คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 512 เจอผีไปด้วยกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 512 เจอผีไปด้วยกัน

ลูกค้าของหอจุ้ยเซียนเผยท่าทีเหมือนเห็นโลกกว้าง แค่มากินข้าวแต่กลับเจอเรื่องฮือฮาอย่างถูกผีปอบสิงร่าง อีกทั้งยังได้ดูเรื่องสนุกๆ อย่างอาจารย์ไล่จับผี พลันก็รู้สึกว่าซับซ้อนยอดเยี่ยมมากกว่าดูละครงิ้วเสียอีก

หลังจากหญิงสาวอาเจียนโฮกฮากออกมาหมดแล้ว นางก็ยิ่งอ่อนเพลีย ใบหน้าขาวซีดราวหิมะ พูดจับใจความไม่ได้ บ่าวรับใช้ที่โอบร่างนางไว้ร้องเรียกด้วยท่าทีตึงเครียด “คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

สาวใช้อีกคนก็รุดหน้าเข้ามาหา คารวะฉินหลิวซีพลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “ท่านอาจารย์ ตอนนี้คุณหนูของพวกเราคือ…”

ฉินหลิวซีกล่าว “เจอสิ่งชั่วร้ายเข้าร่างแต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่กระหน่ำกินมากเกินไปแล้วสำรอกออกมาหมดจึงเป็นผลเสียต่อกระเพาะลำไส้ ข้าจะเขียนตำรับยาให้ กลับไปต้มสักสองขนานบำรุงร่างกายก็พอ อีกอย่างเจ้าเจอกับเรื่องร้ายมา ต่อไปออกมาตากแดดให้มากเพื่อกำจัดไอชั่วร้าย ยันต์คุ้มครองนี้พกติดไว้สักสองสามวันก็พอแล้ว”

จากนั้นนางก็ส่งยันต์คุ้มครองไปให้แผ่นหนึ่ง

สาวใช้รีบรับมา

ผู้ดูแลร้านไหวพริบดี รีบหยิบกระดาษพู่กันส่งให้ฉินหลิวซี ซึ่งเขียนใบสั่งยาแผ่นหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวถูกบ่าวประคองร่างไว้ ใช้ผ้ากันลมคลุมร่างก่อนเดินเข้ามาคำนับพร้อมเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์พำนักอยู่อารามใดหรือ”

“อารามชิงผิง” สยงเอ้อร์เอ่ยเสียงดัง “นี่คือเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง นามว่าปู้ฉิว”

คนไม่น้อยชี้นิ้วมาพลางทำหน้าตกใจอย่างมาก

“ตอนนี้มีคนแห่ไปเคารพบูชาอารามชิงผิงมากทีเดียว เห็นทีข้าต้องไปจุดธูปกราบไหว้ขอยันต์คุ้มครองมาพกไว้บ้างแล้ว”

“ไปด้วยกันเลย เห็นจนข้าไม่สบายใจขึ้นมาแล้ว”

“ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยยังมียันต์เหลือติดตัวหรือไม่ ดูท่าเหมือนนางจะรู้เรื่องหมอด้วย”

ฉินหลิวซีได้ยินเต็มหู นางมองไปทางสยงเอ้อร์ด้วยสีหน้าซับซ้อนเจือคำขอบคุณในความช่วยเหลือที่ทำให้นางมีชื่อเสียงในชั่วพริบตา

หญิงสาวคารวะฉินหลิวซีอีกครั้ง “เดี๋ยวข้าต้องไปขอบคุณถึงอารามอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีโบกไม้โบกมือ “กลับจวนเถิด อย่าลืมตากแดดให้มากด้วย”

หญิงสาวคลี่ยิ้มก่อนถูกบ่าวรับใช้ทั้งสองประคองร่างเดินจากไป

“ทุกท่านแยกย้ายเถิด ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม” ฉินหลิวซีบอกให้ทุกคนแยกย้าย

“คือว่า…ท่านเจ้าอาวาสน้อย นี่ยังกินได้อยู่อีกหรือ ไม่ใช่ว่าพวกเราจะถูกของบางอย่างสิงเข้าร่างแล้วกินอย่างตะกละตะกลามหรอกนะ” มีคนเอ่ยถามขึ้นอย่างใจกล้า

“นั่นสิ เจ้าสิ่งนั้นไปหรือยัง”

เพราะตรงนี้บรรยากาศแปลกๆ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ

ฉินหลิวซีเบิกตากว้างเอ่ยคำโป้ปด “ไปแล้ว หากรู้สึกยังไม่สบายใจ พรุ่งนี้ก็ไปจุดธูปขอยันต์คุ้มครองที่อารามชิงผิงอาจจะช่วยให้สบายใจขึ้น”

“ดีเลย”

ฉินหลิวซีเหลือบมองเหล่าผีผูกคอตายแวบหนึ่ง พร้อมส่งเสียงสั่ง “ไปรออยู่ข้างนอก”

พวกผีๆ รีบหดตัวก่อนจะลอยออกไปข้างนอกภัตตาคาร

ฉินหลิวซีใช้สองมือประสานทำสัญลักษณ์เพื่อรวบรวมไอชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ให้หายไป เวลานี้ถึงหันไปบอกผู้ดูแลร้านให้ทำกับข้าวสักสองสามอย่างไปที่ห้องส่วนตัวของพวกเขา อีกทั้งซื้อธูปมาให้สองสามดอกด้วย

ผู้ดูแลร้านรีบไปจัดการทันที

ฉินหลิวซีถึงเดินกลับห้องอาหารส่วนตัวไปพร้อมกับพวกสยงเอ้อร์

สยงเอ้อร์ถามด้วยความตื่นเต้น “เจ้าผีนั้นหน้าตาเป็นเช่นใด”

“เจ้าอยากเห็นหรือ”

สยงเอ้อร์กระหายอยากเห็นอย่างสุดขีด

จิ่งเสี่ยวซื่อปิดปากเขาทันควัน “ไม่ เขาไม่อยากดู!” ก่อนหยิกแขนเขาไปที “อย่าคิดจะทำเชียว”

ฉินหลิวซีมองพวกเขาสองคนด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

รอกระทั่งผู้ดูแลร้านเอาสิ่งที่ฉินหลิวซีต้องการมาให้แล้ว ฉินหลิวซีถึงเรียกเจ้าผีสองตัวนั้นมา สั่งสอนไปยกหนึ่งถึงเซ่นไหว้อาหารบนโต๊ะนี้ให้ แถมยังจุดธูปสองสามดอกส่งไปให้ด้วย ทำเอาผีสองตัวดีใจจนทรุดตัวคุกเข่ากราบไหว้ และด้วยเหตุการณ์นี้ก็ทำเอาคุณชายที่มาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ต่างมองอย่างตกตะลึง

เฟิงซิวผุดความชั่วร้ายขึ้นมาในใจ เอ่ย “คนเดียวไม่สนุกเท่าหลายคน เจอผีไปด้วยกันเถิด”

ไม่รอให้ฉินหลิวซีพูดอะไร เขาก็ร่ายมนต์ปีศาจ ทุกคนต่างรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกผ่านดวงตา พอดูอีกครั้งจากข้างโต๊ะเล็กๆ ที่ว่างเปล่า เวลานี้มีผีน่าสังเวชสองตนปรากฏ ตนหนึ่งลิ้นห้อยยาว ส่วนอีกตนร่างซูบผอมต่างกำลังซึมซับอาหารอันโอชาอยู่ รวมถึงดวงตาสีเขียวหม่นก็ยังไม่ลืมเหลือบมามองด้วยเช่นกัน

“นี่คือผี…หรือ” สยงเอ้อร์ดวงตากลอกขึ้นบนก่อนล้มลงกับพื้น

จิ่งเสี่ยวซื่อหน้าซีดพลันคว้าแขนของเย่ว์ติ้งมา

ได้ยินมาว่าแม่ทัพมีแรงต้านความชั่วร้ายในตัว สิ่งสกปรกไม่กล้ารุกราน

เย่ว์ติ้ง “…”

การรักษาโรคอัมพาตครั้งนี้ได้เปิดโลกกว้างมากจริงๆ ที่แท้บนโลกนี้ก็มีสิ่งที่มองไม่เห็นอาศัยอยู่

รอกระทั่งตอนที่สยงเอ้อร์ถูกจิ่งเสี่ยวซื่อใช้แรงกดจุดใต้จมูกจนฟื้นขึ้นมา พวกผีทั้งสองก็หายไปนานแล้ว เขายังโวยวายอยู่พักหนึ่งถึงมองไปทางเฟิงซิว เอ่ยเสียงเข้ม “สหายเฟิง เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว เหตุใดบทจะทำก็ทำเลยเล่า ข้าไม่ทันตั้งตัวก่อนด้วยซ้ำ”

เฟิงซิวนั่งเอนกายถือกาเหล้ากรอกเข้าปากพลางเอ่ย “ก็เจ้าบอกเองว่าอยากเจอผีมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่แน่เทียบกับวันหน้าที่เจ้าต้องเจออาจจะเทียบไม่ติดเลยก็ได้”

ประโยคนี้ฟังดูคลุมเครือชอบกล

แผ่นหลังของสยงเอ้อร์เย็นวาบ ไม่มองเขาอีกต่อไปก่อนจะหันไปทางฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “ผีปอบตัวนั้นทำร้ายคน ท่านตีเขาแล้ว เหตุใดถึงอุทิศของกินให้เขาอีกเล่า”

“ตีเขาเพราะเขาไม่เชื่อฟัง รั้นจะให้ข้าลงมือดัวยตนเอง แต่ผู้เฒ่าลิ้นห้อยนั่น เขาคือผีผูกคอตายที่ข้าคุ้นเคยกันดี แถมช่วยทำธุระให้ข้าด้วย ในเมื่อเขาร้องขอข้าก็ต้องเห็นแก่หน้าเขาบ้าง อีกอย่างเจ้าผีปอบนั่นไม่มีกรรมทำร้ายใคร แถมยังมีคุณงามความดีเล็กน้อย น่าเสียดายที่การสิงร่างนี้ทำให้ความดีความชอบเขาหายไปหมด ผีปอบจะยึดติดกับเรื่องของกิน ความจริงต่อให้เขาสิงร่างกินตะกละตะกลามแค่ไหนก็ไม่อิ่มท้องหรอก มีเพียงการถวายให้อย่างแท้จริงถึงจะอิ่มท้องได้” ฉินหลิวซีชี้ไปที่โต๊ะตัวนั้น “อาหารไม่กี่อย่างเสียเงินไม่เท่าไร แม่ทัพน้อยเลี้ยงแล้วกัน”

เย่ว์ติ้งยกมือขึ้นประสานพลางเอ่ย “เจ้าอาวาสน้อยช่างมีจิตใจเมตตานัก”

“เพราะเป็นนาง หากเปลี่ยนเป็นอาจารย์สายขาวขี้โม้คนอื่นคงฆ่าพวกผีเร่ร่อนพวกนี้ทิ้งไปนานแล้ว” เฟิงซิวยิ้มหยัน

พวกจิ่งเสี่ยวซื่อไม่กล่าวอะไร เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากไม่ใช่คนพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สีดำขาวย่อมแบ่งกันอย่างชัดเจน

วันต่อมา

อารามชิงผิงก็มีคนไม่น้อยมาจุดธูปกราบไหว้ขอยันต์คุ้มครองตั้งแต่เช้า ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากปกติก็คือตอนขอยันต์มักมีคนถามหาว่าเจ้าอาวาสน้อยอยู่หรือไม่ ขอให้เขาช่วยวาดยันต์ให้ได้หรือไม่

มีคนข้องใจจนไปถามว่าเจ้าอาวาสน้อยทำสิ่งใดหรือถึงทำให้พวกเจ้าเกรงขามมากเช่นนี้

คนเหล่านั้นจึงเล่าว่าหอจุ้ยเซียนมีคนถูกผีปอบสิงร่างและฉินหลิวซีเป็นผู้คลี่คลายปัญหานี้ บรรยายอย่างออกรสจนมีเสียงตกใจดังขึ้นรอบทิศ

ท่ามกลางฝูงชน มีหญิงสาววัยเยาว์สวมชุดสีกรมท่าคนหนึ่งได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเย้ยที “ก็แค่จัดการเรื่องเล็กๆ อย่างผีปอบสิงร่าง มีอะไรน่าตื่นตูมกัน สถานที่เล็กๆ ก็แบบนี้โลกแคบเหลือเกิน”

“ศิษย์น้องเหยา ระวังคำพูดด้วย” เบื้องหลังหญิงสาวมีบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีกรมท่าแบกกระเป๋าผ้านูนหนาบนแผ่นหลัง มุ่นคิ้วพลางเอ่ย “เสวียนเหมินในใต้หล้าคือครอบครัวเดียวกัน คงอยู่เพื่อช่วยขจัดวิถีมาร ไม่ควรเอามาวิพากษ์วิจารณ์กัน”

เหยาเฟยเฟยทำสีหน้าบูดบึ้ง เอ่ยด้วยความโกรธ “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่พวกเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรเอ่ยถึงเลยหรือ พวกเขาพูดว่าเจ้าอาวาสน้อยอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพวกเขาไปเห็นฝีมือของศิษย์พี่ศิษย์น้องของอารามพวกเราคงรู้แล้วว่าความรู้ตื้นเขินนัก”

เสวียนชิงจื่อเอ่ย “เอาน่า พวกเรามาเพราะไล่ตามผีร้าย บัดนี้เขาหายไปในอาณาเขตเมืองหลีอย่างไร้ร่องรอย พวกเรามาขอให้พวกเขาช่วยตามหาก็เพื่อประชาราษฎร์ในใต้หล้า พวกเราเข้าไปจุดธูปกราบไหว้ก่อนค่อยขอพบท่านเจ้าอาวาสแล้วกัน”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท