คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 511 ปรานีผีบ้าง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 511 ปรานีผีบ้าง

หอจุ้ยเซียนเป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมืองหลี สภาพแวดล้อมดี อาหารเองก็ดี แต่ราคาอาหารค่อนข้างมีราคา คนที่มากินอาหารที่นี่ โดยเฉพาะคนที่จ่ายต้องมีต่ำๆ ในกระเป๋าร้อยตำลึงขึ้นไปถึงจะเข้ามาได้

พวกฉินหลิวซีบุคลิกสง่า สวมอาภรณ์ชั้นดี พอพวกเขาเดินมาถึงราวระเบียงชั้นสอง เหล่าแขกก็หลีกทางให้ราวมีกลไก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ก่อความเดือดร้อนให้คนชั้นสูงโดยมิได้ตั้งใจนั่นเอง

ทว่ามีหญิงสาวใจกล้าบางส่วนชม้อยชม้ายชายตามองไปทางบุรุษเหล่านี้ โดยเฉพาะเฟิงซิว บุรุษผู้นี้หล่อเหลามากเกินไปแล้ว

ความสนใจของพวกฉินหลิวซีจับจ้องอยู่ทางด้านล่าง บนโต๊ะกลม สาวร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งกำลังยัดอาหารลงท้องอย่างบ้าคลั่ง การกระทำหยาบกระด้าง เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนโต๊ะ สองมือหยิบจับอาหารขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ซึ่งหน้าท้องนูนป่องออกมานานแล้ว

ส่วนด้านข้างหญิงสาวผู้นั้นมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งคอยดึงนางไว้ ส่วนสาวใช้อีกคนกรีดร้องเสียงแหลมเรียกหาหมอ

“เรียกหาหมอก็ไม่มีประโยชน์กระมัง แบบนี้ดูท่าทางเหมือนถูกของสกปรกบางอย่างเข้าร่างกายมากกว่า” มีคนเอ่ยขึ้น

“เกรงว่าจะเป็นผีปอบกระมัง”

ครั้นประโยคนี้โพล่งขึ้นมาก็มีคนเซถอยหลังไปหลายก้าว

สยงเอ้อร์ชะโงกดูปลาและเนื้อชิ้นโตบนโต๊ะ ทว่าเห็นหญิงสาวกินอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดเช่นนั้นก็พานรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา เอ่ยถามฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสน้อย นางโดนของเข้าจริงๆ หรือ”

ฉินหลิวซีกล่าว “มีผีปอบสิงร่างนางจริงๆ”

เสียงของพวกเขาดังอยู่บ้าง คนรอบข้างได้ยินเช่นนั้นก็พากันตกใจยกใหญ่

มีคนใจกล้ามองมาพลางเอ่ยถามฉินหลิวซี “เจ้ารู้ได้เช่นไร เจ้ามองเห็นหรือ”

สยงเอ้อร์ร้องเสียงฮึหนึ่งที “เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าท่านผู้นี้เป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง เก่งกาจมากทีเดียว”

“อารามชิงผิงหรือ”

“ข้ารู้จัก อยู่นอกเมือง ตอนนี้อารามชิงผิงมีพลังศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ สร้างหลังคาทองแล้ว แม้แต่ร่างของเจ้าลัทธิเต๋าก็เหมือนดั่งร่างทอง ตอนนี้กำลังสร้างหอเติงเซียนอยู่ พลังบารมีมากทีเดียว”

ฉินหลิวซีเงยหน้าเชิดอกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิ เพราะล้วนเป็นฝีมือนางทั้งนั้น

“แต่ยังห่างชั้นกับอารามจินหวาที่เซิ่งจิงอยู่บ้าง อารามจินหวารูปปั้นเทพเจ้าแทบเป็นร่างทองทั้งหมด วิหารก็เป็นหลังคาทอง หากมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา สีทองก็จะเปล่งประกายวิบวับจนแสบตาเลยทีเดียว”

รอยยิ้มที่มุมปากของฉินหลิวซีแข็งทื่อก่อนจะเหลือบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่งด้วยสีหน้าขึงขัง “ไม่ช้าก็เร็วอารามชิงผิงก็จะมีบารมีน่าเกรงขามเช่นนั้นเหมือนกัน หึ”

คนที่ถูกจับจ้องเผยสีหน้าไร้เดียงสา เขาพูดความจริงแต่เหตุใดถึงยังโดนรังเกียจอีกเล่า

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโมโหหรือจงใจ ฉินหลิวซีพลิกตัวข้ามรั้วกระโดดลงข้างล่างไป ทำเอาคนไม่น้อยต่างตกใจหวาดผวากันยกใหญ่

“เอ๊ะ ลงพื้นได้อย่างมั่นคงแล้ว ที่แท้นักพรตอารามชิงผิงก็มีวิทยายุทธ์ตัวเบาด้วยหรือนี่”

ทันใดนั้นสยงเอ้อร์และจิ่งเสี่ยวซื่อที่ใจเต้นแรงตึกตัก พอเห็นฉินหลิวซีจรดลงพื้นอย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทำเอาพวกเขาตกอกตกใจหมด

“ปะ พวกเราก็ลงไปด้วยเลย”

ฉินหลิวซีเดินไปตรงหน้าหญิงสาวที่กินอย่างตะกละตะกลามแล้วดึงตัวสาวรับใช้ที่ร่ำไห้ไม่หยุดไปอีกฝั่ง มองหญิงสาวคนนั้นแล้วเอ่ย “เจ้าจะออกมาเองหรือจะให้ข้าจับเจ้าออกมา”

หญิงสาวเขมือบขาหมูอยู่ พอเห็นฉินหลิวซีก็ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าหน้ามนนี่มาจากไหน ไปให้พ้น!”

ฉินหลิวซี “นี่จะให้ข้าลงมือแล้วหรือ ครั้งก่อนข้าจับผีปอบได้ตัวหนึ่ง สุดท้ายเป็นอย่างไรเจ้ารู้หรือไม่ ถูกข้าซัดจนวิญญาณสลายไปแล้ว”

นางถลกแขนเสื้อขึ้นขณะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับชวนให้ผีปอบร่างสั่นสะท้าน ท่วงท่าการกินเนื้อก็ยิ่งคำโต

เจ้าเด็กหน้ามนนี่จะมีความสามารถอะไรได้ คงแค่ขู่สร้างความน่าเกรงขามกระมัง

ฉินหลิวซีหยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมา หญิงสาวคนนั้นมองแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้ากล้าหรือ ข้า ข้ากลืนกินวิญญาณของแม่นางผู้นี้ไปแล้ว”

“เหอะ เจ้าใจกล้าไม่เบา ข่มขู่ข้าหรือ” ฉินหลิวซีพุ่งหายวับไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าเรียวนิ้วของนางขึ้นมาก่อนใช้ตะเกียบหนีบสุดแรงเพื่อฉุดกระชากวิญญาณของร่างผีปอบ

เร็วเกินไปแล้ว

ผีปอบถูกฉุดออกมาจากกายหยาบ ร่างหญิงสาวอ่อนยวบลงกับพื้น มันเห็นเช่นนั้นก็หมายจะหนีไป

ฉินหลิวซีลากตัวมันมา “จะไปไหน ให้เจ้าไปแล้วหรือ”

นางดึงเส้นผมก่อนใช้แรงเหวี่ยง ผีปอบก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด

คนในหอรู้สึกเพียงมีลมเย็นพัดเป็นระลอกจึงใช้สองแขนกอดอก จากนั้นก็หนีออกห่างจากฉินหลิวซีไกลมากกว่าเดิมพลางมองอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

นางจับตัวอะไรมาเหวี่ยงตบตีหรือ

ราวกับทุกคนตรงหน้าได้เปิดโลกใหม่ รู้สึกว่านางจับผีตัวหนึ่งมาตบตี ปล่อยหมัดใช้เท้าเตะถีบ

รุนแรงมากทีเดียว!

“ท่านอาจารย์ไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว” ผีปอบร้องฮือขอชีวิต

“สายไปแล้ว”

โฮ แงๆ

มีเด็กน้อยตกใจร้องไห้ ตะโกนขึ้นว่า “จะตีผีจนตายแล้ว!”

ฉินหลิวซี “…”

มีผีตนหนึ่งลอยมาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว แหวขึ้นเสียงสูง “ท่านอาจารย์ ปรานีผีบ้างเถิด เห็นแก่ข้า ไว้ชีวิตผีตนนี้ด้วย!”

เฮ้อ ผีที่คุ้นเคย

ฉินหลิวซีหยุดทารุณก่อนมองผีผูกคอตายลิ้นยาว แล้วจึงเอ่ย “ทำไมไม่ผูกหูกระต่ายให้ลิ้นดีๆ ไม่มีภาพลักษณ์ดีๆ เอาเสียเลย”

ผีผูกคอตายอับอายสุดขีด นี่เป็นแบบอย่างของผีผูกคอตายอย่างแท้จริงไม่ใช่หรือ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเถียงเรื่องนี้ เพียงมองผีปอบที่ถูกฉินหลิวซีตบตีอย่างหนักหน่วงพลางจับจ้องตาเขม็ง

“ผู้เฒ่าผีคอหัก ช่วยข้าที” ผีปอบร้องไห้กระซิกโหยหวน

ผีผูกคอตายทำความเคารพฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านอาจารย์ นี่เป็นเพื่อนข้าเอง ปกติไม่มีความชั่วร้ายใดเลย คงเป็นการเข้าใจผิดกัน ท่านปล่อยเขาไปสักคราเถิด”

“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ เจ้าดูแม่นางคนนั้นถูกเขาสิงร่าง ท้องแน่นจนใกล้จะแตกแล้ว” ฉินหลิวซีมองหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวพลางเบ้ปาก “ถ้าข้าไม่มาห้ามไว้ นางคงกินแน่นท้องจนตายไปแล้ว”

ทุกคนมองฉินหลิวซีสนทนากับอากาศพลางอดขวัญเสียร่างสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ พลันกอดกันตัวกลม

เหมือนจะมาอีกตัวแล้วหรือ

ผีผูกคอตายเตะผีปอบที “เจ้าดูที่เจ้าทำไป ยังไม่รีบขอโทษอีก สิงใครไม่สิง เหตุใดต้องสิงคนตัวเล็กๆ อย่างแม่นางนี่ด้วย ดูร่างเล็กบางของนางเถิด จะทนรับการกินของเจ้าได้เช่นไร”

“ข้าหิวมานานเกินไปเลยอยากลิ้มลองรสชาติบนโลกมนุษย์ ประจวบกับเห็นแม่นางผู้นี้โชคร้ายพอดี ข้าก็เลย…ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถูกอาหารล่อตาล่อใจ ข้าไม่ได้เจตนาจะทำร้ายนาง ข้าแค่คุมปากตัวเองไม่ได้ ฮือๆ” ผีปอบร้องขอชีวิต “ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว ต่อให้ข้าหิวตายก็จะไม่สิงร่างใคร ท่านอาจารย์ไว้ชีวิตข้าเถิด”

ผีผูกคอตายวิงวอนด้วยอีกคน เอ่ย “ท่านอาจารย์ เพื่อนข้าคนนี้ตายมาแล้วยี่สิบปีเพราะตกหลุมพรางของนายพรานจนหิวตาย เบื้องหลังก็ไม่มีใครเอาของมาเซ่นไหว้เลยจึงทำได้แค่ติดตามพวกเราไปยื้อแย่งอาหารของคนรายทางตามเทศกาลต่างๆ ความจริงก็…ข้ารับรองว่าเขาไม่เคยคิดทำร้ายใคร แถมยังเคยช่วยเด็กหลงทางกลับบ้านอีกต่างหาก”

“ในเมื่อมีจิตใจเมตตาจนมีความดีความชอบติดตัว ซึ่งไม่ควรทำให้มันสูญเปล่า แต่พอเจ้าสิงร่างนางกินตะกละตะกลามเช่นนี้ ความดีความชอบของเจ้ากลับหมดไปแล้ว” ฉินหลิวซีคลายมือออกจากผีปอบ “เพียงของกินเล็กน้อยแต่ทำเอาความดีความชอบหายไปหมด คุ้มหรือไม่เล่า”

“ท่านอาจารย์ไม่เคยลิ้มรสชาติความหิวมาก่อน มันทรมานมากจริงๆ” ผีปอบปาดน้ำตา “ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แม่นางผู้นี้เดินชนข้า ข้าเลยเข้าไปสิงร่างของนางโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คิดอยากหาของกินนิดๆ หน่อยๆ เพียงแต่คุมปากไม่อยู่”

“รอข้าก่อน เดี๋ยวจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า” ฉินหลิวซีถลึงตาใส่แวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ใช้มือหยิบกระโถนใบหนึ่งขึ้นมาก่อนเดินเข้าไปตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น ยื่นมือไปจับชีพจรแล้วหยิบเข็มเงินที่นำติดตัวมาด้วยฝังบนร่างนาง พอหญิงสาวผู้นั้นได้สติก็อ้าปากอาเจียนออกมา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท