จากที่คุณมิโกะบอก
สำหรับคนที่ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้กล้าจะถูกส่งตัวกลับไปยังโลกเดิมในวันที่ถูกอัญเชิญมา
เหตุผลก็เพราะหากไม่ส่งตัวกลับในวันที่อัญเชิญมา ประตูสู่โลกเดิมจะปิดลง
และนี่ก็เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่ที่บานาซ่าถูกอัญเชิญมา
เพราะด้วยความดีใจที่อัญเชิญผู้กล้าสำเร็จ ทุกคนเลยลืมเรื่องของบานาซ่ากันหมด ทั้งที่เขาน่าจะถูกส่งกลับทันที แต่ก็ถูกลืมอย่างสมบูรณ์แบบซะงั้น
ถ้าเวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ ก็คงสรุปได้แต่ว่าการส่งบานาซ่ากลับโลกเดิมนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตอนนี้ประตูสู่โลกเขาก็ปิดไปแล้ว และประตูไปยังโลกต่างๆ ก็มีมากมายจนเทียบกับดวงดาวยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลังจากบานาซ่าได้ยินคำพูดนั้นก็หน้าซีดยืนแข็งทื่อทีเดียว
หลังจากนั้นก็ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง
บานาซ่าถูกพาตัวไปที่ห้องบัลลังก์ของปราสาทที่มีราชาของประเทศนี้อยู่ จากนั้นที่ปรึกษาของราชาก็บอกถึงคำพูดของราชาให้ผมฟัง
กรณีนี้เป็นความผิดของประเทศไคน์โร้จเอง ต้องขอโทษอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นเราจะดูแลคุณให้ได้รับชีวิตที่ดีในโลกใบนี้เอง
แต่การอาศัยในเมืองเป็นเรื่องต้องห้ามจึงต้องให้ไปพักในป่าเดลาเบซ่าทางเหนือ
สามารถเข้าออกเมืองได้ แต่ห้ามเปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษผมเลยได้รับเงินมา 1 พันล้านเบเลีย และของจำเป็นอื่นๆ
นี่เป็นโครงร่างคราวๆ ของการประชุม
หลังจากที่คุยกันเสร็จบานาซ่าก็เดินไปยังรถม้าเพื่อออกจากเมืองหลวง แม้บานาซ่าจะเข้าใจดีว่านี่เป็นวิธีสุภาพที่สุดแล้วที่ใช้จัดการตัวปัญหา เขาจึงได้แต่ทำใจยอมรับ
ภายในรถม้านั้นมีเมดที่คอยดูแลเขาจนกว่าจะถึงป่าอยู่
ตามที่เธอบอกมาเหมือนว่าป่าเบลาเบซ่าจะต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงมากกว่า 20 วัน
ในป่ามีทั้งมอนสเตอร์และอมนุษย์อาศัยอยู่ จึงไม่มีมนุษย์ไปตั้งรกรากที่นั้น
“เพราะเราจะไม่รู้จักที่แห่งนั้นมากนัก คงต้องให้คุณสำรวจด้วยตัวเองคงได้สินะคะ?”
เมดสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
…พยายามจะบอกให้ฉันไปตายเหมือนหมาข้างถนนใช่ไหมนั่น
พอนึกถึงความเจตนาที่อยากให้บานาซ่าตายอย่างชัดเจนของประเทศไคน์โร้จขนาดนี้แล้ว บานาซ่าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาไม่คิดจะเป็นขวากหนามขวางทางหรอก แต่ก็เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาคนที่อัญเชิญเขามาเป็นพวกเห็นแก่ตัว และซ้ำร้ายเขายังไม่สามารถกลับโลกเดิมได้อีก
และแล้วก็ผ่านไป 20 วัน
“ถ้าเช่นนั้นท่านบานาซ่า เราต้องขอตัวตรงนี้นะคะ”
หลังจากที่ทิ้งบานาซ่าไว้ทุ่งหญ้าของป่าเดลาเบซ่า แล้วรถม้าก็ออกรถบอกลาเขา
ตอนนี้บานาซ่ามีอุปกรณ์ที่เรียกว่ากระเป๋าเวทมนตร์อยู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นกระเป๋าเล็กๆ แต่ก็เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ปรับสภาพได้ตามสิ่งของที่ใส่ลงไป
เขาคิดจะตรวจสอบของในกระเป๋าสักหน่อย แล้วตอนนั้นเองก็มีหน้าต่างแสดงขึ้นมา
เงินหนึ่งพันล้านเบเลีย . . .
บ้านเวทมนตร์ 1 หลัง (บ้านที่สามารถสร้างที่ไหนก็ได้ สามารถเคลื่อนย้ายได้)
ถุงน้ำที่ไม่มีวันหมด 2 ถุง (ถุงน้ำดื่มที่สามารถทำให้มีน้ำดื่มได้ตลอดกาล)
เสื้อผ้า 20 ชุด (ชุดของพลเมืองธรรมดาของประเทศไคน์โร้จ)
อุปกรณ์ 8 อย่าง (ดาบ 3 เล่ม หอก 2 เล่ม ธนู 2 คัน คทา 1 อัน)
เครื่องมือเกษตรและชุด 3 อย่าง ( ไม้ก่อสร้าง 1 อุปกรณ์ขุดเจาะ 1 อุปกรณ์ทำฟาร์ม 1)
หลังจากที่ตรวจสอบของดู เหมือนจะไม่มีปัญหาในการมีชีวิตอยู่ บ้านก็สามารถสร้างได้ทันที แล้วก็ไม่ต้องอดน้ำ อดอาหาร
ขณะที่บานาซ่ากำลังจะผ่อนคลาย และปิดกระเป๋าเวทมนตร์ ก็มีสไลม์โผล่มา
“เฮ้อ… มีแต่ต้องสู้เท่านั้นเหรอ?”
ถ้าเป็นไปได้บานาซ่าก็อยากเลี่ยงการต่อสู้
ในโลกเดิมเขาเองก็เคยเป็นทหารรับจ้างแต่ลาออกซะก่อน แต่ก็ไม่เคยต่อสู้หรอกนะ
ที่พูดก็เพราะตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครช่วยเขาได้ สไลม์แผ่รังสีความเป็นศัตรูออกมาแล้วกระโดดเข้าไปหาเขา
บานาซ่าจึงเอาดาบและโล่ออกมาด้วยกระเป๋าเวทมนตร์แล้วตั้งรับ
บานาซ่ารู้สึกกังวลมาก แต่การต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วเพราะหลังจากเขาแกว่งดาบผ่าสไลม์เป็นสองส่วนมันก็ตายทันที
“ค่อยยังชั่ว ที่จบเร็วนะ”
บานาซ่าพูดออกมาด้วยความโล่งอก
แต่จู่ๆ ด้านหน้าของเขาก็ปรากฏหน้าต่างขึ้นมา
หน้าต่างเหมือนกับตอนที่เขายืนยันสิ่งของในกระเป๋าวิเศษ แต่ด้านหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่ข้อมูลของกระเป๋าเวทมนตร์ แต่เป็นระดับและค่าสถานะของเขาที่เพิ่มขึ้น
บานาซ่าที่เห็นหน้าต่างนั้นก็ยักคิ้วขึ้น
เลเวล ・・・ 2
STR・・・ ∞
DEF・・・ ∞
SPD・・・ ∞
MP・・・ ∞
HP・・・ ∞
“ดูเหมือนจะเลเวลอัพแล้วสินะ แต่… ไอ้เครื่องหมายคล้ายๆ เลข 8 นี่มันอะไรนะ … ?”
ในเวลานั้นบานาซ่ายังไม่รู้ตัวว่า “∞” นั้นคือเครื่องหมายอะไร (ไร้ขีดจำกัดไงละพี๊)
ตอนที่เขายังเลเวล 1 พลังของเขาแทบไม่ต่างจากคนบนโลกนี้ แต่พอเลเวล 2 พลังที่ก้าวข้ามผู้กล้าคนก่อนอย่างสมบูรณ์แบบ และยังความสามารถที่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้ทุกชนิดบนโลกอีก
นี่คือการคุ้มครองจากพระเจ้าที่เขาได้ ตอนที่มายังโลกใบนี้
แต่ตัวเขานั้นไม่รู้ตัวเลย