คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 507 เพียงมนต์ดำธรรมดา สำหรับบรรพบุรุษน้อยแล้วจะไปยากอะไร

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 507 เพียงมนต์ดำธรรมดา สำหรับบรรพบุรุษน้อยแล้วจะไปยากอะไร

ไปเมืองหลวงใช่ว่าบอกว่าไปแล้วจะไปได้ ในมือฉินหลิวซียังมีผู้ป่วยหนึ่งคน ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนออกเดินทาง ถึงตอนนั้นใช้เส้นทางหยินหรือใช้วิชาย่นระยะเพื่อเดินทางก็ได้

ขณะที่ฉินหลิวซีกำลังหารือกับเฟิงซิว ด้านนอกมีเสียงเรียกดังเข้ามา ฟังแล้วรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง

เหมือนจะเป็นหมีตัวนั้น

ฉินหลิวซีรีบสาวเท้าออกไป เห็นสยงเอ้อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจจริงๆ ด้านหลังของเขายังมีองครักษ์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อคนหนึ่งกำลังแบกคนหนึ่งคนอยู่บนหลัง

“แม่นางฉิน ไม่สิ ท่านเจ้าอาวาสน้อย ช่วยด้วย รีบช่วยจิ่งเสี่ยวซื่อด้วย” สยงเอ้อร์พุ่งตัวเข้าไป แทบชนฉินหลิวซีล้มอยู่แล้ว ถูกเฟิงซิวยื่นนิ้วหนึ่งออกไปขวางเอาไว้

“พูดก็พูด ไม่ต้องพุ่งตัวเข้ามา” เฟิงซิวขมวดคิ้วตำหนิ

สยงเอ้อร์มองดูเขาที่อยู่ในชุดยาวแดงทั้งตัว มองเลยต่อขึ้นมาด้านบน สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้างดงามหล่อเหลาน่าหลงใหล

โอ้ กลิ่นไอปีศาจของบุรุษผู้นี้ งดงามยิ่งกว่าสตรีเสียอีก

เพียงมีความคิดโผล่เข้ามาในหัว เขาก็ตบตนเองไปหนึ่งครั้ง หันไปยังฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยด้วยขอรับ”

“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” ก่อนหน้านี้ฉินหลิวซีแยกจากพวกเขาก็ไปช่วยซือเหลิ่งเย่ว์แก้คำสาปแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นึกว่าพวกเขาจากไปแล้ว ไยจึงปรากฏตัวอีกแล้วเล่า

สยงเอ้อร์เอ่ย “ยังไม่ไปขอรับ พวกเราเที่ยวเล่นอยู่ในหนิงโจวตลอด ตอนนี้มิใช่เล่นจนได้เรื่องแล้วหรือ ท่านรีบดูเสี่ยวซื่อ ช่วงนี้เขาโชคร้ายเป็นที่สุด ดื่มน้ำเย็นยังเสียวฟัน ยามนี้ไม่รู้ไยจึงสลบไม่ฟื้นแล้ว”

องครักษ์วางจิ่งเสี่ยวซื่อไว้บนเตียงเล็กในร้านแล้ว

ฉินหลิวซีมองไป หัวคิ้วขมวดขึ้น โหงวเฮ้งเขาเปลี่ยนแล้ว อีกทั้งอายุขัยก็เปลี่ยนด้วย

“เจ้าคนอายุสั้นนี้คือผู้ใด” เฟิงซิวปรายตามองเล็กน้อยก็เอ่ยถาม

สยงเอ้อร์มองสบตาด้วยความโกรธ

องครักษ์เองก็จับกระบี่ที่เอว จ้องมองบุรุษที่ดูราวกับปีศาจตรงหน้า รู้สึกโกรธยิ่งนัก ปากของคนผู้นี้ช่างน่าต่อยอะไรเช่นนี้

เฟิงซิวเอ่ย “ทำไมหรือ อยากทะเลาะหรือ เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ ไม่เรียกอายุสั้นให้เรียกอะไรล่ะ”

สยงเอ้อร์สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เส้นเลือดปูดโปน เอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าเหลวไหล”

“เขาไม่ได้เหลวไหล” ฉินหลิวซีตรวจชีพจรให้จิ่งเสี่ยวซื่อ เอ่ย “โหวงเฮ้งของคุณชายจิ่งเปลี่ยนไปแล้ว อายุขัยไม่ยาวแล้วจริงๆ”

สยงเอ้อร์ตกตะลึงไม่น้อย ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าซีดขาวพลางเอ่ย “ได้อย่างไรกัน ร่างกายของเขาดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ ยังเป็นท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านเป็นคนช่วย ไยอายุขัยจึงไม่ยาวแล้วเล่า”

“ยังต้องเอ่ยอีกหรือ คงเพราะมีใครทำการอะไรกระมัง” เฟิงซิวเอ่ยเสียงเบื่อหน่าย

ฉินหลิวซีเองก็เอ่ย “เขาถูกคนชิงอายุขัยไปแล้ว”

ชิงอายุขัยหรือ

สยงเอ้อร์ไม่อาจเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ทั้งหมด แต่เพียงฟังก็รู้ว่าเป็นคำไม่ดี ใช้คำว่าชิง อย่างนั้นคงโดนใครสักคนใช้ทางมืดแล้วเป็นแน่

องครักษ์รีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ชิงอายุขัยหมายความอย่างไรขอรับ”

ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่ม ปักเข็มลงในตำแหน่งเส้นลมปรานของจิ่งเสี่ยวซื่อหลายตำแหน่ง อีกฝ่ายพลันฟื้นขึ้นมา พอดีได้ยินคำถามขององครักษ์ รู้สึกงุนงงขึ้นมาชั่วขณะ

สยงเอ้อร์เห็นว่าเขาฟื้นแล้ว พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วกอดเขาร้องไห้สะอึกสะอื้น “เจ้านี่ช่างมีชีวิตน่าสงสารอะไรเช่นนี้ ควรเป็นคุณชายผู้สูงส่งดีๆ แท้ๆ นี่ไม่ถูกพิษกู่ก็ถูกคนชิงอายุขัย เรื่องโชคร้ายต่างก็ตกมาอยู่ที่เจ้า สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม ฮือๆ”

จิ่งเสี่ยวซื่อถูกแขนใหญ่สองข้างของเขากอดเอาไว้แน่น รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย ผลักเขาออกอย่างอดไม่ได้ “หุบปากเถิด อายุขัยข้ายังไม่ทันถูกแย่งไปหมดก็ต้องมาตายเพราะเจ้ารัดตายแล้ว”

สยงเอ้อร์รีบปล่อย มองเขาอย่างร้อนรน “รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่”

จิ่งเสี่ยวซื่อสูดหายใจเข้าลึก หันไปทางฉินหลิวซี ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ชิงอายุขัยหมายความเช่นไรหรือ”

“ก็ตามตัวอักษร” ฉินหลิวซีเอ่ย “เดิมเจ้ามีอายุขัยเจ็ดสิบกว่า ยามนี้ถูกคนใช้มนต์ดำชิงเอาไปมากกว่าครึ่ง เจ้าจะมีอายุอยู่ได้ไปเกินสามสิบ และเดิมคนที่ชิงอายุขัยของเจ้านั้นต้องตายไปแล้ว ยามนี้อายุขัยได้เพิ่มขึ้น ไม่ตายแล้ว”

สยงเอ้อร์ร้องไห้ด้วยความตกอกตกใจอีกครั้ง

“ร้องไห้อะไรกัน บุรุษตัวใหญ่มาร้องห่มร้องไห้เหมือนอะไร ดูเจ้าตัวโตอย่างกับหมี กลับมาร้องห่มร้องไห้ราวกับสตรี ไม่อายหรือ” เฟิงซิวขัดหูขัดตา เอ่ยตำหนิอย่างรังเกียจ

สยงเอ้อร์เถียงกลับไป “เจ้าจะเข้าใจอะไร เสี่ยวซื่อเป็นพี่น้องของข้า เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอาข้า เขาอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ข้าร้องไห้ไม่ได้หรือ เจ้าผู้นี้เกิดมาดูดีเสียเปล่าแต่กลับไม่มีจิตใจแม้เพียงนิด เฮอะ”

เฟิงซิวถลึงตา “ก็แค่มนต์ดำ สำหรับบรรพบุรุษน้อยแล้วจะไปยากอะไร เจ้าพาเขากลับมาให้นางช่วยชีวิตแล้ว ยังจะมาโศกเศร้าอะไรอีก”

เสียงร้องไห้ของสยงเอ้อร์ชะงัก “นั่นน่ะสิ”

เฟิงซิวกลอกตา เจ้าโง่

จิ่งเสี่ยวซื่อแทบไม่อยากมองความโง่เขลาของญาติผู้พี่แล้ว ถามฉินหลิวซีว่าจะรู้ได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนชิงอายุขัยเขาไป

“บอกวันเวลาเกิดมา ข้าจะคำนวณให้ท่านสักหน่อย”

จิ่งเสี่ยวซื่อรีบบอกวันเวลาเกิดของตน ไม่ได้ระแวงว่ามีคนนอก

ในเมื่อเฟิงซิวมองออกถึงปัญหาของเขา ทั้งยังอยู่กับฉินหลิวซีที่นี่ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่นางเชื่อใจ ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังแล้ว

ฉินหลิวซีหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาคำนวณอย่างรวดเร็ว มองแผ่นแปดเหลี่ยมที่ปรากฏขึ้นมา เอ่ย “คนผู้นี้มีวาสนาใกล้ชิดกับท่าน ทว่าไม่ได้ลึกซึ้ง มีความบกพร่องร่างกายอ่อนแอมีอาการป่วยมากมาย”

จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้าทะมึน

“เป็นเขาจริงๆ” สยงเอ้อร์กัดฟันเอ่ย “เสี่ยวซื่อ ไม่แน่ว่าพิษกู่ในร่างกายเจ้าก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือของสตรีผู้นั้น พวกเขาช่างมีจิตใจโหดเหี้ยม เอาชีวิตเจ้าไม่ได้ ยามนี้ยังจะเอาอายุขัยของเจ้าหรือ เหอะ หน้าไม่อาย”

เฟิงซิวปรายตามองพวกเขา เอ่ย “เพียงฟังก็รู้ว่าเป็นความชั่วร้ายในเรือนหลังเหล่านั้น มนุษย์บนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ เอาแต่ใช้วิธีการชั่วร้าย”

สยงเอ้อร์เอ่ยตอบด้วยความโกรธ “เอ่ยอย่างกับเจ้าไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ”

เฟิงซิวเคลื่อนใบหน้าเข้าไปตรงหน้าเขา “เจ้ามองดูใบหน้าที่มองมุมไหนก็งดงามของข้านี้ เหมือนมนุษย์หรือไม่”

สยงเอ้อร์หูแดง ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เขาปฏิเสธอึกๆ อักๆ

จิ่งเสี่ยวซื่อมองฉินหลิวซี เอ่ย “ข้ามีบุตรชายร่วมบิดาต่างมารดาผู้หนึ่ง มีความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด ร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อยมาตั้งแต่เด็ก ปีนี้เพิ่งสิบขวบ เป็นเขาที่ยืมอายุขัยของข้าหรือ”

“ร่วมบิดาต่างมารดาหรือ” ฉินหลิวซีมองแผ่นแปดเหลี่ยม เอ่ยอย่างมีนัยยะ “ข้าบอกว่ามีความใกล้ชิด ทว่าไม่ได้ลึกซึ้งเช่นนี้นะ”

จิ่งเสี่ยวซื่อชะงัก สยงเอ้อร์เองก็ตื่นตระหนก เอ่ย “ไม่ใช่เจ้าเด็กเสแสร้งนั่นหรือ”

“ใกล้ชิดก็เป็นญาติผู้พี่ผู้น้องได้ เหมือนเจ้ากับเขาที่เป็นญาติพี่น้อง อาจจะไกลอีกสักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค ยกมือของเขาขึ้นมาอีกครั้ง สองนิ้วทาบลงไป มืออีกข้างจรดปลายนิ้ว ท่องคาถาโยงสายเลือดเงียบๆ เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “เมื่อครู่ข้าใช้คาถาโยงสายเลือดให้ท่านแล้ว ท่านไม่มีพี่น้องสายเลือดเดียวกัน บิดาของท่าน มีท่านเพียงคนเดียว หมายความว่าร่วมบิดาต่างมารดาก็ไม่มี”

สยงเอ้อร์อึกอักพูดไม่ออก ดวงตาสับสนค้างเติ่ง

นี่หมายความเจ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่สายเลือดของตระกูลจิ่ง

บนศีรษะของท่านพ่อจิ่งเสี่ยวซื่อมีทุ่งหญ้าสีเขียวเกิดขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

ท่านพ่อ ดูสิว่าข้าได้ยินคำทำนายน่าตกใจอะไรขนาดนี้ ท่านอาจิ่งโดนสวมเขาแล้ว เพียงแต่โล่งอก หากได้เอ่ยต่อหน้าเขา ดูเถิดว่าเขายังจะมีหน้าเอ่ยว่าสตรีนางนั้นเป็นรักแท้ได้อย่างไร

ดวงตาของสยงเอ้อร์ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งการนินทา อยากรีบกลับเมืองหลวงประกาศให้โลกรับรู้เสียเดี๋ยวนี้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท