ตอนที่ 490 อั่งเปานี้หนักไปหน่อย
ว่ากันว่าปีใหม่บรรยากาศใหม่ แต่ฉินหลิวซีกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด เพราะขาของนางพิการอีกแล้ว แม้เพียงแค่ชั่วคราว แต่คราวนี้มีจุดที่พิการเพิ่มขึ้นคือขาพิการทั้งสองข้าง
ห้าโทษสามวิบัติ ร้ายไม่เบาเลย
หึ ฮ่าๆๆ
เฟิงซิวสีหน้าราวกับกำลังดูเรื่องสนุก อดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ ถูกเถิงเจาจ้องตาถลน
“เจ้ามองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร อาจารย์ของเจ้าทำเป็นคนดี ยืนกรานจะรับผิดชอบเรื่องนี้ เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่ขัดกับเจตจำนงค์ของสวรรค์ หากสวรรค์ไม่ลงโทษนางแล้วจะลงโทษใคร”
เถิงเจาสบถอย่างเย็นชา “หากท่านอาจารย์ไม่ใช่คนดี เจ้าอยากจะสมปรารถนาก็เป็นเรื่องยาก ตอนนี้ยังมีหน้ามาเอ่ยประชดประชันอีก”
เฟิงซิวถูกแทงใจดำ “!”
ปีศาจน้อยมีความสามารถเพิ่มขึ้นแล้ว แทงทะลุหัวใจด้วยดาบเล่มเดียว
ซือเหลิ่งเย่ว์กับซือถูเดินเข้ามา เห็นฉินหลิวซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตามีความกังวลอย่างเปิดเผย “เสี่ยวซี ขาของเจ้า…”
บทลงโทษของห้าโทษสามวิบัติ ฉินหลิวซีต้องแบกรับเพราะช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตให้นางหรือ โทษของห้าโทษสามวิบัติ สามวิบัตินั้นคืออะไร ขาดอำนาจ ชีวิตสั้น ขาดแคลนเงินทอง?
ซือเหลิ่งเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึม ตกอยู่ภายใต้การตำหนิตัวเอง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ชินเอง ก็แค่พิการไม่กี่วัน ไม่ได้พิการตลอดชีวิต ก่อนหน้านี้แค่ครึ่งเดือนก็หายแล้ว” ฉินหลิวซียิ้ม
เฟิงซิวสบถ “เพราะเรื่องเล็กจึงเป็นแค่ครึ่งเดือน แต่ครั้งนี้เจ้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตให้นาง อยากจะเป็นแค่ครึ่งเดือน ข้าว่ายาก”
การเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเท่ากับการต่อกรกับสวรรค์ ผู้ที่ขัดเจตจำนงค์สวรรค์ จะต้องถูกสวรรค์ลงโทษ เพียงให้นางพิการก็นับว่าเบาแล้ว เขาคิดว่านางจะถูกฟ้าผ่าด้วยซ้ำ!
“หากยังไม่หยุดซ้ำเติมข้าจะเผาขนเจ้า” ฉินหลิวซีจ้องเขา
เฟิงซิวเอนกายพิงเก้าอี้อย่างขี้เกียจ หากข้าไม่พูดออกมา บ่นเจ้าในใจเจ้าจะได้ยินหรือ
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าซือเหล่งเย่ว์ขมวดคิ้ว จึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าไปฟังจิ้งจอกเถื่อนพูดไร้สาระ เพียงแค่เดินไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ผ่านไปสักพักก็จะดีขึ้น ความจริงนี่ยังนับว่าดีแล้ว เพียงแค่พิการ ข้าคิดว่าเมื่อทำลายคำสาปเลือดแล้วจะถูกฟ้าผ่าทันทีเสียอีก เอ่อ…”
ยิ่งฉินหลิวซียิ่งเอ่ยสีหน้าของซือเหล่งเย่ว์ก็ยิ่งแย่ขึ้น รีบเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้ถูกฟ้าผ่า แสดงว่าการช่วยเจ้านั้นนับว่าเป็นบุญ สวรรค์ก็เห็นด้วย”
การปลอบใจคนเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถมาก ข้าไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นจริงๆ !
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยว่า “ข้าสามารถทำอะไรชดใช้ได้บ้าง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าทำความดีสะสมบุญ จะได้หรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “แม้ว่าจะทำเพื่อสะสมบุญ แต่ความดีก็คือความดี ล้วนสะท้อนกลับคืนสู่เจ้า”
การทำความดีเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ บางทีสำหรับบางคนที่ทำเป็นผู้สูงส่งอาจเรียกได้ว่าการเสแสร้ง แต่เมื่อความปรารถนาดีไปสู่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เช่นนั้นก็จะเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
ซือเหลิ่งเย่ว์ “ข้าเข้าใจแล้ว ปีนี้หิมะตกหนักมาก คาดว่าคงทำลายบ้านเรือนของคนยากจนไปหลายหลัง ท่านพ่อ ท่านไปให้หัวหน้าผู้เฒ่าจัดการ บำเพ็ญการกุศลทำความดีในนามของเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิง”
“อืม” ซือถูมองไปที่เท้าของฉินหลิวซีด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นำใบโฉนดยัดกลับคืนใส่มือของซือเหลิ่งเย่ว์ “เจ้าให้เองเถิด”
ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นใบโฉนดที่คุ้นเคย เดินไปมอบให้ฉินหลิวซี “ให้เจ้าเป็นอั่งเปา”
ฉินหลิวซียิ้มแล้วรับมา “มีอั่งเปาด้วยหรือ…นี่มันอะไรกัน”
นางมือสั่น ใบโฉนดตกลงพื้น
นางคิดว่าอั่งเปาที่ซือเหลิ่งเย่ว์ให้คือตั๋วเงิน แต่สิ่งนี้คืออะไร เอกสารโฉนดเหมืองหยก?
เดี๋ยวก่อน คุณหนูใหญ่ตระกูลซือ อั่งเปานี้หนักเกินไปจริงๆ รับไว้ไม่ได้
“ทำไมหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์หยิบใบโฉนดขึ้นมา เอ่ยว่า “เจ้าไม่ชอบหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าใช้หินหยกวางค่ายอาคมกับทำเครื่องรางยันต์ต่างๆ จำนวนมาก”
ฉินหลิวซีหัวใจแตกสลาย ล้วนเป็นเด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่นางสามารถนำเหมืองหยกมามอบเป็นอั่งเปาได้ตามอำเภอใจ แล้วตนล่ะ เพียงแค่เงินค่าตะเกียงน้ำมันก็ยังต้องขี้เหนียวกับชิงหย่วน
เทียบกันแล้วช่างต่างกันเหลือเกิน
“นี่คือเหมืองหยก ไม่ใช่หยกหนึ่งก้อน เจ้ามอบให้ข้า คนในเผ่าเห็นด้วยหรือ” ฉินหลิวซีพูดไม่ออก
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าเป็นหัวหน้าตระกูลซือ จากนี้ไปก็คือแม่มดแห่งแม่มดขาว เรื่องในตระกูลซือ ข้าตัดสินใจเอง”
ฉินหลิวซีตกตะลึง
แม้แต่เฟิงซิวก็หันมามอง
แม่มด?
ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่ได้ปิดบัง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าหมดสติ ได้รับการสืบทอดจากจากแม่มดศักดิ์สิทธิ์ จากนี้ไปข้าจะฝึกพลังแม่มด สืบทอดแม่มดขาวตระกูลซือจากรุ่นสู่รุ่น”
ฉินหลิวซีถอนหายใจ “แม่มดศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าผู้นี้นี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ยังคงหลงเหลือความยึดติดไว้อยู่ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาฝึกบำเพ็ญมากแค่ไหน และต้องวางแผนนานแค่ไหน”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “ดังนั้น อย่าว่าแต่เหมืองหยกเลย ทั้งตระกูลซือข้าก็ให้เจ้าได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าจดหมายของแม่มดศักดิ์สิทธิ์เอ่ยไว้ว่าอย่างไร เมื่อคำสาปเลือดตระกูลซือถูกทำลาย ตระกูลซือจะต้องยกย่องบุตรสวรรค์เป็นผู้นำ ติดตามปรนนิบัติ ไม่ขัดคำสั่ง”
ฉินหลิวซีรู้สึกตกใจกับท่าทางเอ่ยคำสาบานอย่างจริงจังของซือเหลิ่งเย่ว์จนเกือบจะสะดุ้ง เอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ดวงตาที่สวยงามของซือเหลิ่งเย่ว์มืดลง “เพราะข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ไม่ใช่” เมื่อฉินหลิวซีเห็นสาวงามขมวดคิ้ว เสียใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็รู้สึกผิดและปวดใจ เอ่ยว่า “ข้าหมายถึง พวกเราที่เข้าสู่ลัทธิเต๋า จะไม่รับทาสหรือบ่าวรับใช้ อาเย่ว์ เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองก็พอแล้ว”
เฟิงซิวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มองดูท่าทีของซือเหลิ่งเย่ว์ แล้วมองฉินหลิวซีที่ท่าทางรู้สึกผิด ทันใดนั้นก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
ซือเหลิ่งเย่ว์ผู้นี้ใช้การถอยเป็นการโจมตี ใช้ความงามล่อลวงนาง
และเห็นได้ชัดว่าฉินหลิวซีไม่สามารถควบคุมได้ เขารู้อยู่แล้วว่ารูปลักษณ์อันงดงามของนางนั้นอันตรายมาก
เฟิงซิวเอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่มดส่วนแม่มด ลัทธิเต๋าส่วนลัทธิเต๋า จะเอามามัดรวมกันได้อย่างไร ข้าเห็นว่าคำสาปเลือดถูกทำลายแล้ว พลังจิตวิญญาณเผ่าของพวกเจ้าก็ฟื้นคืนชีพแล้ว ในเมื่อเจ้าต้องการสืบทอดแม่มดขาว เช่นนั้นก็ฝึกฝนอยู่ที่เผ่านี้อย่างสบายใจ อย่างไรเสียเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว พึ่งจะเริ่มฝึกบำเพ็ญพลังแม่มด นับว่าช้าไปหน่อย”
ใครก็ตามที่ดึงดูดความสนใจของนายท่านน้อย ไม่ว่าชายหรือหญิง มาหนึ่งคนก็จัดการหนึ่งคน
ซือเหลิ่งเย่ว์เหลือบมองเขา “ปีศาจกับลัทธิเต๋ายังมัดรวมกันได้เลย แล้วเหตุใดแม่มดกับลัทธิเต๋าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน”
ทั้งสองคนสบตากันกลางอากาศ มีประกายไฟลอยไปมา
เฟิงซิว ‘คิดจะแย่งตำแหน่งข้า แม่สาวน้อย ฝันไปเถอะ!’
ซือเหลิ่งเย่ว ‘ข้าไม่แย่ง ข้าจะเอาตำแหน่งอื่น!’
ฉินหลิวซีรู้สึกว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน กระแอมขึ้นมา เอ่ยว่า “คือว่า พวกเจ้ากำลังทะเลาะกันหรือ”
“เปล่า / ไม่ใช่เลย”
ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
ซือเหลิ่งเย่ว์ยังคงยื่นใบโฉนดให้ฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ของในตระกูลซือของข้าก็เป็นของเจ้าด้วย รับไปเถิด เป็นเงินไม่กี่ตำลึงหรอก”
คำสาปเลือดถูกทำลายแล้ว เหตุใดนิสัยจึงเปลี่ยนเป็นเผด็จการขึ้นมา สาวงามเย็นชาผู้นั้นไปไหนแล้ว
ฉินหลิวซีไม่รับ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ต้องการมากมายเพียงนั้น เจ้าแค่ส่งให้ข้าสักเล็กน้อยทุกปีก็พอแล้ว อาเย่ว์ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าชดใช้หรือรู้สึกผิด ที่ข้าทำลายคำสาปเลือดนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะเงินทอง เพราะข้าคิดว่าการที่ช่วยเจ้าหนึ่งคนก็เท่ากับช่วยชีวิตคนเป็นหมื่น นี่ก็เป็นบุญกุศลของข้าเช่นกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด และยิ่งไม่จำเป็นต้องชดใช้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือยึดหลักแม่มดสายขาว ทำความดี สั่งสมคุณธรรม ช่วยเหลือผู้คน อาเย่ว์ เจ้าทำความดี ข้าก็จะได้บุญ หากเจ้าทำความชั่วเช่นนั้นข้าก็จะถูกสวรรค์ลงโทษ”
การช่วยชีวิตบางคนอาจเป็นการทำร้ายชีวิตคนนับไม่ถ้วน ในขณะที่การช่วยชีวิตบางคนอาจช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย นี่คือการวัดผลการกระทำของฉินหลิวซี