เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา – ตอนที่ 44

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 44

 

มันค่อนข้างมากเกินไปที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังจากผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวัน

 

แต่ถึงอย่างนั้น

 

สถานะปัจจุบัน: [ Strength(พละกำลัง) 4 (F+) ] [ Agility(ความเร็ว) 4 (F+) ] [ Dexterity(ความคล่องแคล่ว) 5.2 (D-) ] [ Magic(พลังเวทย์) 10 (C) ] [ Stamina(พลังกาย) 6.5 (D) ]

 

Strength(พละกำลัง) ของฉันเพิ่มขึ้น 0.5, Agility(ความเร็ว) เพิ่มขึ้น 0.3 และ Stamina(พลังกาย) เพิ่มขึ้น 0.6 ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันยังพบว่าพลังเวทย์เพิ่มขึ้น 0.1

 

แน่นอน อย่างที่ฉันอธิบายไปก่อนหน้านี้ ยิ่งระดับต่ำลงเท่าไหร่ คนๆ หนึ่งก็สามารถเห็นการพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่านี่อาจเป็นผลของการผ่านหลักสูตรของวิหารนอกเหนือจากการฝึกหนึ่งวัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผลของการฝึกฝนนั้นในขณะที่ได้รับอิทธิพลจากพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่มาก

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเอเดรียน่าจะคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ดังนั้นจึงต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

 

นอกจากนี้ ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจริงก็ยิ่งใหญ่พอๆ กับผลกระทบของมัน เพราะรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของฉันแยกจากกัน

 

จริง ๆ แล้วฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าฉันจะฝึกดาบต่อไปในอนาคตมั้ย แต่ตอนนี้ฉันเรียนรู้ได้เฉพาะสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเท่านั้น

 

ฉันเรียนทฤษฎีการใช้ดาบและการฝึกภาคปฏิบัติด้วยความคิดที่แตกต่างจากสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากนัก

 

เอลเลนเป็นนักเรียนดีเด่น และฉันก็เป็นคนที่ด้อยกว่าแม้ว่าฉันจะเป็นส่วนหนึ่งของรอยัลคลาสก็ตามด้วยก็ตาม ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์ตนเองในสายตาคนอื่น ถ้าฉันมัวสนใจเรื่องแบบนั้นฉันคงจะไม่ทำแบบนี้

 

ตั้งแต่แรก มีความสามารถมากมายที่พบในรอยัลคลาส! ฉันไม่ใช่คนเดียวที่แปลก! นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก

 

แน่นอนว่ามีผู้ชายบางคนที่ดูเหมือนจะนินทาลับหลังฉันเพราะแม้ว่าฉันกับเอลเลนจะอยู่ในรอยัคลาสเหมือนกัน แต่เรากับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันต้องกังวลมากกว่าการสั่งสอนพวกนั้น พูดตามตรง ฉันยังไม่รู้จักชื่อพวกนั้นด้วยซ้ำ

 

ฉันต้องสงบใจเอาไว้ก่อน มันมักจะมีคนอยากหาเรื่องกับฉันอยู่เสมอ และคนที่ต้องการแก้แค้นฉันหลังจากที่พวกเขารู้ว่าฉันเป็นแค่คนอ่อนแอหรือหลังจากที่ทักษะของพวกเขาเริ่มดีขึ้นมาหน่อย

 

การดวลในอีกสองสัปดาห์เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวที่ควรใส่ใจ ฉันฝึกฝนร่างกายต่อไป ตั้งแต่วิชาดาบไปจนถึงศิลปะการต่อสู้ ฉันยังไม่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้ พลังเหนือธรรมชาติของฉันยังไม่ตื่นขึ้น และฉันยังไม่มีพรสวรรค์สำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นฉันจึงต้องเริ่มจากพื้นฐาน

 

สิ่งเดียวที่ฉันเชื่อได้ในตอนนี้คือร่างกายของฉันที่จะเติบโตเมื่อฉันฝึกฝน

 

ฉันไม่สามารถจบลงโดยเป็นแค่คนที่มีอารมณ์ร้าย ฉันต้องการมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และฉันต้องหาทางหลุดออกจากเงื้อมมือของเบอร์ทัสและชาร์ลอตต์ให้ได้ในที่สุด

 

ฉันไม่มีเวลาให้เสียเปล่า

 

“……มันไม่แปลกเหมือนครั้งที่แล้ว”

 

ไม่ว่าครั้งสุดท้ายจะเป็นยังไง เอลเลนลองกินชองกุกจังอีกครั้งและกินมันอย่างใจเย็นอย่างไม่คาดคิด

 

เนื่องจากนี่เป็นครั้งที่สองที่เธอกินมัน เธอจึงเริ่มชินกับมันแล้วใช่มั้ยนะ

 

“…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันอร่อย”

 

ราวกับว่าเธอพยายามหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด เอลเลนจึงกล่าวเสริม

 

แต่ถ้าเธอไม่ชอบกิน แล้วเธอจะตามฉันมาที่นี่ทำไม? เป็นเพราะฉันจ่ายงั้นเหรอ?

 

ฉันออกแบบให้เธอเป็นพวกชอบกินฟรีงั้นเหรอ?

 

ถึงอย่างนั้น เธอก็กินมากกว่าครั้งที่แล้ว และเรอออกมาด้วยซ้ำ

 

เธอเป็นตำนานเลยทีเดียว

 

“เธอนี่ดูเป็นขอทานมากกว่าฉันหรือเปล่า ที่กินอาหารที่ฉันซื้อให้ตลอดเลย”

 

ตอนที่ฉันพูดแทงเธอหลังจากที่เราออกจากร้าน เอลเลนก็มองมาที่ฉัน แทนที่จะจ้องมองมาที่ฉัน กลับรู้สึกเหมือนกำลังหลงทางอยู่ในความคิดเสียมากกว่า

 

“งั้นครั้งหน้าฉันจะจ่ายเอง”

 

นี่อะไร?

 

เธอตอบเรียบๆว่าคราวหน้าจะไปกินข้าวด้วยกันอีกสินะ

 

เธออาจจะคิดว่าฉันเป็นคนดีจริงๆ ล่ะมั้ง?

 

แน่นอนว่าเอลเลนจากไปโดยไม่บอกลาในครั้งนี้

 

เป็นเด็กที่อกตัญญูจริงๆ

 

* * *

 

เนื่องจากฉันไม่มีทักษะเฉพาะ ฉันจึงไม่มีอะไรให้เรียนรู้มากนักในชั้นเรียน

 

ฉันเลิกเรียนวิชาเวทมนตร์โดยได้รับการอนุญาตจากคุณเอพินเฮาเซอร์ และมีการเสริมเรียนการขี่ม้าเข้ามาแทน ฉันคิดว่าวันหนึ่งฉันอาจจะจำเป็นต้องขี่ม้า

 

ฉันกลัวมากเลยล่ะ ฉันควรจะฝากชีวิตไว้กับพวกสัตว์ที่ขี่งั้นเหรอ? ฉันน่าจะเขียนให้มีรถมานาหรืออะไรบางอย่าง

 

ฉันยังตระหนักได้อีกครั้งว่าทักษะการขี่ม้าของไดรัส ผู้ซึ่งให้ฉันขี่กับเขาตอนที่เราหนีออกจากปราสาทของราชาปีศาจนั้นเป็นระดับสุดยอด

 

ฉันใช้กำลังจิตใจทั้งหมดของฉันหมดไปแล้วในการฝึกตอนเช้า แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดพักได้ หลังเลิกเรียน ฉันทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้จนถึงเย็นที่โรงยิม รวมถึงการฝึกฝนร่างกาย

 

เมื่อฉันหมดแรงและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ฉันก็คิดถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของเอเดรียน่าขึ้นมาเลย

 

ฉันสงสัยว่าเธอจะมาในตอนเย็นด้วยมั้ย แต่เธอไม่มา พูดตามตรง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันไม่ยอมให้เธอช่วยฉันมากกว่านี้แล้วล่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ลืมสิ่งที่เอเดรียน่าบอกฉัน ฉันทานอาหารเย็นมื้อใหญ่ และหลังจากพักย่อยอาหารไม่นาน ฉันออกไปวิ่ง ตามด้วยการฝึกความแข็งแกร่ง

 

ฉันคิดว่าฉันหักโหมเกินไป และเดิมทีมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำร้ายร่างกายฉัน อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเอเดรียน่าจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ ฉันจึงพยายามผลักดันตัวเองให้หนักขึ้นอีก

 

“แฮก…. แฮก….”

 

เหงื่อที่มือของฉันทำให้ดาบฝึกฝนหลุดจากมือของฉัน

 

ฉันยังห่างไกลจากการเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ฉันไม่มีกำลังใจที่จะทำเลย ฉันไม่ชอบและไม่มีพรสวรรค์ในการใช้ความพยายามแบบนั้น

 

ฉันคิดแบบนั้นอีกหลายสิบครั้งเมื่อฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและนิ้วของฉันสั่นเทาด้วยความอ่อนล้า

 

ยังไงฉันก็จะแพ้การต่อสู้นั้นอยู่ดี

 

ดังนั้นฉันควรจะทำตัวสบายๆกว่านี้ล่ะนะ

 

แม้ว่าฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด ฉันก็ไม่สามารถเอาชนะคนที่อายุมากกว่าฉันหนึ่งปีด้วยการฝึกเพียงแค่สองสัปดาห์ได้

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่ความคิดเช่นนั้นเข้ามาในหัวของฉัน ฉันบังคับตัวเองให้กำดาบแน่นขึ้น

 

ฉันแน่ใจว่าฉันจะแพ้การดวลนั้นในสองสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ควรนิ่งนอนใจเพียงเพราะฉันรู้ว่าฉันจะแพ้

 

ฉันไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อเอาชนะรุ่นพี่ที่แก่กว่าฉันหนึ่งปี

 

“ฮึบ!”

 

-ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก!

 

เนื่องจากการเขียนลวกๆของฉัน เกทจะเปิดออกในไม่ช้า ทำให้ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต ฉันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน

 

ฉันทำอย่างนี้เพื่อจะได้ไม่ตายในภายหลัง

 

ตอนนี้ฉันอาจฝึกหนักจนแทบตายและอนาคตยังอีกยาวไกล แต่ฉันจะต้องเสียใจภายหลังแน่หากไม่ทำอะไรสักอย่างในตอนนี้

 

ฉันรู้สึกเสียใจพอสมควรกับการเขียรนิยายเรื่องนี้ ฉันไม่ควรที่จะนิ่งนอนใจหรือเกียจคร้านเลย

 

ตอนนี้ฉันเป็นแค่ไอ้สารเลวคนหนึ่ง

 

ฉันอาจจะดูเล่นสกปรกและโหดร้ายสำหรับใครบางคน

 

“ฮึบ!”

 

– ป็อก!

 

ไม่มีพัฒนาการแบบในมังฮวาเหมือนหุ่นไล่กาตัวนั้นจะถูกฉันฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

“ฮะ!”

 

– ป็อก!

 

อย่างไรก็ตาม ฉันก็เพิ่มรอยขีดข่วนนับไม่ถ้วนให้กับมันได้อยู่บ้าง

 

* * *

 

ในการจำลองการออกเดทบางรายการ จะมีลำดับเหตุการณ์ที่คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าคุณต้องการใช้เวลาว่างไปที่ไหน ถ้าฉากเป็นโรงเรียน ก็จะมีสถานที่ เช่น ห้องดนตรี โรงยิม ห้องวิทยาศาสตร์ บนดาดฟ้า เป็นต้น

 

ในกรณีของเกมดังกล่าว เราจะพบตัวละครเฉพาะในแต่ละสถานที่ ผู้หญิงที่ชอบเล่นเครื่องดนตรีจะอยู่ในห้องดนตรี คนที่ชอบออกกำลังกายจะอยู่ในโรงยิม และคนที่ฉลาดๆ จะอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์

 

ดังนั้น

 

“…….”

 

ฉันรู้สึกเหมือนฉันรู้สถานที่ทั้งหมดที่สามารถพบเอลเลน อาร์โทเรียสได้

 

เธอนั่งกินไส้กรอกอยู่คนเดียวในห้องอาหาร

 

เธอจะอยู่ที่ล็อบบี้ในตอนเช้าก่อนที่เธอจะเริ่มการฝึก หลังจากนั้นเธอก็ไปที่ห้องอาหาร แล้วก็ไปยิมหลังเลิกเรียน

 

และเธอจะอยู่ที่ห้องอาหารอีกครั้งในตอนดึก

 

ฉันมาที่นี่เพื่อเสริมอาหารล่วงหน้า เพราะพรุ่งนี้ฉันจะรู้สึกแย่แน่ๆ หลังจากฝึกกับเอเดรียน่า แต่ก็พบเอลเลนมาอยู่ที่นี่แล้ว เธอคงมาที่นี่เพื่อทานอาหารหลังการฝึกแบบนี้ทุกวัน

 

ฉันเปิดตู้ที่มีไว้สำหรับขนมและเห็นว่ามันยังไม่ได้รับการเติมอะไร แล้วเธอกินอะไร

 

“นี่เธอกินเหมือนเดิมหรือเปล่า”

 

เธอมีถาดที่เต็มไปด้วยไส้กรอก กำลังเคี้ยวมันอยู่ ด้วยท่าทีเหลือเชื่อของฉัน เอลเลนชี้ไปที่ไส้กรอกที่เธอกิน

 

“เธอกินไส้กรอกแบบนี้เลยงั้นเหรอ”

 

“อ่า เพราะมันถูกรมควันก็คงกินได้แหละ แต่ทำไมเธอถึงกินไส้กรอกเย็นๆ ล่ะ”

 

ขนมหมด เธอจึงค้นหาในที่เก็บอาหารและพบไส้กรอกเหล่านั้น พวกมันถูกปรุงสุกแล้ว ดังนั้นเธอจึงกินพวกมันทั้งอย่างนั้น

 

“เธอจะเปิดเตา วางมันในกระทะแล้วกลิ้งไปรอบๆ สักครู่ก่อนกินไม่ได้เลยรึไง มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

ใช้เครื่องครัวให้เป็นประโยชน์หน่อยเถอะ ขอร้อง!

 

ฉันไม่ได้เขียนใส่ความหายนะในครัวหรือคุณลักษณะบางอย่างให้กับเธอ! ฉันว่าเธอควรจะฉลาดกว่านี้นะ!

 

ทำไมคนฉลาดคนนี้ถึงทำตัวเหมือนคนโง่?

 

เอลเลนส่ายหัวกับคำพูดของฉัน

 

“มันยุ่งยากเกินไป”

 

“เธอไม่รู้วิธีใช่มั้ย”

 

“ฉันไม่เคยลอง”

 

เธอกำลังบอกฉันว่าเธอขี้เกียจเกินไปที่จะหาวิธีใช้มัน เธอมีคุณลักษณะที่น่ารำคาญ แค่ดูฉันก็โมโหละ

 

“เอามันมานี่”

 

“……”

 

เอลเลนมองฉันเงียบๆ เมื่อฉันหยิบจานไส้กรอกไป อะไร เธอกำลังบอกให้ฉันคืนมันให้งั้นเหรอ? เธอเป็นตัวละครที่ตะกละตะกรามจริงๆดิ? อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้บอกให้ฉันวางจานกลับไป เธอเพียงแค่มองมาที่ฉัน

 

ฉันหยิบไส้กรอกออกมาอีก ใส่ในกระทะและอุ่นให้ร้อนพอที่จะกินได้ ทำไมเธอถึงกินอาหารที่มันยังไม่อุ่นเลยล่ะ?

 

ตอนที่ฉันเอาไส้กรอกออกจากเตา เอลเลนยังคงจ้องมาที่ฉัน

 

ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงหยุดนิ่ง

 

“เธอคิดว่าฉันจะทำแบบนี้ให้เธอสินะ?”

 

ฉันรู้สึกเหมือนเธอรู้แน่นอนว่าฉันจะทอดไส้กรอก นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเงียบ

 

อย่างที่ฉันพูด ฉันอาจจะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่ฉันไม่ได้เป็นคนเย็นชาเสียทีเดียว

 

แม้ว่าฉันจะมีนิสัยแบบนั้น แต่ฉันก็ยังจะแบ่งอาหารนี้ให้กับคนที่เย็นชาคนนี้

 

เราเริ่มกินไส้กรอกด้วยส้อม

 

“มันดีกว่าใช่มั้ยล่ะ? นี่เธอพยายามจะกินมันแบบดิบ ๆ เหมือนสุนัขข้างทางเลย”

 

เอลเลนยังคงกินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงบ่นของฉัน ไม่สำคัญว่าฉันจะพูดอะไร เธอคงไม่สนใจเป็นพิเศษ

 

‘ฉันก็จะกินแล้วล่ะนะ หื้ม’

 

นี่มัน?

 

ฉันกินไส้กรอกไปสักพักก่อนจะวางส้อมลง

 

เอลเลนทำเช่นเดียวกัน

 

“เค็ม”

 

“ใช่”

 

เอลเลนพยักหน้าตามคำพูดของฉัน

 

เนื่องจากเราทานแค่ไส้กรอกเท่านั้น จึงมีรสเค็มมากแม้ไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มลงไป โดยปกติแล้ว การมีข้าวเป็นเครื่องเคียงหรือขนมปังสักก้อนก็สมเหตุสมผลแล้ว

 

ฉันอยากกินอย่างอื่นมากกว่านี้เพราะตอนนี้มีแค่น้ำกับไส้กรอก แต่ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะไปทำ

เอลเลนดูเหมือนไม่อยากเลิกกิน ฉันเองก็ไม่อยากเหมือนกัน

 

ยังเหลือไส้กรอกอีกสิบห้าชิ้น

 

“ฮึบ….”

 

ฉันคิดว่าฉันกำลังจะตายเพราะฉันรู้สึกเหนื่อยไปทั้งตัว ถ้าทิ้งพวกนี้ไปก็คงเสียเปล่า ที่กล่าวว่าเราควรจะทำอะไรบางอย่างจากของเหลือ แต่เมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่ทำให้ฉัน ฉันก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา

 

“นี่เธอน่ะ ทำสิ่งที่ฉันบอกให้ทำต่อจากนี้”

 

“?”

 

ฉันทำจิตอาสาเสร็จแล้ว

 

ตอนนี้เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นอาหารของเธอเอง

 

* * *

 

“แบบนี้?”

 

“ใช่ เธอทำได้ดีมาก”

 

เมื่อเห็นหัวหอมสับละเอียด ฉันพยักหน้า ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าการถือดาบแตกต่างจากการใช้มีดทำอาหารอย่างไร แต่เอลเลนก็สามารถทำตามที่ฉันสั่งได้

 

ฉันเดาว่ามันไม่ใช่เรื่องของความสามารถในการจับดาบที่ดี แต่เป็นเรื่องของความคล่องแคล่วในระดับสูง

 

“เธอไม่รู้วิธีทำอาหารจริงๆ เหรอ?”

 

“ใช่ นี่เป็นครั้งแรกของฉัน”

 

ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสมีดทำครัว แต่เห็นฝีมือของเธอแล้ว ให้เป็นเชฟก็ยังได้ แต่แน่นอนว่าเธอมีพรสวรรค์ในการต่อสู้มากกว่า

 

“ต่อไปเป็นแครอท เหมือนกันเลย”

 

-สับสับสับสับสับ

 

แครอทถูกสับในทันที ฉันจึงบอกขั้นตอนต่อไปให้เธอฟัง รู้สึกเหมือนกำลังควบคุมอวตารเสมือนจริงเลย

 

ที่จริงฉันทำได้นะ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้

 

ฉันเหนื่อยมากจนฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะบาดนิ้วตัวเองถ้าฉันหยิบมีดทำครัวขึ้นมา

 

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรที่ซับซ้อนเกินไป มีอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องปรุงต่างๆ มากมายในครัว แต่เป็นเวลากลางคืน มันน่ารำคาญเกินไป

 

พวกเขามีข้าวแต่ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะทำกับข้าวจริงๆ แน่นอนว่าฉันก็ไม่อยากทำขนมปังใหม่จากแป้งเช่นกัน

 

ที่ผมจะทำคือผัดผักกับข้าวในกระทะใส่น้ำมัน ใส่น้ำ ใส่ไส้กรอกลงไปต้มเหมือนโจ๊ก มันเป็นโจ๊กน้ำผึ้งในเวอร์ชั่นลวกๆ ตราบใดที่มันกินได้ อาจจะเรียกว่าริซอตโต้ก็ได้มั้ง?

 

มันไม่สำคัญสำหรับฉันและเอลเลนที่สามารถจบชั้นเรียนชองกุกจังเบื้องต้นได้สำเร็จ

 

ตั้งแต่เริ่มต้น ตามมาตรฐานของฉัน เธอดูเหมือนจะมีปุ่มรับรสของหมาป่า ที่เธอกำลังกินไส้กรอกดิบๆได้

 

เธอจะกินอะไรก็ได้ตราบเท่าที่มันกินได้ หรือดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น

 

เอลเลนเริ่มผัด ใส่ผักและข้าว รวมทั้งกระเทียมสับตามที่ฉันสั่ง เธอดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่จะทำในสิ่งที่ถูกขอให้ทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม

 

เธอสมควรได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนทำอาหารว่างตอนเที่ยงคืนที่ดีที่สุดของฉัน

 

“จำไว้ให้ดี และจากนี้ไป ทำอาหารกินเอง เธอมาที่นี่ก่อนฉันอีกนะ”

 

“น่ารำคาญอ่ะ”

 

เธอไม่อยากทำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะรับอาหารจากคนอื่นต่อไปได้ เธอจะทำในสิ่งที่เธอคิดว่าน่ารำคาญเมื่อมีคนสั่งให้เธอทำ อาจเป็นเพราะไส้กรอกนั้นมีรสเค็มเกินไป

 

ฉันใส่ไส้กรอกและน้ำในเวลาที่เหมาะสม และในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มเดือดในกระทะ ฉันใส่สมุนไพรบางอย่าง ไส้กรอกเค็มพออยู่แล้ว เลยไม่ได้ปรุงรสแยก

 

หลังจากโจ๊กไส้กรอกสุ่มเสร็จ เราก็นำมันกลับเข้าไปในห้องอาหาร

 

เอลเลนตักมันด้วยทัพพีของเธอราวกับว่าไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้ว

 

“!”

 

จากนั้นเธอก็เบิกตากว้าง

 

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมันอร่อยเป็นพิเศษ

 

“คิดว่าเอาเข้าปากหลังตักออกจากกระทะแบบนี้มันจะไม่ร้อนรึไง”

 

“!!!!”

 

เมื่อฉันยื่นแก้วน้ำให้เธอ เธอกลืนมันลงไปทันที เห็นได้ชัดว่าเธอฉลาดและมีร่างกายที่ดี

 

นี่เธอเป็นคนประเภทที่จะดูโง่เพราะความหิวของเธอเองหรือเปล่า? เธอจะกลายเป็นคนโง่เมื่อเผชิญหน้ากับอาหารใช่มั้ย?

 

“เป็นไงบ้าง? ดีขึ้นมากใช่มั้ยล่ะ? อะไร? ไม่อร่อยเหรอ?”

 

ขณะที่ฉันมองเธอที่ยังคงกินต่อไปหลังจากที่มันเย็นลง เธอก็จ้องกลับมาที่ฉัน

 

“ฉันเป็นคนทำมัน”

 

“อะไร? เธอแค่ขยับแขนเอง ฉันเป็นคนสอนวิธีทำสิ่งนี้ให้กับเธอนะ”

 

“แต่ฉันเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง”

 

อะไร เมื่อกี้เธอทะเลาะกับฉันเหรอ? เธอเลือกการต่อสู้งั้นเหรอ?

 

ฉันมั่นใจ 100% ว่าเธอจะเอาชนะฉันได้แบบ 1 ต่อ 1 แน่นอนฉันควรจะต่อมั้ย

 

เอลเลนตักขึ้นมาหนึ่งช้อนเต็มและเป่ามันคราวนี้ จากนั้นเธอก็พูดว่า:

 

“เราทำมันด้วยกัน”

 

ฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นไอ้ขี้งก ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมากหลังจากนั้น

 

* * *

 

เมื่อฉันกลับไปที่ห้องหลังจากทานอาหารว่างตอนเที่ยงคืนกับเอลเลน ฉันพบว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องของฉัน ฉันคิดว่าเป็นพนักงาน เพราะมันมีพนักงานหอพักที่มักมาทำความสะอาดห้องพักของนักเรียนรอยัลคลาส

 

แต่พวกเขามักจะทำความสะอาดห้องในตอนเช้าเมื่อมีเรียน เป็นเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อยที่พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ในตอนกลางคืนเช่นนี้

 

ฉันไม่มีอะไรในห้องที่ไม่ควรให้ใครเห็น ฉันจัดระเบียบและจำรายชื่อนักเรียนแล้วทำลายทิ้ง คนในชุดแม่บ้านดูเหมือนจะเดินเตร่ไปรอบ ๆ ห้องของฉัน แต่ดูเหมือนจะไม่สนใจฉันเลย

 

แต่เมื่อฉันเข้าไป พนักงานก็มาปิดประตูแทนฉัน

 

“……?”

 

อะไร

 

นี่เป็นเรื่องที่แปลกชะมัด

 

พนักงานมองหน้าฉันแล้วพูดสั้นๆ

 

“ฝ่าบาท”

 

“!”

 

“ฉันเองซาร์เคการ์”

 

ฉันไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาวางแผนส่งข้อความถึงฉันยังไง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะส่งมาให้ฉันแบบเป็นการส่วนตัวจริงๆ!

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา

Status: Ongoing
หลังจากที่ตายนักเขียนนิยายสุดห่วยได้ถูกส่งไปเป็นหนึ่งในตัวละครของนิยายของเขา “ให้ตายเถอะ!! ทำไมฉันถึงต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย!” ด้วยความโชคร้าย ตัวละครที่ได้จากการสุ่มนั้นคือเจ้าชายปีศาจ ตัวละครที่ไม่มีในเรื่อง ไม่ใช่แม้กระทั่งตัวประกอบด้วยซ้ำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท