คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 499 หึ ข้าขอถอนตัว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 499 หึ ข้าขอถอนตัว

เมื่อเรื่องของเหอโซ่วจบสิ้นลงแล้ว จึงได้กลับไปที่เมืองฝู่พร้อมกับติงหย่งเหลียง แยกกันไปหาบิดาของตน

เหอหยวนไว่เมื่อได้ยินเรื่องราวนั้นของบุตรชายก็ตกใจจนเหงื่อผุดไปทั้งร่าง เอ่ยถามซ้ำอยู่หลายครั้ง “เจ้าแน่ใจนะว่าของสิ่งนั้นไปแล้ว จะไม่มาก่อกวนเจ้าอีกใช่หรือไม่”

สวรรค์ เขาบากบั่นมุมานะขยันขันแข็งมาหลายปี สุดท้ายก็ได้บุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง บุตรสาวออกเรือนไปแล้ว เหอโซ่วนับว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเหอ หากเกิดเรื่องใดขึ้น รากเหง้าจะไม่หายไปเลยหรือ

เหอโซ่วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มมีความสุข “แน่นอนว่าไม่มีแล้วขอรับ ไม่ต้องเอ่ยถึงฝีมือที่เก่งกาจของท่านเจ้าอาวาสน้อย ข้ายังมีเครื่องรางป้องกันตัว สิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ตัวข้าแล้ว”

เขาจงใจดึงเครื่องรางไม้เหลยจีที่สวมอยู่ที่คอออกมา เอ่ยขึ้น “เดิมทีข้าคิดที่จะซื้อมาให้ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ แล้วก็หลานชายพวกเขาคนละหนึ่งชิ้น ทว่าผู้คนล้วนเอ่ยว่าของชิ้นนี้นั้นไม่ได้หากันได้ง่ายๆ เป็นเรื่องของโอกาสและโชคชะตา แต่ว่าข้าขอยันต์คุ้มภัยมาด้วย ให้ท่านและท่านแม่พกติดตัวไว้ ไม่สิ ท่านพ่อท่านต้องเดินทางไปข้างนอกบ่อยครั้ง ท่านใส่เครื่องรางอันนี้เถิด”

เหอโซ่วถอดเครื่องรางออกมา ถูกเหอหยวนไว่กดมืดไว้อย่างรวดเร็ว เอ่ย “เจ้าใส่มันไว้ก็พอ เจ้าบอกรายละเอียดของท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านนั้นมา นิกายของเขา ห้ามพลาดแม้แต่นิดเดียว”

เหอโซ่วไม่เข้าใจ แต่ก็เล่าอย่างตรงไปตรงมา

ดวงตาของเหอหยวนไว่เปล่งประกายระยิบระยับ เอ่ย “ฟังเจ้าเอ่ยเช่นนี้ เกรงว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านนี้จะไม่ค่อยพอใจคุณชายติงจวนผู้ว่าการสักเท่าใด”

“ท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความอย่างไรหรือขอรับ”

เหอหยวนไว่วิเคราะห์คำพูดเหล่านั้นกับเขาอย่างละเอียด เหอโซ่วเข้าใจได้เลยทันที จึงเอ่ยขึ้น “มิน่าเล่าตอนนั้นข้าถึงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ราวกับพวกเขามุ่งเป้าไปที่น้องชายติงเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องใด”

“เจ้าไม่ควรเอาแต่เรียนหนังสืออย่างเดียว ไม่ว่าจะเพื่อข้าราชการหรือว่าการค้าขาย ยามปกติก็ต้องฟังข่าวสารจากข้างนอกให้มากเช่นกันจึงจะไม่งงงวย สามารถแยกแยะสถานการณ์ตรงหน้าได้ดียิ่งขึ้น แวดวงปัญญาชนข้างนอกแพร่งพรายกันว่าตระกูลติงนั้นทำเรื่องไม่ซื่อสัตย์ ไม่เคารพและลืมบุญคุณอาจารย์” เหอหยวนไว่เอ่ย “ไม่ว่าคุณชายติงนั้นจะไม่ดีสักเพียงใด แต่ก็เป็นผู้พาเจ้าไปหาเจ้าอาวาสน้อยท่านนี้เพื่อแก้ปัญหา น้ำใจของคนผู้นี้ต้องจดจำไว้ เดี๋ยวให้มารดาของเจ้าเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่ เจ้านำไปให้ด้วยตนเอง”

เหอโซ่วพยักหน้า เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านพ่อ เอ่ยถึงการเรียน ท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านบอกว่าชะตาชีวิตของข้าจะร่ำรวย ชะตาชีวิตจะไม่ได้เป็นขุนนาง”

ภาพตรงหน้าของเหอหยวนไว่พลันมืดลง พยุงโต๊ะเอาไว้ เอ่ยถามขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “นางคำนวณแม่นหรือไม่ เจ้าอย่าได้เอ่ยเหลวไหล”

“ข้าเห็นว่านางมีฝีมือจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่จัดการเจ้าผีเฒ่าตัวนั้นได้โดยไม่ต้องออกแรง อีกทั้งยังเอ่ยถึงบุญบารมีตระกูลเหอของพวกเราได้อย่างถูกต้อง” เหอโซ่วยิ้มหยัน “ท่านพ่อ ตัวข้าเองก็รู้ดีแก่ใจว่าข้าไม่เหมาะกับการเรียนหนังสือ การที่สอบถงเซิง[1]ผ่านล้วนเป็นเพราะความโชคดี ส่วนการสอบซิ่วไฉ[2]มาแล้วสองรอบแต่ก็ไม่ผ่าน”

เหอหยวนไว่ราวกับถูกลูกธนูปักเข้ากลางใจ เม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “หนังสือเจ้ายังต้องเรียนมันต่อไป แต่เจ้าต้องแต่งงานให้กำเนิดหลานให้ข้า เจ้ามันใช้ไม่ได้ ถือโอกาสที่ข้ายังมีพละกำลัง ให้ข้าได้เลี้ยงดูหลานอย่างเต็มที่”

เหอโซ่ว “…”

“อารามชิงผิงนั่น สร้างวิหารใหม่ใกล้จะเปิดอารามอีกครั้งแล้วมิใช่หรือ ข้ากับมารดาของเจ้าจะไปเติมน้ำมันตะเกียงด้วยตนเอง ตกลงกันตามนี้” เหอหยวนไว่กล่าวจบก็รีบก้าวเท้าเดินไปทันที เขาต้องไปหาภรรยาเพื่อหารือกันเรื่องแม่สื่อหาลูกสะใภ้ให้บุตรชาย ถึงยากจนก็ไม่เป็นไร สำคัญที่สุดก็คือคนในตระกูลจะต้องมีคนเรียนหนังสือ มิเช่นนั้นหากหาคนที่ไร้สติปัญญา เมื่อให้กำเนิดหลานมาก็คงจะไร้ความสามารถเช่นเดียวกับบิดามารดา

เหอโซ่วยังคงเหม่อลอยยืนอยู่ที่เดิม แต่งงานหรือ

อีกด้านหนึ่ง ติงหย่งเหลียงและติงโส่วซิ่นกำลังสนทนากันอย่างไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีเป็นแขกคนสำคัญของรุ่ยจวิ้นอ๋อง ภาพตรงหน้าของติงโส่วซิ่นเริ่มมืดครึ้มลง รู้สึกราวกับหมวกขุนนางบนศีรษะตนเองเริ่มจะไม่มั่นคงแล้ว

“นางมีความสามารถนี้จริงๆ” สีหน้าของติงโส่วซิ่นเริ่มเทาลง จิบน้ำชาไปหลายอึกความโกรธถึงได้ระงับลงไป

ติงหย่งเหลียงใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยว่า “มีฝีมือเหนือฟ้าเช่นนี้ แต่กลับซ่อนตัวไว้ลึกถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลฉินกำลังทำสิ่งใดอยู่”

ติงโส่วซิ่นใจเย็นลงแล้ว เอ่ย “เกรงว่าตระกูลฉินเองก็ไม่รู้ว่านางมีฝีมือเก่งกาจและเส้นสายใหญ่โตเช่นนี้ มิเช่นนั้นจะปล่อยให้เหล่าบุรุษทั้งหลายต้องลำบากอยู่ที่ซีเป่ยได้เช่นไร”

ติงหย่งเหลียงได้ยิน สมองก็เกิดประกายสว่างขึ้น เอ่ย “ตระกูลฉินไม่รู้ แต่ต่อให้นางที่มีเส้นสายเช่นนี้ก็ไม่ทำสิ่งใด ท่านพ่อ สิ่งนี้แสดงว่าไมตรีจิตของนางที่มีต่อตระกูลฉินไม่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนั้น อย่างไรนางก็ออกจากตระกูลฉินมาเข้าสู่ทางธรรมตั้งแต่ยังเด็ก”

“สิบแปดสิบเก้าแล้ว” ติงโส่วซิ่นเองก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ความกังวลลดลงไปบ้างเล็กน้อย เอ่ย “แต่อย่างไรก็เป็นตระกูลฉินเหมือนกัน ถึงแม้ไมตรีจิตจะตื้นเขิน นางเองก็คงไม่เมินเฉยต่อตระกูลฉิน จากครั้งนี้ที่ตระกูลของเราเอารัดเอาเปรียบ ก็อาจต้องมีการสืบเสาะบ้าง”

สีหน้าของติงหย่งเหลียงซึมลง เอ่ย “ตระกูลของเราได้ล่วงเกินผู้คนอย่างถึงที่สุดแล้ว”

ติงโส่วซิ่นส่งเสียงหยัน “เป็นความผิดของอาสะใภ้สามหญิงผู้โง่เขลาผู้นั้นของเจ้า ตาไม่มีแวว ปั่นป่วนบ้าน ยุแยงท่านยายของเจ้า ทำให้บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความเลวร้าย สิ่งนี้เป็นบาปแต่ดั้งเดิมของตระกูลฐานะต่ำต้อย เพียงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ก็หลงมัวเมา ไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร ต่อไปภรรยาของเจ้า ต้องไม่หาเช่นนี้มาอีก”

ติงหย่งเหลียงยิ้มเจื่อน เอ่ย “ท่านพ่อ หากไม่มีเรื่องก่อนหน้านี้ เราหาต่อไปบางทีอาจสามารถหาสตรีสูงศักดิ์ได้ ยามนี้เป็นเพราะเรื่องของตระกูลฉิน ชื่อเสียงตระกูลติงของเรา ช่าง…และข้า ไม่มีวาสนาในการสอบเคอจวี่[3]ครั้งนี้”

ความรู้ของพวกเขาไม่ถือว่าดีมาก ท่านอาจารย์ยังบอกให้เขารออีกสามปี ฉะนั้นเขาจึงไม่ไปสอบเคอจวี่ในครั้งนี้ เขาเป็นเพียงคนต่ำต้อยไร้อำนาจ ตระกูลติงยังขึ้นชื่อฉาวโฉ่เรื่องลืมบุญคุณและไม่ซื่อสัตย์ต่ออาจารย์อีก สตรีสูงศักดิ์ที่ใดกันจะยอมแต่งงานออกเรือนกับเขา

ไม่ต้องเอ่ยถึงเขา เหล่าน้องสาวก็อาจไม่สามารถหาสามีที่สมใจปรารถนาได้

เหล่าพี่น้องของครอบครัวอาสามก็ยังเล็ก ยังไม่ถึงวัยที่ต้องหาแม่สื่อ กลับกันกับพวกเขาบ้านใหญ่ ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันจนถึงที่สุด

