คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 501 คนพิการรักษาคนพิการเช่นนั้นหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 501 คนพิการรักษาคนพิการเช่นนั้นหรือ

ฉินหลิวซีเห็นเย่ว์ติ้ง หลานชายเพียงคนเดียวของตงหยางโหวแล้ว เพียงแต่ เขาแต่งตัวอลังการเกินไปหรือไม่

เสื้อและชุดคลุมสีดำไปทั้งตัว คอเสื้อและแขนเสื้อปักลายอักขระมงคลสีทองทั้งหมด มุมชุดคลุมยังปักลายเหยี่ยวที่กำลังบินร่อนไว้อยู่หนึ่งตัว สง่าผ่าเผยเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างเอวรัดด้วยเข็มขัดทองถักสีแดงเข้ม ห้อยด้วยจี้หยกใสแวววาว ผมถูกหวีขึ้นและรัดด้วยกวานสีม่วงทองฝังด้วยเม็ดทับทิม ทำให้เขาดูสูงส่งขึ้น

เย่ว์ติ้งเกิดมาเพื่อเป็นทหาร คิ้วเข้มตาโต ขนตาหนาและยาว ผิวสีแทน แววตาทั้งคู่คมเป็นประกาย ราวกับเสือซ่อนเล็บ กลิ่นอายบุรุษเพศของชายชาตรีกระจายอยู่ทั่วทั้งร่าง แม้ว่าเขาจะนั่งนิ่งบนรถเข็น ก็ไม่ได้ทำให้บุคลิกที่กล้าหาญเข้มแข็งอดทนของเขาอ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวราวกับนกยูงรําแพน ทว่าเป็นบุรุษอย่างแท้จริง ฉลาด รูปงาม กล้าหาญ สารในร่างกายพลุ่งพล่าน

ตงหยางโหวไม่ได้โกหกนาง หน้าตาดูไม่เลวเลยจริงๆ ชาติตระกูลก็ดี เป็นลูกเขยที่ล้ำค่าเสียจริง

ช่างดีจริงๆ

บ่าวรับใช้ชรามองเห็นนัยน์ตาของฉินหลิวซีเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมา ความคิดในใจก็คลายลงมาบ้าง สีหน้านี้ก็พลันสงบลง

มองไปยังนายน้อยของตนเองอีกครั้ง เอ๋?

เย่ว์ติ้งจ้องมองไปยังฉินหลิวซีที่นั่งอยู่บนรถเข็น สมองพลันว่างเปล่า ในใจพังทลาย

ท่านปู่กับลุงกวนไม่เคยเอ่ยมาก่อนเลยว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวเองก็พิการเคลื่อนไหวไม่สะดวก แล้วตรงหน้านี้คืออะไรกัน

คนพิการผู้หนึ่งจะมารักษาโรคพิการของคนพิการอย่างเขาเช่นนั้นหรือ

นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเชื่อถือมากจริงๆ

เย่ว์ติ้งรู้สึกว่าตนเองถูกท่านปู่และบ่าวรับใช้ชราหลอกเข้าให้แล้ว เดินทางไกลเป็นพันลี้เพื่อมาที่นี่ เส้นทางโคลงเคลงเป็นหลุมเป็นบ่อ อีกฝ่ายกลับพิการเช่นเดียวกัน

ใบหน้าของเขาทะมึนลง

บ่าวรับใช้ชราเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของเขา จึงกระแอมกระไอ เอ่ย “นายน้อย ท่านนิ่งอยู่ไย ท่านผู้นี้คือท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว”

เขายืนอยู่ข้างๆ เย่ว์ติ้ง มือวางบนรถเข็นของเขา ยื่นนิ้วออกไปออกแรงกด คิดในใจ ทักทายเถิด

เย่ว์ติ้งเงยหน้าขึ้นมองไปยังฉินหลิวซี ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อ่อนหวานและนุ่มนวล แต่ดูองอาจผ่าเผย อีกทั้งการแต่งกายด้วยชุดดำและมวยผมแบบเต๋า ยิ่งดูไม่เห็นถึงความเป็นสตรี

ทว่าดวงตาของนางงดงามและดูดีเป็นอย่างมาก ราวกับสามารถมองทะลุไปถึงใจผู้คนได้ เพียงแต่บัดนี้ในแววตานั้นมีความสนใจอยู่เล็กน้อย

นางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง และยังเป็นสตรีที่อายุยังน้อย

เย่ว์ติ้งเน้นถึงจุดนี้ขึ้นในใจ ตีหน้านิ่งยกมือขึ้นทำความเคารพ “ข้าน้อยเย่ว์ติ้ง ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าอาวาสน้อย”

