ตอนที่ 497 ข้าเอ่ยความจริงที่เจ้าไม่อยากฟัง
เมื่ออี้ชิวเอ่ยขึ้นว่าชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ซ้ำยังตั้งใจมองไปยังฉินหลิวซีเป็นพิเศษอีก เพื่อรอดูว่าเทพาจารย์น้อยท่านนี้จะมีท่าทีโต้ตอบอย่างไร
ตอนนางยังไม่ตาย เคยได้ยินเรื่องราวจากปากเหล่าพี่น้องมาก็ไม่น้อย ว่าบรรดาเทพาจารย์เหล่านั้นอ้างตนว่าตนเองถูกต้อง สังหารภูตผีปีศาจทุกตัวที่เห็น หากพบเจอผีร้ายที่คิดทำร้ายผู้คน เมื่อเอ่ยว่าจัดการก็ต้องจัดการ โดยไม่ถามถึงเหตุผล
ในสายตาของเทพาจารย์บางคน เส้นทางของมนุษย์กับผีนั้นต่างกัน หากเจ้าคิดทำร้ายคน เช่นนั้นก็เป็นผีชั่วร้าย ต้องสังหาร
แต่ฉินหลิวซีกลับไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบแต่อย่างใด ยังถามนางกลับไปหนึ่งประโยค “เจ้าเหลือบมองข้าทำไมกัน”
อี้ชิวค่อนข้างแปลกใจ เอ่ยถาม “ข้าน้อยต้องการแก้แค้น ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านเทพาจารย์ ท่านเป็นเทพาจารย์ที่คอยกำจัดสิ่งชั่วร้าย ไม่อยากจัดการข้าน้อยหรือ อยากทำลายวิญญาณให้แตกสลายหายไปหรือไม่”
ใช่ นางคิดที่จะทำร้ายผู้คน
ติงหย่งเหลียงดวงตาเป็นประกาย อยากเห็นว่าฉินหลิวซีจะจัดการอย่างไร
ฉินหลิวซีเอ่ย “การสังหารเจ้าไม่ต้องใช้พลังวิญญาณไม่ต้องใช้จิตใจหรือ อีกอย่างไม่มีผู้ใดให้ค่าตอบแทนข้า ข้านอนไม่สบายพอหรือ หรือว่างจนอยู่ไม่สุข จึงต้องทำงานใช้แรงงานอีกหรือ เจ้าดูข้าสิ ขาทั้งสองข้างพิการ ร่างกายก็อ่อนแออย่างมาก”
ทุกคน “…”
ถ้านางร่างกายอ่อนแอ น่าขันเสียจริง เมื่อครู่นางเพิ่งยกมือก็จับกรงเล็บผีของอี้ชิวเอาไว้ได้ กำลังระดับนั้นยกภูเขาได้คงไม่เกินจริงกระมัง
“ท่านจะไม่ขัดขวางข้าน้อยจริงหรือ” อี้ชิวประหลาดใจ เทพาจารย์ท่านนี้ดูต่างออกไปเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าเคยเจอผีเช่นเจ้ามามาก ล้วนแต่ถามข้าด้วยคำถามนี้ ไยถึงไม่ขัดขวาง แล้วไยข้าต้องขัดขวาง ผีก่อนที่จะกลายเป็นผีล้วนเป็นคนทั้งนั้น หากผีที่ตายอย่างอยุติธรรมแล้วต้องการแก้แค้น เช่นนั้นไม่ใช่เหตุและผล เวรและกรรมหรือ เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม หากเจ้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นข้าจะลงมือขัดขวางเจ้าถึงขั้นต้องถึงแก่ชีวิตแน่นอน”
ทุกคนตกตะลึงเล็กน้อย อดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้ ผีก่อนกลายเป็นผีก็เป็นคน
ใช่ ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผี ล้วนแต่เป็นคนมีชีวิต เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วไยถึงไม่สามารถแก้แค้นได้
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นไปมองอี้ชิว เอ่ย “เจ้าตายอย่างไร้ความเป็นธรรม ต้องการแก้แค้นคืนถือเป็นความผิดที่เข้าใจได้ ด้วยเหตุผลนี้ข้าจึงไม่อาจขัดขวางเจ้า แต่ข้าอยากบอกกับเจ้าเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นร่างผีแล้ว เจ้าทำร้ายคน เวรกรรมก็อาจเพิ่มมาที่ตัวเจ้า เล่มบาปบุญในมือของยมทูต ดีชั่วล้วนจดเอาไว้ ยามที่เวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ ถึงตอนเดินผ่านกระจกส่องกรรมไป เมื่อผู้ที่ก่อกรรมหนัก ได้รับการตัดสินโทษแล้ว ยังต้องรับโทษอีก เมื่อรับโทษเสร็จสิ้นแล้วถึงจะสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ตามความดีความชั่วที่ได้กระทำ”
อี้ชิวตกใจเป็นอย่างยิ่ง “คนตายไปแล้ว ก็ยังต้องรับโทษหรือ”
“ระหว่างโลกกับสวรรค์นั้นแบ่งเป็นหกภพภูมิ นรกกับโลกมนุษย์เชื่อมต่อกัน เมื่อโลกมนุษย์ทำผิดกฎ มีนรกเป็นผู้ลงโทษตามกฎ กลายเป็นผีทำร้ายผู้คน ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน โลกมนุษย์ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ แต่นรกรอให้เจ้าไปรับโทษอยู่ ฉะนั้นไม่ว่าจะผีหรือคน เพียงแค่เป็นเจ้า เล่มความเป็นความตายหน้านั้นของเจ้า สามารถบันทึกบาปบุญที่ได้กระทำมันได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง” ฉินหลิวซีเหลือบมองสองคนหนึ่งผีอย่างมีความหมายแฝง เอ่ย “ดังคำสุภาษิตที่กล่าวเอาไว้ว่า ความชั่วที่เคยกระทำไว้ อย่างไรก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน เมื่อได้กระทำไปแล้ว บาปบุญทั้งหมดจะถูกนับรวม เป็นคนต้องมีความเกรงกลัวอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ”
ติงหย่งเหลียงแทบหายใจไม่ออก อยากจะหดไปอยู่ด้านหลังเหอโซ่ว เขารู้สึกเสมอว่าประโยคนี้มีความหมายแฝงถึงตระกูลติงของเขา เป็นคำเตือนกลายๆ
อี้ชิวร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นคนหรือเป็นผีก็ล้วนแต่เป็นทุกข์หรอกหรือ ฮือๆ ข้าน้อยนี่มันลำบากจริงๆ”
เหอโซ่ว เจ้าเป็นวิญญาณผีชั่วร้ายนะ ไยแสดงออกมาว่าอ่อนแอนักเล่า
อี้ชิวร้องไห้ได้สักพักก็เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยถาม “เอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยไม่อาจไปแก้แค้นสตรีนางนั้นได้แล้วใช่หรือไม่”
“ได้สิ” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ตราบใดที่เจ้ายอมรับผลกรรมนี้ จริงสิ หากทำร้ายคนที่มีบุญบารมีแล้วล่ะก็ โทษก็จะเพิ่มไปอีกหนึ่งระดับ เช่นเดียวกันกับปัญญาชนอวบอ้วน เจ้าไม่กล้าลงมือกับเขาถึงตายใช่หรือไม่”
เหอโซ่วไม่อยากเอ่ยแล้ว อ้วนก็อ้วนเถิด
อี้ชิวมองเหอโซว่อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “เขาเป็นคนดี บนร่างมีแสงสีทองส่องอยู่เล็กน้อย ข้าไม่กล้า ทำได้เพียงทำให้เขาตกใจเท่านั้น”
“พี่หญิงใหญ่ ท่านไม่เอ่ยให้ชัดเจนว่าต้องการของสิ่งนี้ ข้าจะได้เผาไปให้ท่านโดยไม่ว่าอะไรสักคำ” เหอโซ่วเอ่ยขึ้นทันที “ท่านไม่เอ่ยมาทั้งหมด ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านต้องให้ข้าคืนสิ่งใด”
อี้ชิว “เจ้ามันโง่ หยิบเสื้อชั้นในของสตรีมาเชยชมเล่น หยาบคายมาก”
เหอโซว่เถียง “ทุกคนก็ล้วนรักสวยรักงามกันทั้งนั้น ข้าอยากรู้นัก แขกผู้มีพระคุณในอดีตของท่าน ยังวาดภาพให้ท่านเป็นผู้ใดกัน”
ติงหย่งเหลียงมองดวงตาของอี้ชิวที่เริ่มแดงก่ำ จึงรีบดึงแขนเสื้อของเหอโซ่ว
เก่งกาจแล้ว สหายของข้า เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับผีร้ายแล้ว
อี้ชิวกลัวเครื่องรางบนตัวของเหอโซ่วจึงไม่ได้โต้เถียงกับเขาอีก เพียงพ่นลมหายใจเย็นออกมา มองไปที่ฉินหลิวซีและเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง “คนที่มีบุญบารมี ฆ่าคนก็ไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าบอกไปแล้ว เพียงเคยกระทำ ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในเล่มบาปบุญ ถึงนางจะมีบุญบารมี แต่นางก็มีบาปที่เกิดจากการฆ่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเวรกรรม ซึ่งจะกำหนดโทษอย่างไร ยมทูตผู้พิพากษาจะเป็นผู้กำหนดเอง แต่มีสิ่งหนึ่งก็คือ ผู้ที่มีกรรมที่เกิดจากการฆ่า อายุขัยจะลดลงอย่างแน่นอน”
อี้ชิวสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“เจ้าตายมาห้าสิบปีแล้ว หากยังไม่ตายคงเป็นคนที่ใกล้เจ็ดสิบปีแล้วสินะ เช่นนั้นฮูหยินโหลวผู้เฒ่าล่ะ ยากที่จะบอกว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
อี้ชิวนึกถึงรูปร่างหน้าตาตอนนั้นของหยวนซื่อขึ้นมา เอ่ย “ข้าจำได้ว่าอายุของนางรุ่นราวคราวเดียวกันกับข้า ข้าอายุได้สิบห้าปีก็ตายแล้ว เช่นนั้นหากนางยังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุหกสิบห้าปีแล้ว ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ย่อมถือว่ามีอายุยืนยาวแล้วกระมัง”
“เรื่องนี้ต้องถามคุณชายติง อีกฝ่ายสร้างบุญกุศลไว้มากมายจริงๆ ใช่หรือไม่ การทำบุญสะสมกุศลคงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดโกหก” ฉินหลิวซีมองไปยังติงหย่งเหลียงที่แกล้งตาย
ติงหย่งเหลียงถูกดวงตาผีที่แดงฉานของอี้ชิวกวาดมอง ขนลุกชัน เอ่ย “เล่าลือกันว่าฮูหยินโหลวผู้เฒ่าสวดมนต์ถือศีลกินเจ และทำบุญอยู่ตลอดทั้งปี เป็นคนใจบุญสุนทาน ทว่าไม่เคยได้ยินว่าท่านผู้นี้ล่วงลับไปแล้วเลย”
“เหอะ นางคู่ควรกับการสวดมนต์หรือ ไม่กลัวพระท่านลงโทษนางหรือ ยังสร้างกุศล คงเป็นเพราะฆ่าคนแล้วรู้สึกผิดอยู่ในใจ ถึงได้คิดหาวิธีชดเชยมันแน่นอน นางเป็นนักบุญใจบาป” อี้ชิวก่นด่าออกมาอย่างเหยียดหยาม
ติงหย่งเหลียงเอ่ยขึ้นอึกอัก “คนในเมืองเขาเล่าลือกันเช่นนี้ ลือกันว่านางคือหัวใจของพระโพธิสัตว์ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ข้าได้ยินผู้คนตามทางพูดกันตอนข้าไปเที่ยวเมืองเซิ่งจิงเมื่อหลายปีก่อน”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องสนใจว่านางเป็นนักบุญใจบาปหรือไม่ การกระทำของนางทำให้คนรู้สึกได้ถึงบุญคุณ เช่นนั้นความดีของนางก็ย่อมต้องบันทึกไว้”
อี้ชิวสะอึก “หรือว่าการตายของข้าน้อยจะสูญเปล่าแล้วหรือ นางเคยฆ่าคน แล้วยังมีชื่อเสียงว่าเป็นคนดี ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลยหรือ”
สีหน้าของฉินหลิวซีเฉยเมย เงียบลงครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “ข้ามีความจริงที่อยากจะเอ่ยมันออกมา เกรงว่าเจ้าอาจจะไม่อยากฟัง”
เจ้าอย่าพูด ข้าไม่อยากฟัง
อี้ชิวมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่เรื่องดีนักจึงมีการต่อต้านเล็กน้อย
ทว่าฉินหลิวซีกลับเอ่ยขึ้นเสียอย่างนั้น เอ่ย “อี้ชิว ตอนนั้นเจ้าเองก็เป็นนางคณิกา อยู่ในหอคณิกา หรือไม่รู้ว่าชีวิตสตรีที่อยู่สถานที่แห่งนั้นต่ำต้อยและเป็นที่ดูถูกที่สุด”
อี้ชิวกัดริมฝีปากเอาไว้ ลางสังหรณ์ของตนนั้นถูกต้อง ประโยคนี้ช่างไม่น่าฟังเสียจริง ซ้ำยังแทงเข้าจุดที่เจ็บปวดและอ่อนแอที่สุด หยาดเลือดไหลซึม