สีหน้าของติงโส่วซิ่นเริ่มไม่น่ามอง ในเวลานี้เขาทำได้เพียงพยายามปีนขึ้นมาอย่างสุดชีวิต

“คิดดูแล้วนางคงไม่กล้าลงมือทำเรื่องชั่วร้ายแต่อย่างใด แต่พวกเราก็คงประจบประแจงไม่ขึ้น ขอเพียงอย่าได้เป็นศัตรูต่อกันอีก อารามชิงผิงเปิดอาราม เจ้าไปเติมน้ำมันตะเกียงสรรเสริญด้วยตัวเองเถิด” ติงโส่วซิ่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ามืดมน “ส่วนเรื่องอื่น หลังจากนี้ค่อยวางแผน”

คงทำได้เพียงเท่านี้

ด้วยเหตุนี้เมื่อมาถึงหน้าอารามชิงผิงในรูปลักษณ์ใหม่ที่เปิดอีกครั้งเพื่อต้อนรับผู้มาแสวงบุญ ฉินหลิวซีในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสน้อยจึงมาควบคุมด้วยตนเอง ไม่เพียงเห็นการสรรเสริญเยินยอจากผู้คนที่เคยมารักษากับนาง ยังเห็นติงหย่งเหลียงที่ยิ้มหน้าบานเป็นดอกเบญจมาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประจบเอาใจ

“คุณชายติงผู้นี้ ช่างยืดได้หดได้ แต่โชคชะตาไม่ดีนัก” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับพ่นลมหายใจเบาๆ

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเคาะหัวของนาง “รู้จักพอบ้าง อย่าเป็นคนขวางโลกเกินไป ขาของเจ้ายังใช้การไม่ได้”

ฉินหลิวซีมองไปยังขาทั้งสองข้างที่ยังไม่หายดี เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ข้าเองก็ไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายอันใด การช่วยบุตรสาวตระกูลซือ เทียบเท่ากับการช่วยเหลือผู้คนมากมาย ก็นับว่าเป็นบุญกุศลแล้ว มันยังทำให้ข้าพิการนานเพียงนี้อีก สวรรค์ไร้ศีลธรรมไม่ยุติธรรมกับข้าเลย”

ครื้นนน

ผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไยถึงเกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นกะทันหันได้

ใบหน้าของฉินหลิวซีครึ้มลง

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข “ข้าสั่งสอนเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ว่าปากต้องเอ่ยแต่สิ่งดี อย่าก่นด่าบ่อยนัก ต้องตักเตือนเสียบ้าง”

ฉินหลิวซียิ้มอย่างไม่จริงใจพลางเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าจะเชื่อฟังท่าน ขาของข้าก็พิการ ร่างกายและจิตใจล้วนได้รับบาดเจ็บ ต้องได้รับการบำรุงดูแล เช่นนั้นต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสและอาจารย์ศิษย์ทุกท่านหาเงินค่าน้ำมันตะเกียงแล้วล่ะ”

ยอมให้ตักเตือน ยอมให้ท่านบังคับ เฮ้อ ข้ามันเอาแต่ใจ ข้าขอถอนตัวแล้ว

[1]ถงเซิง เป็นการสอบระดับต่ำสุดในการสอบเพื่อคัดเลือกปัญญาชนเข้ารับราชการระดับท้องถิ่น

[2]ซิ่วไฉ การสอบเพื่อคัดเลือกปัญญาชนเข้ารับราชการระดับอำเภอ ซึ่งต้องผ่านการสอบถงเซิงก่อน

[3]เคอจวี่ ระบบการคัดเลือกข้าราชการที่ทางราชสำนักจัดขึ้นให้เป็นการสอบส่วนกลาง เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถตามผลคะแนนสอบ เพื่อแต่งตั้งเป็นดำรงตำแหน่งข้าราชการในส่วนต่างๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท