ตอนที่ 380 ไม่ใช่คนคิดฉวยโอกาสกับหล่อน
ตอนที่ 380 ไม่ใช่คนคิดฉวยโอกาสกับหล่อน
เมื่อหลินเซี่ยไปรับหู่จือแล้วกลับอาคารพักอาศัยพร้อมกับหวังซิ่วฟาง เธอก็พบว่าเจียงอวี่เฟยรออยู่ที่หน้าประตูอาคาร
พอเห็นว่าหลินเซี่ยและหวังซิ่วฟางเดินพูดคุยและหัวเราะเคียงคู่กันมา เจียงอวี่เฟยก็เอ่ยทักทายว่า “เซี่ยเซี่ย เธอไปไหนมา? ฉันรอเธอมาเกือบชั่วโมงแน่ะ”
“ฉันไปรับหู่จือจากโรงเรียนน่ะ”
เจียงอวี่เฟยกังวล ทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วพอเหลือบมองไปที่หวังซิ่วฟางก็รีบหยุดความคิดไว้กะทันหัน
หล่อนไม่อยากให้หวังซิ่วฟางรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดมากเกินไป
หวังซิ่วฟางเห็นเจียงอวี่เฟยแล้วก็ทำท่าทางเหมือนเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นลูกสาวของตัวเอง วางตัวอย่างสนิทสนมเป็นพิเศษ ถามว่า “อวี่เฟย มาถึงนานหรือยังจ๊ะ?”
“พี่…”
เดิมทีเจียงอวี่เฟยจะเรียกเธอว่าพี่สาวหวัง แต่ก็ตระหนักว่ามันไม่เหมาะสมอีกต่อไปที่จะเรียกแบบนั้น จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “น้าหวัง ฉันเพิ่งมาที่นี่ได้สักพักเองค่ะ ตั้งใจว่าจะมาหาเซี่ยเซี่ย”
หวังซิ่วฟางอายุมากกว่าเจียงอวี่เฟยแค่สิบปี เมื่อได้ยินเจียงอวี่เฟยเรียกหล่อนว่าน้า ก็รู้สึกมีความสุขมาก
เจียงอวี่เฟยเปลี่ยนท่าทางที่มีต่อหล่อน ก็เพราะยอมรับตัวตนของหล่อนได้อย่างสมบูรณ์
แต่เมื่อหวังซิ่วฟางคิดถึงทัศนคติของเจียงกั๋วเซิ่ง หล่อนก็รู้สึกเศร้าโศกขึ้นมาอีกครั้ง
“มาเถอะ เข้าไปในบ้านเราก่อน”
เจียงอวี่เฟยยังมีธุระต้องคุยกับหลินเซี่ย ดังนั้นหล่อนจึงไม่อยากไปที่บ้านของหวังซิ่วฟาง กล่าวปฏิเสธ “ฉันไม่ไปดีกว่าค่ะ”
หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปสิ ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยนี่? ในเมื่อเธออยู่ที่นี่แล้ว ก็ไปนั่งพักที่บ้านของเสี่ยวฮวาสักหน่อย ฉันขอกลับบ้านไปซักเสื้อผ้าให้หู่จือก่อน แล้วเธอค่อยมาหาฉันทีหลังก็ได้”
“งั้นก็ได้”
ก่อนเจียงอวี่เฟยจะมาที่นี่ หล่อนซื้อแตงโมติดมาด้วยสองลูก
หาล่อนหยิบแตงโมออกมาจากถุงตาข่ายข้างตัวแล้วมอบให้หลินเซี่ย จากนั้นแบกแตงโมอีกหนึ่งลูกที่เหลือตามหวังซิ่วฟางกลับไปที่บ้านของหล่อน
เจียงอวี่เฟยหันไปจูงมือเสี่ยวฮวาแทน ทั้งสามเดินกลับบ้านและพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี
ตั้งแต่นี้ไปเสี่ยวฮวาจะกลายเป็นน้องสาวของหล่อน เจียงอวี่เฟยยอมรับความสัมพันธ์นี้ได้อย่างสนิทใจ ไม่มีอุปสรรคหรือช่องว่างของความต่างวัยระหว่างหล่อนกับเสี่ยวฮวาเลย
หวังซิ่วฟางมีความสุขมากที่เจียงอวี่เฟยมาเยี่ยมในครั้งนี้ หล่อนต้องการเตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้กับเจียงอวี่เฟย แต่เมื่อพบว่าที่บ้านไม่มีวัตถุดิบก็เก้อเขินเล็กน้อย ตั้งใจว่าจะออกไปซื้ออาหาร
เจียงอวี่เฟยรั้งหล่อนไว้แล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะอยู่ที่นี่แค่แปบเดียว”
หวังซิ่วฟางกระตือรือร้นกว่า “ไม่ได้ ในเมื่อเธออยู่ที่นี่ทั้งที ไม่ว่ายังไงก็ต้องกินข้าวด้วยกันก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณเลยค่ะ”
ตอนนี้เย็นมากแล้ว ร้านขายของน่าจะทยอยปิดกันหมด ดังนั้นหวังซิ่วฟางจึงนวดแป้งบะหมี่ เปลี่ยนแผนมาทำบะหมี่กินแทน
ขณะที่นวดแป้ง หล่อนก็ถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด “ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะมาตั้งแต่แรก คงจะซื้อกับข้าวอร่อย ๆ มาต้อนรับเธอแล้ว”
“ฉันชอบกินบะหมี่มากนะคะ”
เสี่ยวฮวากำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ขณะที่เจียงอวี่เฟยเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยหวังซิ่วฟางทำกับข้าว
“อวี่เฟย เธอคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องระหว่างฉันกับพ่อของเธอเหรอ?”
เจียงอวี่เฟยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ของพวกคุณค่ะ”
ดวงตาของหวังซิ่วฟางสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นถามหยั่งเชิงต่อไป “ฉันหมายถึง เธอเคยคิดบ้างไหมว่าอยากให้พวกเราแต่งงานกันเมื่อไหร่?”
หวังซิ่วฟางเคยถามเจียงกั๋วเซิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาบอกว่าต้องการรอจนกว่าลูกสาวของเขาจะสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยและเจอคู่ครองเสียก่อน ถึงค่อยวางแผนเริ่มต้นชีวิตแต่งงานครั้งใหม่กับหล่อนอย่างจริงจัง
หวังซิ่วฟางรู้สึกไม่พอใจมากเมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว และกำลังพิจารณาว่าควรจะไปต่อกับเจียงกั๋วเซิ่งดีหรือไม่
เจียงอวี่เฟยเพิ่งจะเป็นนักศึกษาน้องใหม่ ต่อให้รอจนกว่าหล่อนจะเรียนจบ แต่ถ้าหล่อนยังหาแฟนไม่ได้ พวกเขาก็ต้องรออย่างเลื่อนลอยแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ?
ปกติแล้วคนที่ไม่แสวงหาการแต่งงานมีจุดประสงค์ในการออกเดตก็เพราะอยากฉวยโอกาส
แต่สำหรับเจียงกั๋วเซิ่ง เขาไม่เคยคิดจะฉวยโอกาสจากหล่อนเลยสักครั้ง
พวกเขาออกไปไหนมาไหนด้วยกันมานาน สิ่งเดียวที่เจียงกั๋วเซิ่งเคยทำกับหล่อนคือการจับมือกันอย่างเดียว
หล่อนไม่เข้าใจเลยว่าเขาแค่เป็นคนซื่อบื้อเกินไป หรือความจริงแล้วเขาไม่เคยจริงใจกับหล่อนเลย
เจียงอวี่เฟยหั่นมันฝรั่งกับมะเขือเทศ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่พวกคุณคิดว่ารู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว และรู้สึกว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตัวเองกำลังมองหาอยู่ พวกคุณก็แต่งงานได้แล้วค่ะ ฝั่งฉันไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรเลย”
หวังซิ่วฟางรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินคำพูดของเจียงอวี่เฟย
เจียงอวี่เฟยเป็นเด็กผู้หญิงที่มีเหตุผลและมีทัศนคติที่เปิดกว้าง ทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานใหม่ของผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่แรก
ดังนั้นปัญหาหลักควรอยู่ที่เจียงกั๋วเซิ่ง
หวังซิ่วฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเล่าให้หล่อนฟังเกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างระหว่างตัวเองกับเจียงกั๋วเซิ่ง “แต่พ่อของเธอบอกว่าเขาจะยังไม่พิจารณาการแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ เขาบอกว่าเราสองคนจะยังไม่แต่งงานกันจนกว่าเธอจะสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย และมีคู่ครองมั่นคงซะก่อน”
“อวี่เฟย ขอบอกตามตรง ถ้าพ่อของเธอยังมีความคิดแบบนี้ ฉันอาจจะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของเราสองคนใหม่ ถ้าฉันยอมลากยาวรอเขาไปสามสี่ปี คนอื่นล่ะจะมองฉันยังไง? ฉันเป็นผู้หญิงนะ ฉันเองก็คำนึงถึงชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกัน แล้วฉันก็ต้องคิดถึงเสี่ยวฮวาด้วย”
เจียงอวี่เฟยไม่คิดเลยว่าพ่อของหล่อนจะมีทัศนคติแบบนี้
ตัวเองตกหลุมรักครั้งใหม่แท้ ๆ แต่กลับไม่รีบแต่งงานโดยไว
นี่มันต่างอะไรจากการทำตัวเป็นผู้ชายที่เอาแต่ได้กัน?
หล่อนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินหวังซิ่วฟางบอกว่าพ่อของหล่อนต้องการรอจนกว่าหล่อนจะเป็นฝั่งเป็นฝา ถึงค่อยคิดเรื่องแต่งงานของตัวเอง
หล่อนรีบแสดงจุดยืนทันที “น้าหวังคะ อย่ากังวลไปเลย ไว้ฉันกลับไปเมื่อไหร่จะคุยกับพ่อเรื่องนี้เอง ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ พ่อไม่จำเป็นต้องห่วงฉันเลย อีกหน่อยฉันก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง พ่อไม่อาจบงการชีวิตฉันได้ตลอดไป ถึงยังไงครอบครัวก็ยังมีที่สำหรับฉันเสมอถูกไหมคะ?”
หวังซิ่วฟางพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอน พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
หลังเจียงอวี่เฟยขอคำยืนยันจากหวังซิ่วฟาง หล่อนก็พูดด้วยความจริงใจ “ไม่ต้องกังวลนะคะ พ่อของฉันเลี้ยงดูฉันด้วยตัวเองคนเดียวมาหลายปี ไม่เคยคิดถึงเรื่องส่วนตัวเลย เขาแค่รู้สึกสงสารที่ฉันกำพร้าแม่ เขาจึงมักจะคิดว่าฉันไม่มีแม่ ก็เลยคำนึงถึงความรู้สึกของฉันก่อนเสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ แต่ฉันรับรองเลยว่าเขาเป็นคนที่เชื่อถือได้และเป็นคนดีแน่นอน ฉันโตแล้ว ฉันเองก็ควรคำนึงถึงความสุขของพ่อด้วยเหมือนกัน คุณต้องไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้กับความสัมพันธ์นี้ รอให้ฉันกับเสี่ยวฮวาถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เรามาหาวันว่างจัดการธุระนี้ให้เสร็จกันดีกว่า นับจากนี้ไปเราจะได้กลายเป็นครอบครัวที่ถูกต้องตามกฎหมายกันสักที”
หวังซิ่วฟางยิ้มอย่างเขินอายพร้อมกับพยักหน้า “ได้ ฉันว่าตามเธอ”
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งกินข้าวและดูทีวีด้วยกัน
ทีวีที่บ้านของหวังซิ่วฟางเป็นจอสีขาวดำ เสี่ยวฮวาจึงร้องขอให้แม่ของหล่อนซื้อทีวีสี
เจียงอวี่เฟยพูดเบา ๆ “เสี่ยวฮวา ไม่ต้องรีบซื้อหรอก ทีวีที่บ้านพี่สาวเป็นจอภาพสี ต่อไปนี้ถ้าเราไปอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันเมื่อไหร่ค่อยดูทีวีสีกับพี่สาวนะ”
ก่อนหน้านี้หวังซิ่วฟางเคยถามความคิดเห็นของเสี่ยวฮวาด้วยเช่นกัน เมื่อเสี่ยวฮวาบอกว่าชอบลุงเจียง หล่อนจึงกล้าพัฒนาความสัมพันธ์กับเจียงกั๋วเซิ่งต่อไป
ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวฮวาจึงเข้าใจว่าเจียงอวี่เฟยหมายถึงอะไร
หล่อนรู้ว่าแม่ของตนกำลังจะแต่งงานกับลุงเจียง
หล่อนมองไปที่เจียงอวี่เฟยและถามอย่างสงสัย “พี่สาว แล้วหนูจะได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของพี่สาวเมื่อไหร่เหรอคะ?”
เจียงอวี่เฟยลูบหัวหล่อนแล้วพูดว่า “อีกไม่นานหรอกจ้ะ”
เมื่อพูดถึงทีวี หวังซิ่วฟางก็มองไปที่เจียงอวี่เฟยและพูดคุยกันแบบสบายๆ
“อวี่เฟย เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ดูรายการประกวดนางแบบที่ออกอากาศทางทีวีด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนเธอมาก ๆ เลยล่ะ”
“หา?” เจียงอวี่เฟยตกใจมากจนมือที่ถือตะเกียบสั่นระริก
หวังซิ่วฟางก็ดูการประกวดนางแบบเหมือนกันเหรอ?
“ที่จริง เหมือนจะมีรูปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ด้วยนะ”
หวังซิ่วฟางกลัวว่าเจียงอวี่เฟยจะไม่เชื่อ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ของหลายวันที่ผ่านมาออกจากลิ้นชัก แล้วกางออกให้หล่อนอ่าน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตายแล้ว ความจะแตกเปล่าเนี่ยอวี่เฟย แก้ข่าวยังไงดี พ่อรู้เมื่อไหร่ตายแน่
ไหหม่า(海馬)