ตอนที่ 386 เสิ่นอวี้อิ๋งไม่มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ตอนที่ 386 เสิ่นอวี้อิ๋งไม่มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัย
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนกรกฎาคม เหลือเวลาแค่สามวันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทว่าเสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่กลับมาที่ไห่เฉิงเสียที เรื่องนี้ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยเป็นกังวลมาก
เขาไม่รู้ว่าเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเสิ่นอวี้อิ๋ง ไม่รู้เลยว่าทำไมจนป่านนี้แล้วหล่อนถึงยังไม่กลับมา
เมื่อเซี่ยหลานกลับมาจากที่ทำงานเพื่อผลัดเวรดูแลเสิ่นอวี้หลงแทนเขา ผู้เฒ่าเซี่ยก็ถามหล่อนด้วยความไม่พอใจมากว่า “เสี่ยวหลาน เมื่อไหร่เสิ่นเถี่ยจวินจะพาเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาซะที? วันสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้จะถึงในเร็ว ๆ นี้แล้ว หล่อนยังอยากสอบเรียนต่อเข้าอยู่ไหม? นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตนะ ทำไมถึงไม่กระตือรือร้นเลย?”
ดวงตาของเซี่ยหลานกะพริบปริบ ตอบกลับว่า “พ่อ เสิ่นอวี้อิ๋งยังรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่เลยค่ะ ช่วงนี้หล่อนน่าจะยังกลับมาไม่ได้”
“เด็กคนนั้นป่วยเป็นอะไรกัน? ใช้เวลารักษานานขนาดนี้เลยเหรอ?”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าเซี่ยก็สะดุ้งใจ เขามองเซี่ยหลานซึ่งเอาแต่หลบสายตาอยู่แล้วถามว่า “เสิ่นอวี้อิ๋งป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ใช่ไหม? พวกเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากเราอยู่หรือเปล่า?”
เซี่ยหลานปฏิเสธ “เปล่าค่ะพ่อ”
การแสดงออกของเซี่ยหลานบ่งบอกว่ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยมั่นใจในการคาดเดาของเขามากยิ่งขึ้น เขาคว้ามือของเซี่ยหลานแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลาน ถ้ามีเรื่องอะไรทำนองนั้นจริง ๆ บอกพ่อเถอะนะ พ่อรับได้ แม่ของลูกรู้จักหมอจากโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้ตั้งมากมาย แถมตอนนี้หมอแผนจีนเย่ก็อยู่ที่ไห่เฉิงด้วย ไม่ว่าโรคอะไรก็รักษาได้ทั้งนั้น อย่าพยายามปิดบังเพราะกลัวเราจะกังวลเลย พ่อเป็นครูมาหลายสิบปี ความอดทนสูงพอประมาณ บอกพ่อมาตามตรงเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เซี่ยหลานตบหลังมือผู้เป็นพ่อแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อ ไม่มีอะไรร้ายแรงจริง ๆ ค่ะ ถ้าหล่อนป่วยหนักจริง คิดว่าฉันจะยังนิ่งนอนใจอยู่ที่ไห่เฉิงได้เหรอ?”
เพื่อขจัดข้อสงสัยของพ่อ เซี่ยหลานจึงโทรหาเสิ่นเถี่ยจวิน
หลังจากที่เสิ่นเถี่ยจวินและหลิวจื้อหมิงพาเสิ่นอวี้อิ๋งย้ายไปปักหลักอยู่ในปินเฉิง พวกเขาก็อยู่เป็นเพื่อนหล่อนอีกสักพัก หลังจากที่หล่อนเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเต็มที่ ไม่นานก็ว่าจ้างพี่เลี้ยงเด็กได้คนหนึ่ง จึงกำลังวางแผนที่จะกลับไปไห่เฉิง
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินได้ยินว่าพ่อตาของเขาต้องการคุยกับเขา จึงพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “พ่อ หล่อนไม่ได้ป่วยเป็นอะไรร้ายแรงจริง ๆ ครับ ผมเพิ่งพาหล่อนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจมากเกินไป ช่วงนี้ควรใช้เวลาพักผ่อนคลายร่างกายเพื่อให้สภาพจิตใจฟื้นคืนสู่สภาพดีที่สุด อย่าบังคับให้หล่อนต้องเรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงอีกเลย หล่อนต้องนอนหลับให้เพียงพอ พักฟื้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง สุขภาพของหล่อนถึงจะค่อย ๆ ฟื้นตัว”
เสิ่นอวี้อิ๋งเองก็ได้คุยกับผู้เฒ่าเซี่ยทางโทรศัพท์เช่นกัน น้ำเสียงหล่อนดูสดใสกว่าเดิมมาหน่อย บอกแค่ว่ารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้เมื่อต้องโหมอ่านหนังสือเป็นเวลานาน แทบนอนไม่หลับเมื่อคิดถึงการสอบเข้าวิทยาลัย อาจเป็นเพราะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มากเกินไป เพราะไม่อยากให้ทุกคนผิดหวัง
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เซี่ยหลานพูดกับพ่อของเธอว่า “พ่อ อนาคตของลูกฉันสำคัญก็จริง แต่สุขภาพของหล่อนสำคัญยิ่งกว่า ฉันคิดว่าคงเป็นการดีกว่าที่เราจะไม่กดดันหล่อนมากเกินไป หล่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”
“พ่อเคยได้ยินเรื่องชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอาการทางจิตและต้องรับการรักษากับหมอแผนจีนเย่ไหม? เฉินเจียเหอเป็นคนพาเขามาที่นี่ ฉันได้ยินมาว่าตอนนั้นเขาสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ทำให้เกิดอาการวิตกจริตอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ความผิดปกติทางจิตใจ พ่อคะ พวกเราต่างก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับเสิ่นอวี้อิ๋งหรอกนะคะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยเคยได้ยินหมอเย่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้ป่วยที่ชื่อเอ้อร์เลิ่งแล้ว
ที่จริงแล้วมีหลายกรณีที่นักเรียนชั้นมัธยมปลายต้องประสบปัญหาทางจิต เพราะได้รับผลกระทบจากความผิดหวังในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ครั้นผู้เฒ่าเซี่ยได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งก็เสี่ยงเข้าข่ายอาการทางจิตเนื่องจากได้รับความเครียดทางจิตใจสูง เขาจึงรู้สึกหนักใจมาก ก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?”
ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกไม่สบายใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
เขาคาดเดาว่าหลังจากเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาในเมือง ทุกคนอาจจะไม่ได้ดูแลสภาพจิตใจของหล่อนอย่างเพียงพอ แต่กลับสรรหาเรื่องต่าง ๆ มากดดันหล่อนแทน แถมเขาเองยังฝากหล่อนเข้าเรียนซ้ำที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง แน่นอนว่าบรรยากาศการเรียนการสอนภายในโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างตึงเครียดมาก ครูอัดบทเรียนอย่างหนัก นักเรียนก็เรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เสิ่นอวี้อิ๋งเพิ่งเข้ามาในไห่เฉิงได้ไม่นาน เป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับมันได้ และเกิดการต่อต้านตามมา
เซี่ยหลานมองพ่อของหล่อน พูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง “พ่อ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเสิ่นอวี้อิ๋งในตอนนี้ไม่ใช่อนาคตของหล่อน แต่คือการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคม พ่อน่าจะสังเกตเห็นแล้วว่ากระบวนความคิดของหล่อนมีปัญหา เราต้องอบรมแนวคิดและทัศนคติต่อชีวิตให้หล่อนใหม่ถึงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตราบใดที่พฤติกรรมไม่ดีพอ ไม่ช้าก็เร็วคงประสบความสูญเสียเข้าสักวัน”
ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เซี่ยหลานตระหนักถึงปัญหาใหญ่ในตัวลูกสาวของตัวเอง เขาพูดเสียงขรึมว่า “ลูกพูดถูก เด็กคนนี้ความคิดบิดเบี้ยวจริง ๆ หล่อนควรถูกอบรมด้านการใช้ชีวิตให้ดี ก่อนหน้านี้หล่อนทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ บิดเบือนความจริง แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสงสารเห็นใจจากเรา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ลูกต้องสั่งสอนหล่อนเสียใหม่ อย่าปล่อยให้หล่อนมีสันดานแบบเดียวกับสองพ่อลูกตระกูลเสิ่นนั่น”
“พ่อ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ รอให้อาการหล่อนดีขึ้นอีกหน่อย ฉันจะสั่งสอนหล่อนเป็นอย่างดี”
เห็นว่าผู้เฒ่าเซี่ยหยุดพูดเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเสิ่นอวี้อิ๋ง ในที่สุดเซี่ยหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่มีทางที่หล่อนจะบอกพ่อตามตรงว่าตอนนี้เสิ่นอวี้อิ๋งกำลังอุ้มท้องลูกของผู้ชายคนไหนสักคน และย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อรอวันคลอด
หล่อนไม่กล้าเอ่ยปากบอกเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าอับอายขายหน้าแบบนั้นได้
พ่อแม่ของหล่อนเป็นปัญญาชนที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากคนอื่น ๆ ถ้ามีเรื่องผิดศีลธรรมเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลัง พวกเขาคงโกรธจนกระอักเลือดตายแน่ ด้วยบุคลิกของพวกเขา เกรงว่าทั้งสองอาจตัดความสัมพันธ์กับพวกตนด้วยซ้ำไป
เพื่อเห็นแก่หน้าของทุกคน เด็กคนนั้นจะไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างแห่งวัน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งในหนังสือพิมพ์และตามท้องถนนมีการประกาศข่าวเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ร้านตัดผมของหลินเซี่ยจึงจัดกิจกรรมลดค่าบริการตัดผมครึ่งราคาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย
ช่วงสุดสัปดาห์ นักเรียนจำนวนมากต่างมาที่นี่เพื่อตัดผม บทสนทนาในร้านตัดผมจึงเป็นข่าวเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่
หลินเซี่ยนับวัน พบว่าเสิ่นอวี้อิ๋งน่าจะตั้งท้องมาเกือบห้าเดือนแล้ว เส้นทางชีวิตของหล่อนเป็นไปตามชีวิตชาติที่แล้วทุกประการ คงเป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ชาติที่แล้วเสิ่นอวี้อิ๋งไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จริง แต่เนื่องจากเธอเดินสายทำงานตามกองถ่ายเพื่อแต่งหน้าให้กับนักแสดง เสิ่นอวี้อิ๋งจึงมักจะติดตามเธอไปทุกกองถ่าย เข้าหาผู้กำกับระดับโนเนม แล้วใช้วิธีการบางอย่างจนได้รับโอกาสให้แสดงเป็นตัวประกอบ จากนั้นหล่อนยังคงใช้วิธีการแบบเดิม ๆ ต่อไป พร้อมทั้งอาศัยความช่วยเหลือจากพ่อบุญธรรมลึกลับ ทำให้หล่อนสามารถตั้งหลักในวงการบันเทิงได้อย่างมั่นคง
แต่ในชาตินี้ เธอจะไม่มีวันมอบโอกาสนั้นให้กับเสิ่นอวี้อิ๋งอีก
ถึงเสิ่นอวี้อิ๋งจะฉลาดเจ้าแผนการมากแค่ไหน หรืออาจจะกลับไปสู่อาชีพนักแสดงเหมือนในชาติก่อนได้โดยใช้วิธีสกปรกบางอย่าง แต่เมล็ดพันธุ์ปีศาจในท้องของเสิ่นอวี้อิ๋งจะกลายมาเป็นข้อต่อรองที่ดีที่สุดของเธอนับจากนี้ไป
ตราบใดที่เสิ่นอวี้อิ๋งยืนยันจะคลอดนังเด็กปีศาจ เด็กนั่นก็ไม่ต่างจากระเบิดเวลาในอนาคต
หลินเซี่ยวุ่นอยู่กับงานจนถึงบ่าย ในที่สุดก็หาเวลาหยุดพัก และข้ามไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามเพื่อกินข้าว
“พ่อ แม่ ไปไหนกันหมดคะ?”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินเสียงของหลินเซี่ย หล่อนก็ออกมาจากห้องครัว มองหลินเซี่ยด้วยความเห็นใจและถามว่า “เซี่ยเซี่ย ว่างแล้วเหรอลูก? อยากกินอะไรบอกแม่ได้เลย ตอนเที่ยงแม่ขอให้เสี่ยวเยี่ยนเอาข้าวกลางวันไปฝากลูกแล้ว แต่เสี่ยวเยี่ยนบอกว่าลูกงานยุ่งเกินกว่าจะปลีกตัวมากินข้าวได้ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ”
“วันนี้นักเรียนมาตัดผมกันเยอะมาก เลยค่อนข้างยุ่งค่ะ”
หลินเซี่ยไม่เห็นเซี่ยเหลย จึงถามว่า “พ่อไปไหนคะ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบว่า “เขาไปส่งอาหารให้พี่ชายของลูกน่ะสิ อยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
“ทำไมต้องลำบากไปส่งข้าวส่งน้ำพี่ชายด้วยล่ะคะ?”
“พี่ชายของลูกกว่าจะเลิกงานก็ดึกดื่น ทันทีที่กลับถึงบ้านก็หลับเป็นตาย ตื่นมากินข้าวอีกทีช่วงบ่ายโน่น พ่อบอกว่ากิจวัตรนี้ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ชายที่ยังเป็นหนุ่มแน่น หลังเที่ยงพอมีเวลาว่างหลังจากลูกค้าเริ่มซา เขาก็ออกไปส่งข้าวให้พี่ชายของลูกทันที”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลิวกุ้ยอิง หลินเซี่ยก็ยิ้มอย่างมีความหมาย “โอ้… พ่อใจดีมากเลยค่ะ เขาใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่ของพี่ชายเหมือนเป็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาเอง”
หลินเซี่ยแสดงออกว่าเธอพอใจมาก ดูเหมือนพ่อจะเกิดความรู้แจ้งว่าตัวเองต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าหาหลินจินซานเพื่อปลูกฝังความสัมพันธ์กับเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่างนังอวี้อิ๋งจะใช้วิธีไต่เต้าไหนได้อีกนอกจากวิธีนั้น ทำเอารู้สึกเสียดายอนาคตนักแสดงคนอื่นที่พยายามในทางสุจริตแทบตายก็ไม่ได้บทที่ตัวเองอยากได้เลย
ไหหม่า(海馬)