เขาบังคับตนเองไม่ให้มองนางที่นั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าทันทีที่หลุบสายตาลงก็ชำเลืองมองขาของนาง ไม่สามารถละสายตาได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พิการ เห็นว่านางไม่มีความกลัดกลุ้มเศร้าหมองใดๆ นางไม่ได้ใส่ใจมันเลยหรือ

“ท่านแม่ทัพน้อย ท่านคงไม่ได้กำลังคิดว่าข้าเป็นเพียงแค่คนพิการ จะสามารถรักษาความพิการของท่านได้อย่างไรอยู่ใช่หรือไม่” ฉินหลิวซียิ้มเย้ยหยัน

ใบหน้าของเย่ว์ติ้งพลันร้อนขึ้น รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

บ่าวรับใช้ชราที่เพิ่งได้สติกลับมา ตบเบาๆ ที่หน้าผากของตนเอง เอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด “ดูความจำของบ่าวเฒ่านี้สิ บ่าวลืมบอกไปนายน้อย ท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ที่นางพิการก็เพราะว่าได้รับห้าโทษสามวิบัตินั่นของสำนักเต๋า”

ห้าโทษสามวิบัติหรือ

เย่ว์ติ้งฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก โดยมีตงหยางโหวคอยสั่งสอนอยู่ข้างกาย และรวมถึงในหมู่บุรุษมาตั้งแต่เด็ก สำหรับเรื่องศาสนาและเทพเจ้าเขาไม่เคยเชื่อมาก่อน เขาไม่เคยเข้าวัดวาอารามมาก่อน ประการแรกเพราะไม่เชื่อ ประการที่สองเขาเองก็ยุ่งกับการฝึกฝนการทหารและการต่อสู้จึงไม่มีเวลานั้น

ฉะนั้นจึงไม่เข้าใจกฎและข้อบังคับของสำนักเต๋าเช่นกัน ว่าห้าโทษสามวิบัติคือสิ่งใด

“ไม่ผิด ข้ากำลังรับโทษจากสวรรค์ แค่พิการเล่นๆ ไม่แน่พรุ่งนี้หรืออาจนานกว่านั้น ข้าก็สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

พิการเล่นๆ เช่นนั้นหรือ

คำพูดนี้ช่างน่าโมโหเสียจริง

เย่ว์ติ้งดึงมุมปากขึ้น เอ่ยถาม “โทษสวรรค์เช่นนั้นหรือ”

เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นกระมัง บอกว่าสวรรค์ลงโทษ มิสู้บอกว่าเจ้าไปชนหรือกระแทกมาจากที่ใดจะดีกว่า

แต่ว่าเขาเองก็รู้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่คุ้นเคย ไม่อาจเสียมารยาท

ฉินหลิวซียิ้มบาง “มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ทำสิ่งใดที่ไม่เห็นพ้องกับกฎสวรรค์ แน่นอนว่าต้องได้รับโทษ คนในสำนักเต๋าก็เป็นเช่นนี้ มีกฎสวรรค์ควบคุมอยู่ เช่นเดียวกับประเพณีปฏิบัติของคนทั่วไป ก็ต้องมีกฎหมายควบคุมไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นคิดทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น จะไม่ยุ่งวุ่นวายหรืออย่างไร”

เมื่อฟังเหตุผลเหล่านั้นจบ

“ส่งมือมาเถิด” ฉินหลิวซีก็ผลักรถเข็นเคลื่อนมาอยู่ด้านข้างของโต๊ะ ส่งสัญญาณให้เขายื่นมือมาวางไว้บนหมอนยา “ให้ข้าดูอาการของเจ้า”

เย่ว์ติ้งชะงัก

บ่าวรับใช้ชรายินดีเป็นอย่างยิ่ง มองนายน้อยที่มึนงง จึงถลกแขนเสื้อของเขาขึ้นมาด้วยตนเอง จับมือมาวางไว้บนหมอนยา

เย่ว์ติ้งมองแววตาดูสนใจของฉินหลิวซี แก้มทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าน เอ่ย “ลุงกวน มือของข้าไม่ได้พิการ”

“สงบจิตสงบใจ” ฉินหลิวซีดุเบาๆ สองนิ้วยื่นมาวางทาบจุดชีพจรบนข้อมือของเขา

เย่ว์ติ้งเห็นเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยให้มากความ ทำจิตใจให้สงบลง เพียงมองสตรีที่กำลังตรวจชีพจรจริงจังตรงหน้า

ฉินหลิวซีที่จับชีพจรเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนเป็นมืออีกข้าง โดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เย่ว์ติ้งเองที่กำลังจะเอ่ยถาม นางพลันหันไปเอ่ยกับเถิงเจาที่อยู่ด้านข้าง “เจาเจา เจ้าช่วยจับชีพจรของแม่ทัพน้อยท่านนี้ที”

เถิงเจาพลันชะงักไป

เหล่าเย่ว์ติ้งใบหน้าทะมึนขึ้น ฉินหลิวซีที่เดิมว่าเด็กแล้ว เถิงเจายิ่งเด็กกว่า ทว่ากลับเรียกเขามาจับชีพจร นี่กำลังล้อเขาเล่นอยู่งั้นหรือ

องครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอยากพุ่งเข้ามา ทว่าจำคำกำชับของบ่าวรับใช้ชราได้ขึ้นใจ อยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นมังกรเองก็ต้องขดตัวเอาไว้ อย่ายุแหย่สร้างปัญหาให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยอารมณ์ไม่ดี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการรักษาของนายน้อยเป็นหลัก

แต่นี่คือการรักษาอย่างจริงจังจริงๆ หรือ

“ท่านอาจารย์”

“ให้เจ้าจับเจ้าก็จับ ยากที่จะมีคนไข้ที่เป็นอัมพาตเช่นคนตรงหน้า ดูให้มาก” ฉินหลิวซีมองไปยังเย่ว์ติ้ง “ไม่ต้องกังวล อีกประเดี๋ยวข้าจะคุยกับท่าน”

ความอดทนเย่ว์ติ้งเองก็ฝึกมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กน้อยที่วัยสามารถเป็นลูกชายของเขาได้กำลังจะจับชีพจรให้ตน เขาเองก็รู้สึกว่ามันผิดทำนองคลองธรรม

เถิงเจาวางนิ้วมือบนข้อมือของเย่ว์ติ้งแล้ว สัมผัสได้ถึงลักษณะชีพจรกำลังวิ่งเต้น เขามองเย่ว์ติ้งพลางเอ่ย “ชีพจรของท่านแม่ทัพน้อยนั้นแรงและเร็ว ในยามที่เป็นปกติกลับจับไม่ได้”

เย่ว์ติ้ง “…”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนคลายลมหายใจออก

ความจริงเถิงเจาได้เรียนการจับชีพจรมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้จับชีพจรของเย่ว์ติ้ง ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ยังเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “ชีพจรจมคลุมเครือ เส้นเอ็นไร้เรี่ยวแรง” ภายใต้การจับตามองของฉินหลิวซี ขมับเริ่มมีเหงื่อซึม เอ่ย “ท่านอาจารย์ ข้าสัมผัสได้เพียงเท่านี้ขอรับ”

ฉินหลิวซียิ้มชื่นชม เอ่ย “อาจารย์เองก็หาพบเช่นนี้ วิธีการวินิจฉัยโรคของเจ้านั้นถูกแล้ว”

เย่ว์ติ้งมองไปยังทั้งสอง คิดในใจว่าไม่ใช่การร่วมมือกันจริงหรือ

เถิงเจาที่ถูกชื่นชมกลับไม่ได้ถือดี เขากลับคิ้วขมวด เอ่ยถามว่า “เส้นเอ็นไร้เรี่ยวแรง เป็นเพราะสาเหตุจากข้อต่อกระดูกมือเท้าทั้งสี่ของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้”

“แน่นอนว่าใช่ อัมพาตเพราะมือเท้าทั้งสี่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง กล้ามเนื้อหย่อนยาน และแขนขาทั้งสี่ยกไม่ขึ้น ข้อต่อเส้นเอ็นไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เรียกว่าอัมพาต ลักษณะชีพจรจมลึกและคลุมเครือ เส้นลมปราณอุดตัน แล้วก็เลือดคั่งอุดตันจมลึก มีการบาดเจ็บภายในทับถม จึงเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นธรรมดา”

ฉินหลิวซีมองไปยังเย่ว์ติ้งเอ่ยและเอ่ยขึ้น “ข้าดูลักษณะชีพจรของท่านแล้ว แม้ว่าจะมีการติดขัด แต่ไม่ได้รุนแรง อย่างน้อยก็ไม่ถึงหัวใจจนทำให้เป็นโรคซึมเศร้า เช่นนั้นก็ยิ่งจะมืดมน เรื่องนี้ถือว่าไม่เลวนัก ข้าสงสัยเล็กน้อย ไยท่านจึงไม่รู้สึกหดหู่สิ้นหวังกับร่างกายที่เป็นอัมพาตนี้ของท่าน ท่านคิดอย่างไร ได้ยินแม่ทัพอาวุโสเล่าว่าท่านได้รับบาดเจ็บจนเป็นอัมพาต ท่านสะดวกเล่าได้หรือไม่”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท