ตอนที่ 493 นางกวนโทสะจริงๆ
ติงหย่งเหลียงรู้สึกว่าตัวเองถูกไอ้หนุ่มคนนี้พุ่งเป้ามาที่ตน ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อวานไม่เห็นเขาแข็งกร้าวใส่คนอื่นๆ อย่างนี้
เฉินผีคิดในใจ มั่นใจหน่อย เอาคำว่ารู้สึกออกไปเสีย ข้านี่แหละพุ่งเป้าหมายที่เจ้า เจ้าคนแซ่ติง
“น้องชายติง เจ้ารีบหยุดพูดดีกว่า” เหอโซ่วรีบเอาตั๋วเงินร้อยตำลึงออกมาวาง และไม่ลืมลากติงหย่งเหลียงไปด้านหลัง เขากลัวจริงๆ ว่าน้องชายติงพูดอีกสองประโยค เขาจะขึ้นราคาเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง
ติงหย่งเหลียงอึดอัดกลัดกลุ้ม เพราะไม่เคยต้องเก็บกดความรู้สึกไว้ภายในใจอย่างนี้
เฉินผีรับเงินมาพลางกล่าว “สำหรับท่าน ยันต์คุ้มภัยนี้ใช้ได้หนึ่งวันต่อหนึ่งแผ่นเท่านั้น ร้านของพวกเรายังมีป้ายยันต์ที่เขียนบนไม้เหลยจี หรือหินหยกก็มี ใช้ขจัดสิ่งชั่วร้ายคุ้มครองตัวเองได้ดีนัก ใช้ได้ผลกว่าแผ่นยันต์คุ้มภัย ซื้อสักชิ้นหรือไม่ขอรับ”
“สามารถกำจัดสิ่งที่รัดข้าเอาไว้ได้หรือไม่” เหอโซ่วถามอย่างกระตือรือร้น
เฉินผีตอบ “ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่รัดท่านเอาไว้คือสิ่งใด มิอาจกล่าวได้ แต่ทำให้สิ่งนั้นไม่เข้าใกล้ตัวได้”
“เท่าไหร่หรือ” ติงหย่งเหลียงถามอย่างระมัดระวัง
เฉินผีเอาป้ายยันต์ที่ทำจากไม้เหลยจีสีดำสนิทออกมา “สองพันตำลึง ด้านบนมีอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าที่สามารถสะกดและขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ พกเอาไว้สิ่งชั่วร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วไม่อาจเข้าใกล้”
“ป้ายยันต์นี่คิดสองพันตำลึง?” ติงหย่งเหลียงรักษาภาพคุณชายสูงศักดิ์ผู้สงบนิ่งไว้ไม่อยู่แล้ว แค่แผ่นไม้หักๆ สีดำหน้าตาอัปลักษณ์ ขายตั้งสองพันตำลึง คิดว่าพวกเขาเป็นคนโง่ตกหลุมพรางง่ายๆ อย่างนั้น แล้วยังแผ่นไม้สั่วๆ แผ่นหนึ่งจะเอาเงินสองพันตำลึง นี่ฟันกำไรทบทวีคูณมากกว่าร้านผลไม้แช่อิ่มนั้นอีก?
ร้านนี้มันร้านแม่ไก่ออกไข่ทองคำชัดๆ!
เฉินผีส่งเสียงหึอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “พวกเจ้าไม่รู้จักของดี ไม้เหลยจีเดิมเป็นไม้ที่หายาก ลำพังตัวไม้เองสามารถใช้สังหารสิ่งอัปมงคลป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ แล้วยังแกะสลักอักขระอาคมแห่งเต๋าลงไปอีก ปกปักษ์รักษาเป็นสองชั้น ใช้ป้ายยันต์นี้คุ้มครองตัว ขายท่านสองพันตำลึงถือว่าเมตตาแล้ว อีกทั้งไม้เหลยจีนี้ไม่ใช่จะหาเมื่อไหร่ก็มี ต้องดูโอกาสวาสนา ทั้งร้านเรามีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้น”
เขาเอ่ยจบก็เก็บป้ายยันต์กลับคืนไป “ข้าบอกท่านไปแล้วว่า พวกเราทำการค้าเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า ให้ความสำคัญกับคำว่าวาสนา ดูท่าพวกท่านไร้วาสนาแล้ว”
“ไม่ ไม่ ไม่ น้องชาย ของสิ่งนี้มีวาสนาต่อข้า มันต้องเป็นของข้า” เหอโซ่วเห็นพวกเขาเก็บป้ายคืน รู้สึกร้อนรน “สองพันตำลึงเท่านั้นเอง ข้าซื้อ”
“ไม่ต้องฝืนใจซื้อ”
“ข้าไม่ได้ฝืนใจแม้แต่น้อย” เหอโซ่วคว้ามือเฉินผีมาจับด้วยความสัตย์ซื่อ “ข้าเห็นว่าของสิ่งนี้กับตัวข้านั้นมีวาสนาต่อกันอย่างยิ่ง แค่ได้เห็นก็ใจเต้นอย่างกับอะไร ถ้าไม่เชื่อเจ้ามาจับดูที่หัวใจข้า เต้นเร็วน่าดู”
ไอ้หยา น้องชาย มือเจ้าอย่างกับเตาไฟน้อยๆ อุ่นมากจริงๆ
“ใครอยากจับหัวใจท่าน” เฉินผีกลับรู้สึกเหมือนมือโดนแช่แข็ง เขารีบดึงมือกลับ “พลังหยินของท่านค่อนข้างร้ายแรงจริงๆ เอาเถอะ เห็นแก่ความจริงใจของท่าน ขายให้ก็แล้วกัน” เขาหยิบป้ายยันต์ออกมาวางอีกครั้ง
เหอโซ่วหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง ดึงใบที่มีมูลค่าหนึ่งพันตำลึงส่งให้สองใบ แล้วคว้าป้ายยันต์มาไว้ในมือ มองดูมันครั้งหนึ่งแล้วคล้องไว้ที่คออย่างยินดี
ติงหย่งเหลียงอดมองใบหน้าแบบสุนัขโง่ๆ ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ได้
สองพันตำลึง แค่พูดฉอดๆ ตั๋วเงินก็ปลิว ได้เงินง่ายไปแล้ว!
เฉินผีเห็นเหอโซ่วเป็นคนตรงไปตรงมา ใบหน้าแสดงความกระตือรือร้น สื่อถึงความรู้สึกภายในออกมาอย่างชัดเจน “ดูท่านสิ พอซื้อป้ายยันต์ ทางออกก็มาปรากฏตรงหน้าทันที เถ้าแก่ของพวกเรากลับมาแล้ว”
อะไร เพื่อจะขายป้ายยันต์เจ้าถึงกับทำเป็นมีเหตุบังเอิญ? คนล่ะ?
ทั้งสองคนมองเฉินผีเดินจากหลังโต๊ะกั้นไปที่หน้าประตู อดไม่ได้เดินตามออกไปดูที่ด้านนอก
ติงหย่งเหลียง “!”
เหอโซ่วยืนอึ้ง “เจ้าอาวาสน้อยที่ร้ายกาจที่น้องติงพูดถึงเป็นคนพิการหรือ”
เฉินผีเห็นฉินหลิวซีนั่งเก้าอี้รถเข็น รีบปราดเข้าไป “นายท่าน ท่านตกลงไปในกับดักอีก?”
“อย่างที่เจ้าเห็น” ฉินหลิวซีกล่าว
“ใช้เก้าอี้รถเข็น หรือว่าขาทั้งสองข้าใช้การไม่ได้?” คราวที่แล้วนางขาเสียไปข้างหนึ่ง ก็ยังใช้ไม้เท้าได้ มาตอนนี้คาดไม่ถึงว่าต้องนั่งรถเข็น หนักหนาเอาการ
ฉินหลิวซีพยักหน้า มองไปคนสองคนที่ยืนปากอ้าตาค้างอยู่ที่ประตูร้าน หนึ่งในนั้นยังเป็นติงหย่งเหลียงไม่ผิด นางอดเลิกคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้
เฉินผีอุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในร้าน ส่วนเถิงเจาเก็บรถเข็นไว้ข้างประตู
หลังจากฉินหลิวซีนั่งที่หลังโต๊ะตัวยาวเรียบร้อย นางมองไปพี่พวกติงหย่งเหลียง “พวกเจ้ามาที่นี่ต้องการอะไร”
ติงหย่งเหลียงหมุนตัวเดินเข้ามา สายตายังอยู่ที่ขาของฉินหลิวซี เขาถูกเฉินผีค้อนให้ทีหนึ่ง อยู่ๆ เขารู้สึกหวาดผวา อีกทั้งเป็นการเสียมารยาท จึงได้แต่หันมองไปที่ใบหน้าของนาง
นางแต่งตัวไม่เหมือนคราวที่แล้วที่เจอนางที่หน้าประตูจวน ครั้งนี้นางรวบผมเป็นมวยอยู่กลางศีรษะเป็นทรงผมที่นักพรตเต๋านิยมทำกัน ทำให้เห็นใบหน้านางได้ชัดเจน เครื่องหน้างดงามได้รูป ดูมีชีวิตชีวา นางมีลักษณะเฉพาะตัวที่นิ่งเฉย ดูเย็นชา แล้วยังเด็กสองคนที่อยู่ข้างกายนาง อ้า…
ในที่สุดติงหย่งเหลียงก็นึกขึ้นได้ ความรู้สึกประหลาดตอนที่พบนางที่หน้าประตูจวนคราวที่แล้วนั้นมาจากไหน คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หรือที่เขาพบและมีเรื่องโต้เถียงกันเมื่อคราวที่เขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับพี่น้องตระกูลโจวที่หอจุ้ยเซียน?
“เป็นท่าน” ติงหย่งเหลียงสายตาลอกแลกหวาดผวาอยู่ไม่สุข
ไม่ใช่เป็นเพราะแน่ใจแล้วว่าเป็นฉินหลิวซี แต่เป็นเพราะนางเป็นผู้หญิงบ้านฉินเขาถึงได้หวาดหวั่น น้องสาวคนรองเคยเอ่ยว่า เมื่อนางและมารดาไปงานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่จวน ได้พบรุ่ยจวิ้นอ๋องโดยบังเอิญ แม่นางท่านนี้จึงได้รับเชิญจากรุ่ยจวิ้นอ๋องเป็นแขกคนสำคัญ
ในใจติงหย่งเหลียงเหมือนถูกคลื่นลมถาโถมเข้าใส่
บิดากล่าวว่าตระกูลเซียวและตระกูลอวี๋ให้ความสำคัญกับนางมาก นี่เป็นเพียงส่วนที่เขารู้เท่านั้น ที่เขาไม่รู้คือรุ่ยจวิ้นอ๋องจากจวนหนิงอ๋องก็เช่นกัน
ติงหย่งเหลียงคิดถึงตรงจุดนี้ เขายิ่งเพิ่มความระมัดระวังด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้นางไม่ได้มีความสามารถจริง แต่ได้ไปเป็นแขกของรุ่ยจวิ้นอ๋อง แค่นี้นางก็ไม่ใช่คนที่ตระกูลติงของพวกเขาจะล่วงเกินได้
ตระกูลฉิน มีความมั่นใจขนาดนี้ พวกเขารู้ตัวหรือไม่
เก็บซ่อนไว้ลึกยิ่งนัก!
ฉินหลิวซีมองสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของติงหย่งเหลียงอย่างประหลาดใจ ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้เห็นข้าเป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนตัวอยู่ถ้ำลึกหรืออย่างไรกัน
ติงหย่งเหลียงประสานมือคารวะ “แม่นางฉิน? ไม่ทราบท่านจำผู้น้อยได้หรือไม่”
“ข้ายังอายุไม่มาก ไม่ใช่คนปัญญาทึบ ต้องจำเจ้าได้อย่างแน่นอน คุณชายตระกูลติงใช่หรือไม่”
ติงหย่งเหลียง “…”
มุมปากเขายกระตุกเล็กน้อย “แม่นางฉิน…”
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่ารู้ความเป็นมาของข้าแล้วหรือ ถึงพากันมาที่นี่ ถ้าไม่เรียกข้าว่านักพรตปู้ฉิว ก็ควรเรียกข้าด้วยความเคารพว่าเจ้าอาวาสน้อย ซึ่งข้าเป็นทั้งสองอย่าง” ฉินหลิวซีขัดขึ้น เรียกแม่นาง แม่นาง ฟังแล้วไม่สบอารมณ์
“เจ้าอาวาสน้อย” ติงหย่งเหลียงสูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง “ขาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินหลิวซีมองเขากลับ “ถามตัวเองเถิดว่าพวกเราไม่ได้เป็นคุ้นเคยกันขนาดที่คุณชายตระกูลติงต้องให้ความสนใจมิใช่หรือ” หรือจะเอ่ยอีกอย่างคือ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย
ติงหย่งเหลียงหน้าแดงจนเข้มเป็นสีเลือดหมู เมื่อก่อนยังไม่รู้สึก แต่ตอนนี้เห็นคนคนนี้กวนโมโห น่าโดนดีจริงๆ เพียงแต่ไม่กล้าลงมือ
ฉินหลิวซีพึมพำเบาๆ ข้าชอบเห็นเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า และทนท่าทางเย็นชาของข้าไม่ได้ เฮอะ สะใจข้านัก!
นางไม่ใสใจติงหย่งเหลียง แต่มองไปยังใบหน้าอิ่มเอิบบ่งบอกฐานะร่ำรวยของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าหนาจนเหมือนยัดนุ่นซึ่งยืนด้านหลังของติงหย่งเหลียง ใบหน้าเขามีสามดาวมงคล[1]ครบถ้วน แต่ดวงตาดำคล้ำ สีหน้าซีดขาว จุดอิ้นถังเป็นสีดำราวน้ำหมึกเข้มข้นปกปิดสีเลือดฝาดเอาไว้ บนตัวมีพลังหยินอยู่หนาแน่น เกือบจะกลายเป็นปีศาจแล้ว นี่จะต้องถูกผีร้ายครอบงำอยู่
“ถูกวิญญาณติดตามเช่นนั้นหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
เหอโซ่วตกใจ จากนั้นพลันเปลี่ยนเป็นดีใจ รีบเดินมาข้างหน้า ยกมือคารวะพลางเอ่ย “ไต้ซือ เอ่อ ท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว ผู้น้อยเหอโซ่ว ไต้ซือได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย”
สนใจทำไมว่านางพิการหรือไม่ มีความสามารถเป็นใช้ได้
[1]สามดาวมงคล หมายถึงคนที่มีบุญวาสนามีมงคลครบสามประการ คือฮก (ในภาษาแต้จิ๋ว) หรือ ฝู (ภาษาจีนกลาง) ลก (ในภาษาแต้จิ๋ว) หรือ ลู่ (ภาษาจีนกลาง) หมายถึง บุญวาสนา อำนาจ เกียรติยศ และ ซิ่ว (ในภาษาแต้จิ๋ว) หรือ โซ่ว (ภาษาจีนกลาง) หมายถึงอายุยืน