่าเดินทางล่วงหน้าให้กับพ่อค้าแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องเงียบเมื่อได้รับการปฏิบัติแบบนี้

 

“นี่คือคำสั่งจากลอร์ดแฟรกตัน รับแล้วจะไปไหนก็ไป! แกกำลังขวางคนอื่นเค้า!”

 

ชายวัยกลางคนคล้ายคนทำอาหารโบกมือขับไล่ฉันราวกับว่าฉันไม่คุ้มค่ากับเวลาของเขา

 

แฟรกตันเป็นชายมีหนวดมีเคราที่ดูเย่อหยิ่ง ที่โรสเคยแนะนำก่อนที่เราจะออกจากลามูรฺ เขาเกลียดฉันและทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับฉันในการเดินทางครั้งนี้ ฉันคิดว่าความเกลียดชังของเขาที่มีต่อฉันมันดูเด็กน้อยมาก

 

อย่างไรก็ตาม พนักงานส่วนใหญ่ของโรสก็ปฏิบัติต่อฉันเกือบจะเหมือนกันกับเขาเช่นกัน ดังนั้นฉันจึงเลิกพยายามต่อต้านพวกเขา

 

เมื่อฉันกลับมาที่เต็นท์ มีคนเตะฉันที่หลัง แล้วฉันก็ล้มลงไปข้างหน้า

 

“ไอ้เจ้าไร้ความสามารถ! กล้าดียังไงมาโดนตัวฉัน!”

 

นักดาบแก่ๆ มีหนวดมีเคราเตะท้องฉันพร้อมเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก

 

“อึก!”

 

ฉันหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ในช่วงเวลาต่อมา ความเจ็บปวดก็จู่โจมร่างกายของฉัน

 

“แกกำลังพยายามทำให้ฉันติดเชื้อจากความสกปรกของแกงั้นเหรอ!?”

 

ฉันได้แต่ขดตัวเมื่อชายคนนั้นกำลังจะเตะฉันอีกครั้ง

 

ถ้าไม่อยากติดเชื้อก็อย่ามายุ่งกับฉันสิฟะ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะคิดไม่ได้แม้แต่เรื่องที่เด็กยังคิดออกกันเลย

 

แม้แต่คนรับใช้ที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่พยายามหยุดความรุนแรงที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่งนี้ ฉันคิดว่าพวกเขาเน่าเฟะจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว

 

ใครจะไปรู้ว่าเขาเตะฉันไปกี่ทีแล้ว

 

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

 

ในที่สุดฝนลูกเตะก็หยุดลงเมื่อหญิงสาวผู้โกรธเกรี้ยวตะโกนใส่นักดาบ

 

เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นฉันเห็นใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของผู้หญิงผมแดง เธอวางมือบนไหล่ของนักดาบร่างท้วมสูงวัย

 

“เห้ย! อันนา นี่เธอกำลังพยายามปกป้องไอ้คนนอกรีตที่ต่ำต้อยยิ่งกว่าขยะนี่งั้นเหรอ!?”

 

นักดาบชราตะโกนใส่หญิงสาวผมแดงขณะที่เส้นเลือดปูดบนหน้าผาก

 

“ฉันไม่ได้ปกป้องเขา ฉันแค่ทำงานของฉันเพราะเขาเป็นแขกของท่านโรส! ”

 

ผู้หญิงผมแดงที่ไม่ยอมถอยคือหนึ่งในผู้ติดตามของโรส, อันนา ขณะที่ทั้งสองจ้องตากัน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

“ใครมาก่อความวุ่นวายที่นี่กัน!?”

 

ชายผมสีฟ้าที่ไม่ได้โกนเคราเดินเข้ามาหาพวกเรา เมื่อนักดาบสูงอายุและอวบอ้วนเห็นสิ่งนี้ เขาก็แลบลิ้น เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นต่อหน้าฉันและเดินไปหาแม่ครัวเพื่อรับอาหารเย็น

 

“ข-ขอบคุณนะ”

 

ฉันก้มหัวขอบคุณอันนาสำหรับความช่วยเหลือของเธอ

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของท่านโรส ฉันไม่มีทางมาช่วยนายหรอก! ตอนนี้กลับไปที่เต็นท์ของนายได้แล้ว!”

 

เธอจากไปทันทีที่เธอพูดเสร็จ

 

ชายผมสีฟ้าที่มีเคราที่ไม่ได้โกนและมีดาบเล่มใหญ่อยู่บนหลังของเขา เขาเดินผ่านด้านข้างของแอนนาขณะที่เธอจากไปและมาถึงตรงหน้าฉัน จากนั้น หลังจากจ้องมองมาที่ฉันสักพัก เขาก็มองไปยังบริวารคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เราเหมือนนกเหยี่ยวที่มองดูเหยื่อของพวกมัน

 

“ฉันจะให้พวกนายอธิบายเรื่องนี้ในภายหลัง”

 

เขาพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจนถึงสันหลังของฉัน ผู้ดูแลที่สวมชุดเกราะสีขาวจากไปพร้อมความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนีจากนักดาบผมสีฟ้าคนนี้

 

นักดาบผมสีฟ้าคนนี้มีคือ คุณอัล เขาเป็นผู้จัดการคนรับใช้ของโรส เขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนมนุษย์ทั่วไป

 

“ดูเหมือนว่าคนของเราจะสร้างปัญหาให้นายอีกแล้ว ไคคุง ฉันขอโทษจริงๆ สำหรับเรื่องนี้ด้วยนะ”

 

คุณอัลโค้งขอโทษฉัน

 

“ไม่ มันไม่เป็นไรหรอก ฉันชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว”

 

แม้แต่ในลามูร์ ก็เป็นเรื่องปกติที่เจ้าของพรขยะอย่างฉันจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้

 

การปฏิบัติเช่นนี้เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ อเมเลีย ซึ่งเป็นที่ที่ศรัทธาของผู้คนที่มีต่อเทพเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์อาเรสนั้นแข็งแกร่ง แม้ว่าความศรัทธานี้จะไม่สุดโต่งในบ้านเกิดของฉันที่ลามูร์ แต่พรที่เทพอาเรสมอบให้ถือเป็นสิ่งที่กำหนดคุณค่าของผู้คนอยู่ดี กล่าวโดยย่อ เมื่อฉันได้รับพร [ผู้ไร้ความสามารถที่สุดในโลกนี้] ฉันจึงถูกปฏิบัติเหมือนคนไร้ค่าในโลกนี้ ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะประกาศว่าฉันเป็นคนนอกรีต ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยทำอะไรมาก่อนเลยแท้ๆ ฉันพึ่งอายุสิบสามปีเองนะ

 

ไม่ว่าจะเป็นนักดาบชราที่เตะฉัน หรืออันนาที่ดูถูกเหยียดหยามฉัน หรือบริวารคนอื่นๆ ที่เลือกที่จะยืนดูในขณะที่ฉันตกเป็นเป้าของความรุนแรงที่ไร้เหตุผล ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะฉันถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต เนื่องจากพรที่ฉันได้รับ

 

คุณอัลกัดฟันเมื่อได้ยินคำตอบของฉัน

 

“คราวหน้า ฉันจะเอาอาหารไปให้ที่เต้นท์ของนายเอง”

 

เขาเสนอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่อนุญาตให้ฉันปฏิเสธ

 

“ไม่ต้องหรอก! ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเพื่อฉัน― ”

 

“ไคคุง นายไม่ควรเก็บซ่อนความรู้สึกของนายไว้แบบนั้นนะ”

 

หลังจากพูดอย่างนั้น คุณอัลก็เดินไปหาชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนทำอาหาร บริวารของโรสรีบเปิดทางให้เขา

 

“เอาอาหารเขามา”

 

คุณอัลพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบเมื่อเขามาถึงหน้าชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนทำอาหาร

 

“แต่ ลอร์ดแฟรกตัน”

 

“นายหูหนวกงั้นเหรอ!? ฉันบอกว่า เอาอาหารเขามาให้ฉัน!!!”

 

คุณอัลจับคอเสื้อคนทำอาหารและจ้องที่เขาในขณะที่ตะโกนคำเหล่านั้น

 

“ดะ-เดี๋ยวก่อน!”

 

หลังจากกรีดร้องเหมือนเด็ก ชายที่ดูเหมือนคนนั้นก็ยื่นถาดไม้พร้อมอาหารที่เหมาะสมมาให้ฉัน

 

“ขอบคุณซะที่คราวนี้ฉันให้การสั่งสอนแก่พวกไร้ยางอายแค่นี้ อย่าคิดว่าฉันจะใจดีเตือนนายอีกถ้านายยังทำเรื่องแย่ๆ แบบนี้”

 

หลังทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้ คุณอัลก็เข้าไปในเต็นท์ของขุนนางชื่อแฟรกตันด้วยสีหน้าเหมือนปีศาจ

 

ฉันนำอาหารแล้วกลับไปที่เต็นท์ของฉัน

 

◇◆◇◆◇◆

 

เส้นทางภูเขาของป่าใหญ่ซิลเก้!

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เราเข้าสู่เส้นทางภูเขาของป่าใหญ่ซิลเก้ ขณะนี้ เรากำลังตั้งแคมป์อยู่ตามจุดตั้งแคมป์หลายแห่งตามเส้นทางภูเขา

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น อัลซานก็นำอาหารมาให้ฉันที่เต็นท์เสมอ ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่เห็นความเกลียดชังที่ชัดเจนจากบริวารของโรสเลย อย่างน้อยก็เพียงผิวเผินล่ะนะ

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาหลบหน้าฉัน และแววตาของพวกเขาเมื่อเห็นฉันก็ยังเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม การหายไปของความเกลียดชังอย่างโจ่งแจ้งของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกสะดวกสบายขึ้นเยอะ

 

ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่ฉันได้รับพรในวันนั้น

 

ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ถูกกันตั้งแต่แรก แม้แต่ทัศนคติของคนที่ฉันมองว่าเป็นเพื่อนจนถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทันทีที่พวกเขารู้เรื่องพรของฉัน พวกเขาเริ่มพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับฉันที่เป็นคนนอกรีตที่ไร้ความสามารถ

 

แม้ว่าฉันจะเจ็บปวดอย่างมากในตอนแรก แต่เพราะว่ามีไลล่า, เรน่าและคีธอยู่เคียงข้างฉัน ทั้งสามคนนี้ปฏิบัติต่อฉันเหมือนอย่างเคย

 

“เรน่ากับคีธ ตอนนี้พวกเขาจะเป็นยังไงบ้างนะ”

 

ทั้งเรน่าแล้วก็คีธได้รับพรหายาก ก็คือนักบุญดาบและอาร์คเมจ ทั้งคู่จึงถูกนำตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับการฝึกที่เหมาะสม

 

ในตอนแรก ทั้งคู่ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ที่จะไปเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ตระหนักในภายหลังว่าพวกเขาแตกต่างจากโรมันซึ่งได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ที่เหมาะสมมาตั้งแต่ยังเด็ก

 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่เมืองหลวงเนื่องจากลักษณะพิเศษของพรของพวกเขา

 

พรของคีธคืออาร์คเมจซึ่งเป็นพรสายเวทมนตร์ น่าเสียดายที่ลามูร์นั้นมีชื่อเสียงในด้านศิลปะการต่อสู้ ถ้าเขาอยู่ในลามูร์ต่อ เขาจะไม่ได้รับการฝึกฝนที่เหมาะสม ดังนั้นรัฐบาลของอาณาจักรอเมเลีย จึงได้จัดให้คีธไปเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าจอมเวทย์แห่งราชวงศ์

 

สำหรับเรน่า เธอเป็นเจ้าของพรที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหายนะของกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ นั่นคือเหตุผลที่การมีอยู่ของเธอต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนโดยเร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลของอาณาจักรอมีเลียจึงบังคับให้เธอฝึกร่วมกับกลุ่มผูกล้าซึ่งเป็นกลุ่มที่เก่งที่สุดในการปราบปรามราชาปีศาจ

 

ไม่เหมือนไลล่าและฉันที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมการฝึกการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก เรน่าไม่เคยแม้แต่จะถือดาบไม้เลยด้วยซ้ำ ถึงกระนั้น ไอ้บ้าพวกนั้นกลับบังคับให้เธอเข้าร่วมกลุ่มผู้กล้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการปราบปรามราชาปีศาจ

 

แน่นอนว่าฉันคัดค้าน แต่ไม่มีใครยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนไร้ความสามารถอย่างฉัน พวกเขาดุฉันและบอกว่าฉันแค่อิจฉาพรของเรน่า

 

“ไค ตื่นอยู่รึเปล่าคะ?”

 

เสียงใสใสของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อฉันจากนอกเต็นท์

 

“อ่า ฉันยังตื่นอยู่”

 

ฉันลุกขึ้นทันทีและตอบเธอ จากนั้น เด็กสาวผมสีชมพูแสนสวยในชุดคลุมสีขาวก็เดินเข้ามาในเต็นท์ของฉัน

 

มันคือโรส เจ้านายของบริวารทั้งหมดนี้ พูดตามตรง ฉันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจัดการกับเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพยายามอยู่ห่างจากเธอให้มากที่สุด

 

“มีอะไรหรือเปล่า”

 

ฉันถามคำถามนั้นกับเธอด้วยเสียงที่ตึงเครียด

 

“ขอโทษด้วย!”

 

เธอขอโทษและก้มหัวให้ฉัน

 

“ฮะ?”

 

ฉันลนลานเพราะไม่รู้ว่าเธอทำอย่างนั้นทำไม

 

“ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณจากอัล เขาบอกฉันว่าพวกอัศวินทำอะไรกับคุณ”

 

เธอพูดด้วยเสียงเบา ๆ ขณะที่เธอจับมือของเธอเข้าด้วยกันด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงจากผู้หญิงที่ร่าเริงเช่นเธอ

 

“ไม่ ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก ฉันคงจะโกหกถ้าพูดไปแบบนั้น แต่ว่าเรื่องมันจบไปแล้ว”

 

อย่างน้อยพวกเขาก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนมนุษย์แล้วในตอนนี้

 

นอกจากนี้ฉันคงไม่น่าจะได้เกี่ยวข้องกับขุนนางระดับสูงแบบโรสอีกแล้วในอนาคต ฉันไม่จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับเธออีก

 

“อย่างไรก็ตาม เพราะฉันขอร้องท่านนักบุญดาบอย่างเห็นแก่ตัวให้อนุญาตให้คุณเดินทางไปกับฉันจนถึงเมืองหลวง คุณก็เลย…”

 

เธอเป็นคนที่ต้องการเดินทางไปกับฉันงั้นเหรอ ฮะ! จากคนที่ไม่รู้จักฉัน ไค ไฮเนแมน แม้ว่าฉันจะมีชื่อเสียงในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของนักบุญดาบแต่โรสก็ดูไม่ใช่คนที่จะออกนอกลู่นอกทางเพื่อขอคุณปู่ของฉันเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเธอแน่

 

“คุณโรส ทำไมคุณถึงอยากร่วมเดินทางไปเมืองหลวงกับฉันด้วยล่ะ?”

 

“เพราะคุณเป็นเพื่อนสมัยเด็กของคีธกับเรน่า”

 

“คุณรู้จักพวกเขาด้วยงั้นเหรอ!?”

 

“อื้ม ผู้นำของเหล่าจอมเวทย์หลวงคืออาจารย์สอนเวทย์มนตร์ของฉัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันรู้จักคีธ เขาเป็นเพื่อนเรียนของฉัน สำหรับเรน่า โกรท เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”

 

เมื่อโรสบอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของผู้นำของจอมเวทย์แห่งราชวงศ์ ฉันก็ยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของเธอมากขึ้นไปอีก เธอเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงจริงๆ งั้นเหรอ? ไม่ไม่ไม่! นั่นเป็นไปไม่ได้ ลามูร์คงจะอยู่ในความโกลาหลแน่ๆ ถ้าคนใหญ่คนโตมาเยือนเมืองนั้นน่ะ

 

“แล้วพวกเขาพูดอะไรเกี่ยวกับฉันให้คุณฟังบ้างไหม?”

 

“อื้ม โดยเฉพาะเรน่า เธอมักจะพูดถึงคุณเสมอ เธอคงรู้จักคุณมากกว่าคีธอีก”

 

บ้าเอ้ย! ยัยเรน่าคนนั้นต้องบอกโรสเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันดำมืดในวัยเด็กของฉันแน่ๆ ฉันเล่นกับเรน่ามาตลอดตั้งแต่ฉันเริ่มจำความได้เลยด้วยซ้ำ

 

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ! นั่นคือเหตุผลหลักที่คุณต้องการไปกับฉันในการเดินทางครั้งนี้งั้นสินะ?”

 

“ใช่ ฉันต้องการพบคุณที่พวกเขามักจะกล่าวถึงในเรื่องราวของพวกเขาด้วยตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันขออนุญาต จากท่านนักบุญดาบเพื่ออนุญาตให้ฉันไปกับคุณในการเดินทางของคุณ

 

“เรน่าเธอไปได้ดีกับกลุ่มผู้กล้ารึเปล่า”

 

เธอเป็นคนที่รู้สึกยังไงก็พูดไปอย่างงั้น ฉันกลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บหรือถูกรังแกเอา

 

“ไม่ต้องพูดถึงท่านผู้กล้าแม้แต่อัศวินก็ยังชอบเธอเพราะเธอเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสามาก”

 

เป็นงั้นเองสินะ ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งเอาของหนักๆ บนไหล่ออกไป ฉันรู้สึกว่าข้อมูลนี้คุ้มค่าที่จะเข้าร่วมในกลุ่มเดินทางของเธอ

 

“ขอบคุณมากที่บอกฉันนะ คุณโรส”

 

ฉันโค้งคำนับให้โรสพร้อมกับแสดงความขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

แม้ว่าฉันกับโรสจะชอบบทสนทนาเกี่ยวกับวัยเด็กของเรา แต่เราก็ต้องยุติการสนทนา เมื่อผู้ดูแลของโรส ผู้หญิงผมแดงชื่ออันนาเข้ามาในเต็นท์ของฉันด้วยท่าทางเหมือนปีศาจ และบังคับให้โรสกลับไปที่เต็นท์ของเธอ

 

ไม่นานหลังจากที่เธอจากไป ชายวัยกลางคนที่มีผมสีฟ้าและเคราที่ไม่ได้โกน คุณอัลก็เข้ามาในเต็นท์ของฉัน

 

“ขอโทษที่มารบกวนตอนดึก!”

 

“อย่ากังวลไปเลย! มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

 

ต้องมีเหตุผลที่เขามาเยี่ยมฉันตอนดึก

 

“ขอบคุณที่คุยกับท่านโรสนะ แม้ว่าพนักงานของเธอจะทำอะไรกับนายอย่างนั้นก็ตาม ฉันมีความสุขมากเมื่อเห็นเธอพูดคุยกับคุณอย่างตรงไปตรงมาแบบนั้น”

 

หลังจากที่เขายืดหลังให้ตรง คุณอัลก็โค้งคำนับให้ฉัน

 

“ไม่-ไม่ ได้โปรดหยุดคำนับแบบนั้นเถอะ! กลับกันฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนอย่างเธอที่เต็มใจจะพูดคุยกับคนไร้ความสามารถอย่างฉันด้วยซ้ำ”

 

“ถึงจะไม่เท่านาย แต่พรของฉันก็อยู่ในระดับต่ำเหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันรู้สึกเห็นใจนาย”

 

“พรระดับต่ำ”

 

“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันสามารถบอกนายได้ ว่าอย่ายอมแพ้! ความพยายามของนายจะไม่มีวันทรยศนายแน่นอน!”

 

เขาก็ออกจากเต็นท์ของฉัน หลังจากที่เขาเคาะอกของฉันเบาๆ ด้วยกำปั้นขวาพร้อมใบหน้าเคร่งขรึม

 

“ความพยายามของนายจะไม่มีวันทรยศนาย” นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกฉันแบบนั้นเลย นอกจากนั้น จากสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ ฉันพอจะเดาตัวตนของโรสได้แล้ว เป็นไปได้มากว่าเธออาจเป็นลูกสาวของขุนนางระดับสูงของอาณาจักรนี้ สิ่งนี้บอกฉันว่าคุณอัลได้ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งปัจจุบันของเขาในฐานะผู้จัดการของผู้ติดตามของโรส หลังจากพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานาน ตราบใดที่ฉันไม่ยอมแพ้ ฉันก็อาจจะกลายเป็นคนอย่างคุณอัลซึ่งเป็นที่ต้องการของคนอื่นได้

 

ทันทีที่ฉันล้มตัวลงนอน สติของฉันก็ดับวูบลงทันที

ฝึกโดดเดี่ยวในดันเจี้ยนไป 100,000ปีออกมาอีกทีกลายเป็นตัวบัค

ฝึกโดดเดี่ยวในดันเจี้ยนไป 100,000ปีออกมาอีกทีกลายเป็นตัวบัค

Status: Ongoing
หลังจากที่ไค ไฮเนแมนได้รับพร [ผู้ไร้ความสามารถที่สุดในโลก] ชีวิตของเขาก็พลิกผันไป จนต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนมา แล้ววันหนึ่งหลังจากหนีจากการไล่ล่าเขาได้หนีเข้าไปหลบในถ้ำที่จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท