ตอนที่ 492 เจ้านายและลูกน้องคุณธรรมเดียวกัน
ครั้งนี้ฉินหลิวซีไปเป็นเวลากว่ายี่สิบวัน กว่านางจะกลับมาก็ผ่านเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว แต่ก็ยังถามว่าคนในครอบครัวฉลองตรุษจีนได้อย่างราบรื่นหรือไม่
ฉีหวงเม้มริมฝีปากยิ้ม เอ่ยว่า “บ่าวพบว่านายหญิงใหญ่เป็นคนที่น่าสนใจมากเจ้าค่ะ”
“หืม?”
ฉีหวงเอ่ยว่า “ในวันแรกของปีใหม่ นายหญิงใหญ่ได้เตรียมของขวัญตรุษจีนให้คุณชายน้อยห้านำไปอวยพรปีใหม่เจ้าสำนักศึกษาถัง ของขวัญค่อนข้างมีราคา นายหญิงรองเอ่ยอย่างไม่พอใจขึ้นมาหนึ่งประโยค นายหญิงใหญ่จึงบอกว่าคุณชายน้อยห้านำไปอวยพรปีใหม่แก่อาจารย์ จึงต้องเตรียมของที่มีค่า ในตอนนั้นนายหญิงรองมึนงงในทันที หลังจากได้สติกลับมา ก็ให้คุณชายน้อยสี่ตามไปอวยพรปีใหม่ด้วย เมื่อกลับมาก็อยากให้คุณชายน้อยสี่ฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าสำนักศึกษาถังด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีคิดในใจว่า ‘เป็นเรื่องที่สะใภ้เซี่ยคิดได้อยู่แล้ว อย่างไรเสียเจ้าสำนักศึกษาถังก็มีชื่อเสียงอยู่ให้เห็น อย่าว่าแต่ตระกูลฉินล้มลงแล้วเลย ต่อให้ตระกูลฉินไม่ล้มลงก็ใช่ว่าจะสามารถฝากตัวเป็นศิษย์เขาได้ เมื่อได้ยินว่าฉินหมิงฉุนฝากตัวเป็นศิษย์เขาแล้ว ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข’
“แล้วอย่างไรต่อ”
ฉีหวงยิ้มพลางเอ่ย “นายหญิงใหญ่เอ่ยว่า “นางในฐานะที่เป็นสตรีในเรือนไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ จึงให้นายหญิงรองมาหาท่าน นายหญิงรองจึงเลิกพูดถึงเรื่องนี้ในทันทีเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ
“ในวันส่งท้ายปีเก่า นางยังบอกด้วยว่าท่านไม่อยู่ฉลองตรุษจีนที่นี่ ไม่เห็นคนในครอบครัวอยู่ในสายตา นายหญิงใหญ่จึงได้โต้กลับไปว่าท่านอาจจะไปจัดการกับคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเหล่านั้น หรือไม่ก็ไปจับผีไล่วิญญาณ” ฉีหวงยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ย “ท่านไม่ได้เห็นสีหน้าของนายหญิงรอง ดำราวกับก้นหม้อ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกเลยเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างมีความสุข เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลติง ใช่แล้ว นับว่าตระกูลติงได้ช่วยข้าอยู่บ้าง หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกสักสองสามครั้ง รับรองได้เลยว่าแค่ท่านอาสะใภ้รองได้ยินชื่อข้าก็กลัวแล้ว”
ทุกคนในตระกูลติง ‘ใครจะไปกล้ายั่วยุเจ้า ไม่กลัวจะโชคร้ายหรืออย่างไร’
“แม้แต่ตระกูลติงก็ไม่กล้าทำ บ่าวว่านายหญิงรองคงถูกชื่อเสียงของท่านทำให้เกรงกลัวแล้ว ในช่วงตรุษจีนตระกูลติงก็ได้ส่งเทียบเชิญมา ในวันแรกของปีใหม่ก็ยังได้ส่งคุณชายใหญ่ตระกูลติงผู้นั้นมาโขกศีรษะคำนับฮูหยินผู้เฒ่า เพียงแต่นายหญิงใหญ่ไม่ได้ให้เขาเข้าไป บอกว่าที่เรือนล้วนมีแต่เด็กและสตรี ไม่ค่อยสะดวกเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีฟังเรื่องนินทาหลายเรื่อง ก่อนจะเอ่ยว่า “ปีนี้มีการสอบฤดูใบไม้ผลิ และฮ่องเต้ก็ได้ฉลองพระราชสมภพห้าสิบพรรษา บางทีอาจมีการคัดเลือกพระสนม บางครอบครัวอาจขายที่ดินร้านค้าออกไป เงินกำไรของร้านเฟยฉางเต๋าเมื่อปีที่แล้ว ส่วนที่เป็นของบ้านใหญ่ เจ้านำไปให้พ่อบ้านหลี่ เอาไว้ซื้อที่ดินและร้านค้า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองหลี อยู่ที่เมืองฝู่ก็ได้”
ฉีหวงเอ่ยว่า “ไม่ทำกิจการอื่นหรือเจ้าคะ”
“ไม่ทำ กิจการดูแลยาก อีกอย่าง ใครจะเป็นคนดูแล หวังจะพึ่งข้า ไม่มีทาง!” ฉินหลิวซีส่ายหน้าพลางเอ่ย “ให้นายหญิงใหญ่ นางดูแลได้ แต่หากให้ท่านอาสะใภ้รองและคนอื่นๆ รู้เข้า ไม่แน่อาจจะอิจฉาตาร้อนอีกครั้ง”
ฉีหวงคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เอ่ยว่า “เมื่อซื้อมาแล้ว ใบโฉนดนี้มอบให้นายหญิงใหญ่หรือไม่เจ้าคะ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ ตระกูลฉินก็จะไม่แยกบ้าน เมื่อมอบสิ่งเหล่านี้ให้นาง หากอธิบายไม่ชัดเจน ในภายภาคหน้ามีการฟ้องร้องขึ้นมา จะทำให้นางจัดการได้ยาก”
การแก่งแย่งชิงดีของเรือนหลัง นางไม่เคยเข้าร่วมด้วย แต่ก็ได้ยินมาไม่น้อย
หลังจากที่ฉินหลิวซีเอ่ยเรื่องเหล่านี้จบก็เอ่ยว่า “ข้าจะไปดูร้านสักหน่อย”
ฉีหวงชี้ไปที่ขาทั้งสองข้างของนาง “ท่านเคลื่อนไหวไม่สะดวก ยังจะไปอยู่หรือเจ้าคะ”
“ในโกดังไม่ได้มีรถเข็นที่เต็มไปด้วยฝุ่นอยู่หรอกหรือ เอาออกมาใช้ ที่ร้านค่อนข้างครึกครื้น ข้าจะไปดูสักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉีหวงไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามความต้องการของนาง ย้ายรถเข็นออกมาทำความสะอาด ให้หลี่เฉิงไปส่งนาง ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรวั่งชวนก็จะไปด้วย
…
จะว่าไปแล้วร้านเฟยฉางเต๋านี้ก็น่าสนใจ ตั้งแต่เปิดกิจการมาจนถึงวันนี้ เปิดร้านตามอำเภอใจ ไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ไม่เปิดร้านด้วยซ้ำ ก่อนตรุษจีนก็ปิดพักผ่อนแต่เนิ่นๆ วันที่สิบของปีจึงได้เปิดทำการ
กิจการที่พวกเขาทำก็แปลกๆ สิ่งที่ขายอยู่ในร้านก็เป็นพวกเครื่องรางของขลังยันต์แคล้วคลาด ว่ากันว่าสามารถรักษาโรคที่หายากได้ แต่ไม่จัดยาให้ และผู้ที่ได้รักษาโรค ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตา
นอกจากนี้การไล่วิญญาณจับผีก็เช่นกัน หากเร่งรีบจริงๆ ก็สามารถไปอารามชิงผิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ท่านอื่นได้ อย่างไรเสียเจ้าของร้านกับอารามชิงผิงก็เป็นสำนักเดียวกัน
เช่นนี้แม้ว่าลูกค้าไม่มากนัก แต่ก็ไม่เห็นว่ากิจการจะล้มลง ในทางกลับกันมักจะมีผู้ที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเหล่านั้นมาหา ทำให้ร้านในบริเวณเดียวกันอิจฉาตาร้อน
ร้านนี้ไม่ควรเรียกว่าร้านลัทธิเต๋า ควรเรียกว่าร้านศาสนาพุทธ เจ้าของร้านเอาแต่ใจเกินไปแล้ว
ติงหย่งเหลียงก็คิดเช่นนั้น
เมื่อได้รู้จากท่านพ่อว่าสตรีตระกูลฉินเป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง เขาก็สับสนไปหมด ไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงสาวที่ดื้อด้านและเอาแต่ใจอยู่หน้าประตูจวนของตัวเองผู้นั้นเป็นนักพรตหญิง
ส่วนตระกูลติง แม้ว่าจะสูญเสียไปมากจากฝีมือนางแต่ก็ไม่กล้าอาละวาด กลับต้องอ่อนน้อมถ่อมตนไปขอโทษอย่างระมัดระวัง ทำขนาดนี้พวกเขาก็ยังไม่สนใจ ตั้งใจเพิ่มคุณค่าของตัวเอง
แต่ติงหย่งเหลียงก็ยังคงอดทนได้ กระทั่งยอมมาหาด้วยตัวเอง
เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา แต่เพื่อเพื่อนร่วมชั้นของตัวเอง เพราะว่าเพื่อนร่วมชั้นเริ่มมีอาการแปลกๆ ตั้งแต่ช่วงตรุษจีน ราวกับถูกวิญญาณร้ายหลอกหลอน
ดั่งคำเอ่ยที่ว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ จึงทำให้เพื่อนร่วมชั้นนามว่าเหอโซ่วที่รู้สึกว่าตัวเองถูกวิญญาณร้ายหลอกหลอนย่อมไม่กล้าเอ่ยอะไร กลัวว่าอาจารย์จะไม่พอใจ แต่หลังจากที่ติงหย่งเหลียงรู้เข้า ก็นึกถึงฉินหลิวซี
ข่าวลือบอกว่าเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นเก่งกาจไม่ใช่หรือ ทั้งยังทำให้ตระกูลของพวกเขาเสียหาย แต่ข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ ยังไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง บังเอิญเพื่อนร่วมชั้นสงสัยว่ามีวิญญาณร้ายพอดี จึงได้พาเขามาหา เพื่อที่จะได้หยั่งเชิงความสามารถของคนผู้นั้นด้วย
แต่เมื่อไปที่อารามชิงผิง ในอารามยังคงปิดปรับปรุง ยังไม่เปิด นักพรตในอารามก็ได้ชี้ให้เห็นทางสว่าง มีร้านชื่อว่าเฟยฉางเต๋าอยู่ที่ตรอกโซ่วสี่ในเมือง เป็นของเจ้าอาวาสน้อยของพวกเขา ให้ไปหาเขาที่นั่น
ติงหย่งเหลียงคิดว่าตัวเองหูฝาดไป นักพรตเต๋าเปิดร้าน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงได้มาหา แต่คนผู้นั้นกลับไม่อยู่ เขามาโดยเสียเปล่าติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน ความอดทนของติงหย่งเหลียงได้หมดสิ้นไปแล้ว
“เจ้าอาวาสน้อยของพวกเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ ไม่มีวันเวลาแน่นอน ปล่อยให้ลูกค้ารอไปเรื่อยๆ หรือ” ติงหย่งเหลียงถามเฉินผีพลางขมวดคิ้ว
เขาสงสัยว่าจะเป็นการจงใจ รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนตระกูลติง ดังนั้นจึงจงใจทำให้เขาลำบาก
เฉินผีเอ่ยว่า “ กิจการที่ร้านเราทำนั้นไม่ธรรมดา วิธีทำกิจการก็ย่อมไม่ธรรมดา ขึ้นอยู่กับโชคชะตา พวกเจ้ารอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไปเชิญผู้มีวิชาท่านอื่น พวกเราไม่ได้รั้งเจ้าไว้เสียหน่อย”
“เจ้า” ติงหย่งเหลียงโกรธมาก
เป็นแค่คนงาน พูดจาเหิมเกริม หากร้านอื่นทำเช่นนี้คงปิดกิจการไม่ช้าก็เร็ว!
เจ้านายเป็นอย่างไร ลูกน้องก็เป็นอย่างนั้น หยิ่งผยองเป็นอย่างมาก!
“สหายติง ข้ารอได้” เหอโซ่วดึงแขนเสื้อติงหย่งเหลียง เอ่ยว่า “อีกอย่างอยู่ที่นี่ข้าก็รู้สึกสบายใจ แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรอเป็นเพื่อนข้า ข้ามาเองได้”
ติงหย่งเหลียงเอ่ยว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพาเจ้ามาจะทิ้งเจ้าไว้ได้อย่างไร”
เฉินผีเยาะเย้ย มาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งอะไรตรงนี้ ไม่ใช่เพราะในใจตัวเองมีแผนอะไรซ่อนอยู่หรอกหรือ
เหอโซ่วฝืนยิ้ม เอ่ยกับเฉินผีว่า “พี่ชาย ช่วยมอบยันต์คุ้มภัยให้ข้าอีกสักอันเถิด ที่ซื้อไปเมื่อวานเสียไปแล้ว”
“หนึ่งร้อยตำลึง”
ติงหย่งเหลียงเบิกตากว้าง “เหตุใดจึงได้เปลี่ยนราคาอีกแล้ว ครั้งแรกห้าสิบตำลึง ครั้งที่สองแปดสิบตำลึง ตอนนี้หนึ่งร้อยตำลึง”
“หนึ่งวันเสียไปหนึ่งแผ่น สิ่งที่พัวพันเขาอยู่นั้นไม่ธรรมดา อยากซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อข้าก็ไม่บังคับ วาดยันต์ไม่ต้องใช้พลังจิตหรืออย่างไร” เฉินผีเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หากต่อราคาอีก หนึ่งแผ่นหนึ่งพันตำลึง!”
ติงหย่งเหลียง “…”
ข้าโกรธจะตายอยู่แล้ว สหายเหออย่าดึงข้า ข้าจะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง!