”ไม่ได้อยู่ที่วังหลวงอย่างนั้นหรือ เจ้าจะไปไหน” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ”ข้าคงพาลูกๆ ไปด้วยตอนฝึกทหารหรือไหว้พระขอพรไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้นสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เขาขยับใบหน้าไปข้างๆ แล้วประทับจูบลงบนผมสีดำของนาง พลางขมวดคิ้วอย่างอ่อนโยนขณะกล่าวว่า ”ที่วังหลวงมีคนตั้งมากมาย พวกเขาย่อมสามารถดูแลเจ้าหนูสองคนนี้ให้พวกเราได้อย่างแน่นอน”
”ข้าไม่อยากให้แม่นมเป็นคนดูแลพวกเขา ข้าอยากเลี้ยงพวกเขาด้วยตัวเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นจึงกำมือเข้าหากัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สามารถคัดค้านอะไรนางได้ ดังนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่นางพูด
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนั่งลงบนเตียง แล้วเริ่มศึกษาเรื่องการเลี้ยงดูเด็กด้วยกัน
ขณะที่อ่านหนังสืออยู่นั้น องค์ชายก็เอ่ยอย่างเหยียดหยันว่า ”เด็กๆ ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตเจ้าปัญหาเสียจริง”
”ก่อนท่านจะโต ท่านก็เคยเป็นเด็กมิใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งฟังด้วยความขบขัน ”พวกเขายังเล็กเกินไป จึงจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแล”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามมือของนางไป ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดอยู่ที่ท้องของนาง เวลานี้มันกลมมากแล้ว ”เชื่อข้าสิ เจ้าหนูสองคนของพวกเราอยู่กันได้สบายๆ โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองด้วยซ้ำ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมั่นใจเช่นนั้นเหมือนกัน บนแผ่นดินนี้คงไม่มีเด็กคนไหนมีอำนาจเหนือลูกๆ ของนางอีกแล้วกระมัง พวกเขายังไม่ทันเกิด แต่ก็จัดการกินวิญญาณคนตายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบตัวพวกเขาไปจนเกือบหมด
คราวก่อนตอนที่นางเห็นวิญญาณจำนวนหนึ่งลอยไปลอยมาอยู่นอกวังหลวง นางยังสงสัยอยู่เลยว่าวิญญาณพวกนี้กล้ามาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แต่องค์ชายกลับบอกว่า วิญญาณพวกนั้นถูกลูกๆ ของนางจับมาเป็นของเล่น
เด็กพวกนั้นเห็นวิญญาณเป็นของเล่น เฮ้อ… เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่าลูกๆ ของนางได้รับการสั่งสอนมาอย่างผิดๆ โดยที่นางยังไม่ทันรู้ตัวเสียอีก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดีใจเมื่อเห็นว่าทัศนคติของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มีต่อลูกกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทุกวัน
แม้กระทั่งตัวเขาเองก็คงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสีหน้าตอนที่เขาลูบท้องของนางเพื่อช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหารนั้นเริ่มอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่แน่นอนว่าเขาก็ยังเป็นคนขี้หงุดหงิดเหมือนเดิม เขาทำเหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นอริกับลูกๆ ไม่มีผิด ทุกครั้งที่ท้องของนางขยับ เขาก็มักจะพูดจาเหน็บแนมอยู่ข้างๆ เสมอ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
การสื่อสารระหว่างพ่อลูกที่แปลกไม่เหมือนใครเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว
วังหลวงมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างเคย จะมีก็แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้เฉลียวฉลาดเท่านั้นที่กำลังเล่นกับถ้วยชาในมือพร้อมด้วยสายตาเย็นชา ”นอกจากวัดหลิงอิ่นแล้ว วันนี้คุณหนูไปที่ไหนมาอีก”
หากว่ากันตามกฎแล้ว ทหารรับจ้างจากกองกำลังลับควรจะรับคำสั่งจากผู้เป็นนายเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แต่ผู้ชายคนนี้ฉลาดเสียจนเขาไม่สามารถปิดบังอะไรจากเขาได้
”ไม่พูดหรือ หือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหาทหารรับจ้าง ”ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าสาเหตุที่กองกำลังลับอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะได้รับอนุญาตจากข้า ถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังสามารถเดินไปทั่ววังหลวงได้เหมือนตอนนี้หรือ”
ทหารรับจ้างรู้ถึงความสามารถของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า ”ทูลองค์ชาย วันนี้คุณหนูไปที่วัดหลิงอิ่นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่านางจะกำลังตามหาตัวคนผู้หนึ่งอยู่ เราลองส่งคนไปตามหาเขาแล้ว แต่ก็หาตัวไม่พบพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นนางจึงยกเลิกคำสั่งนั้นไป”
”คนที่เจ้าว่าคือใคร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำบนนิ้ว
ทหารรับจ้างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวเขาได้อย่างชัดเจน ”พวกเรากองกำลังลับก็ไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูกล่าวเพียงแค่ว่าคนผู้นั้นใช้แซ่เพ่ย ไม่ได้กล่าวถึงอายุหรือรูปร่างหน้าตาของเขาแต่อย่างใด ทั้งยังไม่ได้บอกด้วยพ่ะย่ะค่ะว่านางต้องการตามหาเขาด้วยเหตุอันใด”
”เพ่ยหรือ” นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น ดวงตาของเขาลึกล้ำราวกับยามราตรีภายนอก ”นางใกล้ตื่นแล้ว ห้ามบอกนางเด็ดขาดว่าพวกเราคุยอะไรกัน”
ทหารรับจ้างก้มหน้าลงรับคำสั่ง ”พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตากลับมา และหยิบเสื้อคลุมสีดำขึ้นสวม ก่อนกลับไปที่ห้องบรรทมของตัวเอง
คนบนเตียงหลังนั้นยังหลับอยู่ ผมสีดำยาวถึงเอวของนางที่อยู่บนผ้านวมนุ่มๆ ทำให้นางดูน่ารักยิ่งนักในยามหลับใหล
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางยังไม่ตื่นเต็มตานัก ดวงตาของนางยังปิดสนิท อีกทั้งน้ำเสียงของนางก็ยังฟังดูงัวเงีย ”ท่านไปไหนมาหรือ มีนัดหารือกับพวกเสนาบดีหรือ”
”ไม่มีอะไร แค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอื้อมมือไปกอดนางทันที พร้อมกับใช้ฝ่ามือแตะแผ่นหลังนางอย่างแผ่วเบา ”เด็กดี เจ้านอนต่อเถอะ”
น้ำเสียงของเขาทุ้มอย่างมาก อาจเป็นเพราะว่าเขาคอยกล่อมให้นางหลับเช่นนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาจึงดูเชี่ยวชาญเรื่องนี้เอาการทีเดียว
ในไม่ช้า เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ผล็อยหลับไปจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองใบหน้าเล็กๆ อันเงียบสงบและงดงามที่ถูไถอยู่บนท่อนแขนของเขา พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเรียวสางเส้นผมสีดำที่อยู่ข้างหลังใบหูของนาง ดวงตาของเขาเริ่มจมดิ่งลงทีละน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าปิดบังอะไรไว้จากข้ากันแน่
วันต่อมา อากาศกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ทุกแห่งก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยสัญญาณแห่งชีวิตใหม่
ที่ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ มีคนสองคนนั่งอยู่เคียงข้างกัน
ดูเหมือนองค์ชายกำลังอารมณ์ดี เขาจึงนึกอยากสอนนางเขียนพู่กันขึ้นมา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนใฝ่เรียนรู้ด้วยตัวเอง สมัยก่อนตอนที่นางเป็นหงส์เพลิง นางก็ไม่เคยสนใจเรื่องพระไตรปิฎกเลยแม้แต่นิดเดียว นางรู้สึกทรมานยิ่งนักเวลาที่ต้องนั่งอยู่ในห้องฝึกปฏิบัติธรรมเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม
แต่อันที่จริงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสอนนางเขียนพู่กันเหมือนกัน เขาเพียงแค่อยากให้นางอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง จึงใช้การเขียนพู่กันมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น
โดยปกติแล้วนั้น หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเขียนเสร็จหนึ่งคำ นางก็จะขออะไรกินอีกหนึ่งคำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตามใจนาง เขาถึงกับไม่ปล่อยให้นางต้องคีบตะเกียบเองด้วยซ้ำ เขาแค่ต้องการให้นางนั่งอยู่ตรงนั้นในระหว่างที่เขารับหน้าที่ป้อนของกินให้
ท่าทางสนิทสนมของทั้งสองล้วนแต่เป็นธรรมชาติยิ่งนัก แม้จะเป็นแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยธรรมดา แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดอันยากจะอธิบายได้ แม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างงุ่มง่ามก็ตาม
เรื่องนี้ทำให้คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
บรรดานางกำนัลและขันทีต่างก็ไม่เคยเห็นคู่รักคู่ไหนในวังหลวงที่เหมือนกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นคนเข้าหายาก
อย่างไรพระชายาก็โด่งดังยิ่งนัก
อีกอย่างหนึ่ง วิธีการฆ่าคนของนางก็ยังเทียบเท่ากับองค์ชายสาม
แต่หลังจากได้รู้จักนาง พวกเขาก็พบว่าพวกเขาโชคดีอย่างมากที่ได้นางเป็นเจ้านายในวังหลวง
กิริยาท่าทางของพระชายายังคงเปี่ยมไปด้วยความทรงอำนาจเหมือนอย่างเคย นางไม่เคยเข้ามาคลุกคลีกับบรรดาข้ารับใช้
แต่นางก็ไม่เคยทำให้พวกเขาลำบากใจ และบางครั้งพวกเขาก็รู้สึกมึนงงด้วยซ้ำ
ใช่ เพราะนางค่อนข้างเซ่อซ่าทีเดียว
เรื่องบางเรื่องที่องค์ชายควรจะเป็นฝ่ายทำ พระชายาสามกลับเป็นคนทำให้เขาทั้งหมด เช่นเรื่องที่นางชอบส่งดอกไม้ให้กับองค์ชายสามอยู่บ่อยๆ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งก็คือเหตุการณ์ตอนที่เสนาบดีคนหนึ่งคิดจะพาบุตรสาวของตัวเองเข้ามาเป็นนางกำนัล ทั้งที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าแผนการจริงๆ ของเขาคืออะไร
เสนาบดีคนนั้นฉลาดไม่ใช่เล่นเหมือนกัน เขามาหาพระชายาโดยตรงแทนที่จะเป็นองค์ชาย
พระชายามองเขา จากนั้นจึงยิ้มและพูดเพียงประโยคเดียวว่า
”ใต้เท้าหลี่ ท่านไม่รู้หรือว่าข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเต็มที่”
ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางกำนัลทุกคนต่างก็คิดว่าในเวลานั้นพระชายาช่างหล่อเหลาไปถึงกระดูกเลยจริงๆ พวกนางถึงกับคิดเช่นนี้ออกมาเลยทีเดียว…