คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 491 ข้าก็มีตอนที่ถูกลูกศิษย์กตัญญูจนตายเช่นกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 491 ข้าก็มีตอนที่ถูกลูกศิษย์กตัญญูจนตายเช่นกัน

ในช่วงตรุษจีนฉินหลิวซีไม่มีอะไรทำ ขาของนางก็พิการชั่วคราว เมื่อเห็นพลังจิตวิญญาณของตระกูลซือฟื้นคืนมา จึงถือโอกาสพาเถิงเจาพักอยู่ที่นี่อีกหลายวันเพื่อฝึกบำเพ็ญ เถิงเจาท่องบทสวดลัทธิเต๋าและคาถาต่างๆ ทุกวัน ฝึกฝนบำเพ็ญเต๋า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณที่นี่แข็งแกร่งหรือไม่ วิชาเต๋าของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สามารถวาดยันต์คุ้มภัย ยันต์ต่อสู้ ยันต์ปราบวิญญาณร้ายได้แล้ว ซ้ำยังสามารถจำแนกจุดฝังเข็มบนร่างกายได้อย่างแม่นยำ

ส่วนฉินหลิวซี หลังจากที่ให้เฟิงซิวส่งเจ้าอาวาสชิงหลานกลับไป ทุกวันนี้นางก็เป็นคนไร้ประโยชน์ นอกจากชี้แนะลูกศิษย์น้อยแล้ว ก็เพียงได้แลกเปลี่ยนความรู้วิชาเต๋าและวิชาแม่มดกับซือเหลิ่งเย่ว์ กินๆ นอนๆ ไม่ทำอะไร

ซือเหลิ่งเย่ว์บอกว่าได้รับสืบทอดมา ซึ่งเป็นเรื่องจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดิมทีมีสายเลือดแม่มดอยู่แล้วหรือไม่ การฝึกบำเพ็ญวิชาแม่มดของนางก็มีความสามารถและพรสวรรค์อย่างยิ่ง เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ตระกูลซือไม่มีผู้ที่เป็นสายเลือดฝึกวิชาแม่มดตั้งแต่ห้าสิบปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตำราคาถาและเครื่องมือโบราณจะสูญหายไป พวกมันถูกเก็บไว้ในสถานที่ลับอย่างแท้จริง เพื่อรอที่จะเห็นแสงสว่างอีกครั้งหลังผ่านพ้นช่วงเวลาฝนตกหนักในวันหนึ่ง

ตอนนี้เจ้านายของพวกมันได้มาแล้ว

หลังจากที่หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่ามอบทุกสิ่งอย่างในดินแดนลับให้กับซือเหลิ่งเย่ว์ด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขาก็ล้มลง

ฉินหลิวซีจับชีพจร ส่ายหน้าภายใต้สายตาคาดหวังของซือเหลิ่งเย่ว์ อาฉี และคนอื่นๆ

ซือเหลิ่งเย่ว์สิ้นหวัง เม้มริมฝีปาก

“หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าก็แก่ชรามานานแล้ว สิ่งที่ค้ำจุนเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือความยึดติดที่จะทำลายคำสาปเลือดของตระกูลซือ บางทีเขาอาจมีจิตวิญญาณของแม่มดศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองอยู่ จึงได้มีอายุร้อยปี” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ตอนนี้คำสาปเลือดถูกทำลายแล้ว ความยึดติดได้หายไป เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจ และร่องรอยความคิดสุดท้ายของแม่มดศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หายไปตั้งแต่ตอนที่ถ่ายทอดให้กับเจ้าแล้ว จึงไม่มีอะไรค้ำจุนเขาต่อไปได้อีก”

คนเราเมื่อแก่ชรา ถึงเวลาไปก็ต้องไป

ซือเหลิ่งเย่ว์มีสีหน้าเศร้าพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว”

นางไม่ได้ขอให้ฉินหลิวซีรั้งหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าไว้ เพราะนางรู้ว่าชายชราผู้นี้ได้อุทิศทั้งชีวิตให้กับตระกูลซือ

“ท่านหัวหน้าตระกูล” ทันใดนั้นหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าก็ลืมตาขึ้นมา

ทุกคนหันไปมอง เห็นว่าหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าดูมีชีวิตชีวา ซ้ำยังลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

แสงสุดท้าย

คำพูดดังเอ่ยดังขึ้นมาในใจของทุกคน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็พากันล้อมวงเข้าไป

ฉินหลิวซีไม่ได้เข้าไปด้วย แต่ให้เฟิงซิวพานางออกมา

แม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจในเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนผู้อื่น แต่นางก็ไม่ชอบที่จะเห็นภาพการจากลา

“พรุ่งนี้พวกเราจุดธูปแล้วก็กลับไปกันเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย

เฟิงซิวตอบรับอย่างกระตือรือร้น

เขาอยากไปตั้งนานแล้ว วันๆ เอาแต่กันซือเหลิ่งเย่ว์อยู่ที่นี่ ทำเอาเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ฉินหลิวซีกลับขาพิการ บางเรื่องก็ไม่สะดวกให้บุรุษมาช่วย เช่นเรื่องส่วนตัวอย่างการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นซือเหลิ่งเย่ว์ที่ช่วยเหลือด้วยตัวเอง

ทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น เฟิงซิวก็รู้สึกเกลียดตัวเองที่ไม่ใช่สตรี

เกล็ดหิมะตกลงมาจากท้องฟ้า เสียงร้องไห้ดังออกมาจากในห้อง

หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าตระกูลซือผู้นี้ จากไปเมื่ออายุได้ร้อยปีโดยไม่มีห่วงใดๆ

วันต่อมา ฉินหลิวซีจุดธูปต่อหน้าป้ายวิญญาณของหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า จากนั้นก็เอ่ยลาซือเหลิ่งเย่ว์

ซือเหลิ่งเย่ว์ทำใจไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถให้ฉินหลิวซีอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ ทั้งสองเป็นสหายที่ดีต่อกัน แต่ทุกคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเอง และต้องเติบโต โดยเฉพาะตัวเอง นางมีพรสวรรค์ แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น นางมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมากมาย และนอกจากฝึกฝนวิชาแม่มดแล้ว ยังต้องดูแลกิจการตระกูลซืออีกด้วย ในอนาคตนางคงจะยุ่งมากๆ

“เสี่ยวซี ข้าเกรงว่าจะไม่ได้เจอเจ้าไปอีกสักพัก” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย

ฉินหลิวซียิ้มอย่างมีความสุข “การเจอกันจะยากลำบากได้อย่างไร ก็แค่เดินทางมาหา อาเย่ว์ ความรักเด็กๆ ไม่เหมาะสมสำหรับเจ้าและข้า เจ้ามีภาระที่ต้องแบกรับไม่น้อยไปกว่าข้า กระทั่งหนักกว่าข้าด้วยซ้ำ เจ้าทำสิ่งที่ควรทำก็พอแล้ว หากคิดถึงเจ้ามากจริงๆ ข้าย่อมมาดื่มกับเจ้าสักสองจอกอยู่แล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะให้คนนำหินหยกไปส่งที่ร้านของเจ้าในภายหลัง”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์มอบของที่ระลึกให้นางอีกหนึ่งอย่าง “นี่คือของที่ระลึกของข้า เจ้ารับไว้ ตราบใดที่เป็นทรัพย์สินของตระกูลซือเจ้าสามารถใช้มันได้ เจ้ารู้จักสัญลักษณ์ตระกูลเราใช่หรือไม่ ทรัพย์สินทุกรายการของตระกูลซือจะมีสัญลักษณ์เช่นนี้”

“อาเย่ว์…”

“หากเจ้าเห็นข้าเป็นสหายก็อย่าปฏิเสธ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอาศัยความสามารถของตัวเอง ความจริงแล้วไม่อยากใช้สิ่งนี้ เพราะของที่ระลึกเช่นนี้นั้นเจ้าอาจจะมีมากมาย แต่อาจมีเหตุไม่คาดคิดให้ต้องใช้ขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องเกรงใจข้า เสี่ยวซี นี่คือความตั้งใจของข้า”

ฉินหลิวซีเก็บของที่ระลึกที่มีตราสัญลักษณ์เผ่าแม่มดตระกูลซือไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ได้ ข้าจะเก็บเอาไว้”

เฟิงซิวที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองมา อย่าทำเหมือนไม่รู้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิธีที่ข้าใช้จีบสาว เหอะ

ส่วนที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ฉินหลิวซีบอกลาซือเหลิ่งเย่ว์ จากนั้นก็พาเถิงเจากับเฟิงซิวหายไปต่อหน้าต่อตานาง

ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังทิศทางที่พวกเขาหายไป เม้มริมฝีปาก ถอนหายใจยาว ความอบอุ่นบนใบหน้าจางหายไป กลายเป็นสตรีที่เย็นชาสงบนิ่ง ฉินหลิวซีเอ่ยถูกแล้ว เส้นทางของนางอีกยาวไกล มีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เวลาของนางไม่เหมาะที่จะมีความรักแบบเด็กๆ

นางต้องขยันอย่างหนักเพื่อเป็นสหายร่วมทางที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

ฉินหลิวซีเคลื่อนไหวไม่สะดวก ดังนั้นจึงกลับไปที่เรือนปีกของบ้านฉิน เมื่อเห็นว่าขาทั้งสองข้างของนางพิการ แม้ว่าฉีหวงจะปวดใจแต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างหมดปัญญา

เจ้านายของตัวเอง หากกลัวการลงโทษของสวรรค์ ไหนเลยจะอยู่ในเสวียนเหมินต่อไป คงกลับไปใช้ชีวิตทางโลกตั้งนานแล้ว ไม่ไปแตะต้องศาสตร์ลี้ลับเหล่านี้ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี

เมื่อปีศาจโสมน้อยเห็นว่าฉินหลิวซีขาพิการ กลับมีน้ำใจบริจาครากโสมให้นางบำรุงร่างกาย

ส่วนวั่งชวนก็น้ำตาไหลไม่หยุด

ครั้งนี้ฉินหลิวซีออกไปค่อนข้างนาน นางคิดถึงเป็นอย่างมาก อีกอย่างเท้าของฉินหลิวซีก็ขยับไม่ได้ ซึ่งทำให้เด็กน้อยรู้สึกเป็นกังวลและตื่นตระหนก

ฉินหลิวซีอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนพลางปลอบโยน เอ่ยว่า “หลังตรุษจีน ปีนี้เจ้าก็อายุหกขวบแล้ว ต่อไปนี้ไปไหนก็จะพาเจ้าไปด้วย แต่เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าคนเสวียนเหมิน เรียนรู้ศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน เปลี่ยนชะตากรรมที่ขัดเจตจำนงค์ของสวรรค์ ขัดขวางวัฏจักรชีวิต ก็จะถูกสวรรค์ลงโทษอย่างแน่นอน พวกเจ้าต้องคิดให้แน่ใจว่าจะเข้าสู่ลัทธิเต๋าฝึกบำเพ็ญวิชาเต๋าต่อไปหรือไม่ แม้ว่าพวกเจ้าจะกลับสู่ทางโลก อาจารย์ก็จะเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านอื่นมาสอนพวกเจ้า และไม่ตัดค่าใช้จ่ายของพวกเจ้า อย่างไรเสียเป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบดั่งบิดาตลอดชีวิต”

เมื่อเห็นว่าเถิงเจากำลังจะตอบโดยไม่คิด นางก็เอ่ยอีกว่า “ไม่ใช่ว่าการลงโทษของสวรรค์จะเกิดขึ้นชั่วคราวเสมอไป การลงโทษที่รุนแรงต้องใช้ชีวิตแลกชีวิต หรือถึงขั้นพิการ เป็นความพิการประเภทตลอดชีวิต ไม่สามารถหายดีได้”

หลังจากที่นางพูดจบ เถิงเจาก็เอ่ยด้วยใบหน้านิ่งว่า “เมื่อเข้าสู่ลัทธิเต๋าแล้วจะไม่มีวันเสียใจ ข้าไม่กลัวสวรรค์ลงโทษ อีกอย่างเมื่อท่านตายแล้วข้าก็จะเป็นคนส่งท่าน สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น”

ฉินหลิวซี “…”

ศิษย์รัก ข้าใกล้จะตายก็เพราะความกตัญญูของเจ้าแล้ว!

นักพรตเฒ่าชื่อหยวน ‘เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!’

วั่งชวนก็เอ่ยด้วยความเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ “ข้าจะกตัญญูต่ออาจารย์เช่นเดียวกับศิษย์พี่”

ฉินหลิวซีลูบศีรษะนาง มองเข้าไปในดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ของนาง เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมั่นคงในหัวใจเต๋าของเจ้า อย่าให้อาจารย์ผิดหวัง”

“เจ้าค่ะ”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท