ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! – ตอนที่ 16 ปริศนาภาษารัตติกาล

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ สถานการณ์แบบนี้ก็เจอได้บ่อยๆ”

มัตสึโมโตะยิ้มแห้งๆ หมอนั่นคงพยายามจะปั้นยิ้มให้มันดูสุภาพ แต่ผลที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มแปลกๆ แทน

“หุหุ แต่ในสถานการณ์แบบนั้น เป็นฉันก็คงทำอะไรไม่ถูกหรอกค่ะ”

ฮันน่าหัวเราะเบาๆ นี่ฮันน่า จะเป็นมิตรกับใครช่วยเลือกคนหน่อยเถอะ ไม่เห็นหน้าปลาตายของไอ้หมอนี่รึไงกัน

เด็กสาวสวมกอดฮันน่าและพยายามจะดึงให้อีกฝ่ายออกห่างจากหมอนั่น เธอจะไม่ยอมให้ฮันน่าเข้าไปทำความรู้จักกับมันเด็ดขาดเลย

นั่นไม่ใช่เพราะหึงหวงหรืออะไรหรอก แต่ถ้าหมอนี่เกิดคบกับฮันน่าขึ้นมาชีวิตที่สองของเธอก็คงตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ

เธอไม่อยากเสียเวลาพยายามปกปิดตัวตนเพื่อไม่ให้ไอ้หมอนี่รู้หรอกว่าเธอเป็นใคร

เฮ้อ เกิดใหม่นี่จะมีอีเว้นท์แปลกๆ เยอะเกินไปหน่อยรึเปล่านะ ทั้งเสียงเพรียกในฝัน แถมคราวนี้ยังพบว่าหมอนี่ตามมาที่โลกนี้ด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนสัมภเวสีตามติดเลย

ว่าแต่ฮันน่าอ้วนขึ้นนิดหน่อยรึเปล่านะ?

“อะ เอ่อ ยูริจัง กอดแน่นไปแล้วนะ” ฮันน่าทำสีหน้ากระอักกระอ่วน “ปล่อยก่อนได้ไหม?”

“ไม่ปล่อยค่ะ” เด็กสาวหันไปแลบลิ้นใส่มัตสึโมโตะ “พี่อย่าไปคุยกับคนแปลกๆ สิคะ”

ด้วยคำพูดนั้นทำให้มัตสึโมโตะสะดุ้งเฮือกเล็กน้อย อีกฝ่ายลูบหน้าตัวเองด้วยความกังวลว่าเผลอทำสีหน้าประหลาดๆ ออกไปอีกรึเปล่า ฮันน่าผงกหัวให้อีกฝ่ายเป็นการขอโทษ

ท่าทางก็เหมือนเด็กปกติดี ไม่นับที่พูดจาโน้มน้าวคนได้อย่างฉะฉานเมื่อกี้นี้ ฟุมิครุ่นคิดพลางวิเคราะห์อีกฝ่าย

เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเธอ แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร

มันราวกับมีหมอกควันบางอย่างปกคลุมตัวตนและชะตากรรมของอีกฝ่ายเอาไว้ทำให้เขามองไม่เห็นความเชื่อมโยงใดๆ —

ให้ตายสิ นี่เขาเมาอะไรอยู่เนี่ย อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรเยอะแยะ พอผ่านวันนี้ไปก็คงไม่ต้องเจอกันอีกแล้วล่ะ การที่เขากับเด็กนี่มาเจอกันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น

ใช่แล้ว เรื่องบังเอิญ แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับอีกฝ่ายอยู่ดี ความคุ้นเคยนี่มันอะไรกันนะ? ทั้งชวนให้รู้สึกโหยหาและเศร้าสร้อย ราวกับเขาและเธอรู้จักกันมาเนิ่นนานเลยล่ะ

ไอ้หมอนี่มันมองอะไรของมัน ยูริขมวดคิ้ว คงไม่ได้กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหมว่าเราเป็นตัวการที่วางแผนให้คนทะเลาะกันน่ะ ไม่สิ ต่อให้จะสงสัยยังไงมันก็ไม่ควรจ้องเขม็งขนาดนั้นนะ

ฮ่า มัตสึโมโตะถอนหายใจเบาๆ บางทีเขาคงจะคิดไปเองก็ได้ แต่ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างแปลกๆ อยู่ดี หรือที่เขารู้สึกแปลกๆ แบบนี้จะเป็นเพราะเหล้าที่กินไปเมื่อเช้ากันนะ?

“ดูนั่นสิคะ จันทร์หายนะหายไปแล้วค่ะ”

ยูริชี้ไปยังนอกหน้าต่าง พบว่ากลางคืนได้หายไป แทนที่ด้วยแสงอาทิตย์สว่างจ้าของยามเที่ยงวันแทน เวลาถูกเร่งไปจนถึงเที่ยงวันเลยหรือ?

ซวยแล้ว ฮันน่าคิดอย่างตื่นตระหนก พิธีศพเริ่มตอนนี้ไม่ใช่หรือ? แต่บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนกำหนดการก็ได้

ยังไงซะการที่จันทร์หายนะขึ้นมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยนี่น่า พวกเขาไม่มีทางใจร้ายกับผู้ร่วมพิธีขนาดนั้นแน่

เอาไว้กลับไปโรงแรมแล้วฝากพนักงานให้ส่งโทรเลขไปหามิสเตอร์อัลเฟน็อกก็แล้วกัน

“ลาก่อนนะคะ”

ฮันน่าหันไปบอกลาฟุมิ มัตสึโมโตะ อีกฝ่ายโบกมือเบาๆ พลางทำสีหน้าบูดบึ้ง หญิงสาวจูงมือยูริออกไปจากร้าน ก่อนออกไปเด็กสาวได้หันมาและแลบลิ้นใส่อีกรอบ

คิดซะว่าคือการทักทายหลังจากที่แกฆ่าฉันก็แล้วกัน แล้วอย่าได้เจอกันอีกเลย! เธอบ่นในใจ

 

หลังจากนั้นก็ผ่านมาราวๆ ครึ่งชั่วโมง ฮันน่านอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงของโรงแรม ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเข้าร่วมงานศพในวันนี้ได้เพราะกำหนดการที่ถูกเปลี่ยนกะทันหัน

“พี่สงสัยอยู่นะว่าทำไมปรากฎการณ์จันทร์หายนะถึงได้เกิดถี่ๆ แบบนี้”

เมื่อไม่มีอะไรทำ ฮันน่าก็ลองมาขบคิดถึงปริศนาเล่นๆ

“ยูริจังคิดว่ายังไงเหรอ?”

เด็กสาวที่กำลังนั่งท่องคำศัพท์อยู่ปลายเตียงกลอกตาเล็กน้อย มาถามเธอแล้วเธอจะไปถามใครล่ะ ฮันน่าซัง คุณเป็นคนของโลกนี้ไม่ใช่เหรอ? มาถามคนจากต่างโลกแบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากการถามทางนักท่องเที่ยวทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนท้องถิ่นเลยนะ

“บางทีเทพมารเบนิลอาจจะเหงาก็ได้ล่ะมั้งคะ”

เด็กสาวตอบด้วยทีเล่นทีจริง

“แบบว่าเบื่อๆ ก็เลยแกล้งคนบนโลกเล่นๆ น่ะค่ะ”

ฮันน่าถอนหายใจออกมา เธอพลิกตัวไปมาราวกับคนสมาธิสั้น คงเพราะไม่มีอะไรให้ทำเลยทำให้เธอบิดขี้เกียจด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ถ้าจะฟุ้งซ่านขนาดนั้นก็ช่วยไปหาหนังสือมาอ่านหรือไม่ก็มาสอนเธออ่านภาษารัตติกาลได้แล้ว อย่ามัวขี้เกียจ!

“เป็นเทพที่ไม่น่ารักเอาซะเลย”

ฮันน่ายิ้มเล็กน้อย

“ถ้าเป็นน้องสาวของพี่นะ พี่จะตีให้ก้นลายเลย”

“อะไรกันคะนั่น เดี๋ยวก็โดนสายฟ้าฟาดหรอกค่ะ”

ยูริอมยิ้มให้กับมุกตลกเสี่ยงตายของอีกฝ่าย

“ถ้าท่านฟังอยู่จะทำยังไงคะ”

“แหมๆ เป็นไปไม่ได้หรอก”

ฮันน่าหลับตาลงและดึงผ้าห่มขึ้น

“เทพมารเบนิลน่ะร่วงหล่นไปนานแล้ว ว่ากันว่าท่านได้ร่วงหล่นไปตั้งแสนๆ กว่าปีแล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะลงโทษคนปากพล่อยอย่างพี่ได้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า”

ช่างเป็นแวมไพร์ที่ไม่เคารพเทพเอาซะเลย เด็กสาวรำพึง แต่เธอก็ไม่เคารพเหมือนกันนี่น่า แถมยังหาทางโค่นไอ้พวกนั้นอยู่ด้วยซ้ำ ว่าไปแล้ว ฮันน่ารู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าเบอร์มิวด้ารึเปล่านะ

“พี่รู้จักคำว่าเบอร์มิวด้ารึเปล่าคะ” เธอถาม “หนูได้ยินคนพูดกันตอนไปต่อแถวในร้าน แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรน่ะค่ะ”

เธอโกหกอย่างแนบเนียนและไร้รอยโหว่ในคำบอกเล่า ถ้าเธอบอกฮันน่าไปตามตรงว่าได้ยินมาจากเสียงเพรียกในความฝัน บางที

ฮันน่าอาจจะสติแตกและจับเธอไปรักษาก็ได้ หรือบางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่กังวลจนไม่ยอมให้เธอถามเรื่องนี้อีก

“หืม?” ฮันน่าทำสีหน้าสงสัย “พี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ”

งั้นหรือ เด็กสาวแอบถอนใจ กะไว้แล้วเชียว ถ้าเธอรู้ถึงเรื่องเบอร์มิวด้าในทันทีที่ถามฮันน่าก็คงเป็นอะไรที่ประหลาดกว่านี้เป็นแน่แท้ บางทีมันอาจจะเป็นชื่อของบางสิ่งที่คนบนโลกนี้ไม่รู้ หรือบางทีฮันน่าอาจจะแค่โง่จนไม่รู้จักมันก็เป็นได้

เด็กสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วที่นี่จะเต็มไปด้วยหมอกแท้ๆ แต่พอจันทร์หายนะหายไปท้องฟ้าก็พลันสว่างสดใสทันที เหมือนว่าตอนที่เธอมายังเมืองนี้ครั้งแรกท้องฟ้าของที่นี่ก็สว่างใสเหมือนกันสินะ

เรียกว่าฟ้าหลังฝนได้ล่ะมั้ง? ไม่สิ กรณีนี้ต้องเรียกว่าฟ้าหลังแสงจันทร์ถึงจะถูก

“พี่คะ ว่าแต่สรุปแล้วงานศพพวกเราต้องเปลี่ยนกำหนดการไปพรุ่งนี้แทนเหรอคะ?”

“อืม คุณอัลเฟน็อกบอกว่าทุกๆ อย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดตั้งแต่พระจันทร์นั่นขึ้นน่ะ เลยต้องมีการกำหนดทุกๆ อย่างใหม่ตั้งแต่ต้น และตอนนี้ทางศาสนจักรเองก็ต้องตรวจสอบเรื่องที่จันทร์หายนะทรีอาร์ขึ้นถี่ผิดปกติด้วย”

ฮันน่าทำสีหน้ากังวลเล็กๆ เด็กสาวเข้าใจความรู้สึกนั้น ในโลกนี้ที่เทพเจ้าและเวทมนตร์มีอยู่จริง การเกิดปรากฎการณ์ที่ผิดปกติกับโลกใบนี้อาจจะหมายถึงหายนะร้ายแรง ซึ่งช่วงนี้จันทร์หายนะเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก มันอาจจะเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่างก็ได้ ยูริคิดทุกอย่างโดยอิงจากประสบการณ์อ่านนิยายในโลกเก่า

“งั้นตอนนี้พวกเราก็ว่างสินะคะ” ยูริยิ้มกริ่ม “พาหนูไปห้องสมุดหน่อยได้รึเปล่าคะ”

“ก็ได้นะ ยูริน่าจะอ่านภาษาสุริยันออกหมดแล้ว เดี๋ยวพี่จะไปยืมหนังสือคำศัพท์ของภาษาอื่นๆ มาด้วยแล้วกัน เอาเป็นอะไรดีน้าา ภาษารัตติกาลดีไหม?”

เด็กสาวพยักหน้า จะเป็นภาษาอะไรเธอก็ยอมได้ทั้งหมดนั่นแหละ และเธอจะใช้โอกาสนี้ตรวจสอบด้วยว่าตัวเองสามารถอ่าน เขียน หรือพูดภาษารัตติกาลได้รึเปล่า สำหรับภาษาสุริยันนั้น ด้วยความขยันในการฝึกท่องศัพท์และฝึกเขียนของเธอ ทำให้เธอสามารถเชี่ยวชาญมันได้ภายในสองอาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น

แน่นอนว่าต่อให้เป็นอัจฉริยะก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ภายในสองอาทิตย์แน่นอน แต่เด็กสาวมีหลักการในการฝึกอยู่ นั่นก็คือการฝึกอ่านก่อน จากนั้นพอจำได้ว่าคำนี้อ่านและมีความหมายอย่างไร ก็จะทำการฝึกเขียนจนกว่าจะจำตัวอักษรได้

อ่า แต่ที่ยุ่งยากก็คือความทรงจำนี่แหละ ต่อให้จะจำคำศัพท์ได้แล้ว แต่ถ้าไม่ฝึกไปนานๆ ก็ลืมได้ สมองของมนุษย์เนี่ยมันน่าหงุดหงิดจริงๆ เลย ถึงจะเรียนรู้ไว แต่ถ้าลืมไวด้วย ทุกๆ อย่างก็ไร้ค่าสิ้นดี

และเมื่อจดจำคำศัพท์ได้แล้วก็ทดลองแต่งประโยคจนกว่าจะได้รูปประโยคที่เหมาะสม หลังจากที่เก่งกว่านี้เธอกะว่าจะฝึกจดจำพวกไวยากรณ์ด้วย จะได้ไม่เผลอไปเขียนประโยคแปลกๆ เข้า

และนั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่เธอมี เธอมีเทคนิคจำคำศัพท์มากกว่านี้เยอะมาก แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก ต่อให้จะมีเทคนิคมากแค่ไหน สิ่งที่สำคัญจริงๆ มีเพียงสองสิ่งต่างหาก

หนึ่ง ขยัน และสอง ฉลาดยังไงล่ะ ด้วยความที่เธอใช้เวลาราวๆ สองชั่วโมงต่อวันในการฝึกท่องคำศัพท์ และบางครั้งก็แอบโต้รุ่งฝึกคำศัพท์หลายสิบชั่วโมงโดยที่ฮันน่าไม่รู้ ทำให้เธอจดจำคำศัพท์ปริมาณมหาศาลได้

แต่ถึงจะขยัน แต่ถ้าโง่ก็คงจะใช้เวลาราวๆ เดือนหรือสองเดือน หรือถ้าโง่มากๆ ก็ปีสองปีนั่นแหละในการอ่านหรือเขียนได้อย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยความที่สมองเธอมันเหนือมนุษย์ทั่วไป แค่สองอาทิตย์ก็เพียงพอแล้ว

แต่ไอ้เวรมัตสึโมโตะดันสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศที่ไม่คุ้นเคยได้ภายในเวลาสามวันเนี่ยสิ….

“คงไม่ต้องอาบน้ำกันหรอกเนอะ เดี๋ยวขากลับมาพวกเราก็ต้องอาบอีกรอบ”

ฮันน่าลุกขึ้นและยืดเส้นยืดสาย

“ยูริจังคิดอะไรอยู่เหรอ?”

“กำลังคิดว่าอยากจะท่องภาษารัตติกาลกับภาษาสุริยันโบราณจังเลยน้าาา นั่นแหละค่ะ”

เด็กสาวยิ้ม

“ไปกันเถอะค่ะ ตอนนี้เที่ยงแล้ว จะเสียเวลาอีกไม่ได้ค่ะ”

 

ผ่านมาราวๆ สองถึงสามชั่วโมง ฮันน่าและวาคาดะ ซายูริกลับมาที่โรงแรมพร้อมกับหนังสืออีกราวๆ สองสามเล่ม ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเด็กสาวพยายามจะค้นหาข้อมูลของเบอร์มิวด้า แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอย่างที่คาดการณ์เอาไว้

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เรียกว่าเบอร์มิวด้านั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนหรือรู้จักมาก่อน หรือบางทีมันอาจจะเป็นชื่อของบางสิ่งที่สูญหายไปแล้วแล้วคนยุคนี้ไม่รู้จัก แล้วแบบนี้เธอจะหาข้อมูลเกี่ยวกับมันได้ยังไงล่ะ?

ส่วนตำนานของเทพมารเบนิล ต้องขอบคุณฮันน่าเลยที่ไปช่วยหามาให้ เธอพยายามค้นไปทั่วทั้งห้องสมุดแล้วแต่ก็ไม่เจอ คงเพราะมันใหญ่มากและตัวเธอก็เล็กเกินกว่าจะปีนขึ้นไปบนชั้นสูงๆ เพื่อหยิบหนังสือมา แต่ฮันน่าช่วยหามาให้ได้

ช่างเป็นพี่สาวสารพัดประโยชน์ซะจริงนะ

ตำนานของเทพมารเบนิลกับจันทร์หายนะทรีอาร์ก็เป็นอย่างที่ฮันน่าเล่า เทพมารเบนิลเคยต่อสู้กับเทพธิดามาก่อนและก็ได้ร่วงหล่น ก่อนจะร่วงหล่นท่านก็สาปพระจันทร์เอาไว้จนเป็นต้นกำเนิดของจันทร์หายนะทรีอาร์

ส่วนสาเหตุที่ท่านสู้กับเทพธิดานั้น ไม่มีใครทราบ ว่ากันว่ามันเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่จนสะเทือนไปทั่วทั้งอาณาจักรเทพ มีตำนานเล่าลือว่าเทพมารเบนิลเคยเป็นองค์รักษ์ของเทพธิดาอโลวีนัสมาก่อน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเทพที่ควรจะทำหน้าที่ปกป้องกลับผันตัวเป็นผู้ทำลายล้างซะอย่างงั้น

เทพผู้ก่อกบฏงั้นเหรอ? แต่ยังไงซะเรื่องนั้นมันก็แค่เสียงเล่าลือนี่นะ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงสักหน่อย

ยิ่งขบคิดก็ยิ่งพบว่ามีปริศนาเต็มไปหมด บางทีเธอควรจะหาวิธีอื่นในการสืบข้อมูลของสิ่งที่เรียกว่าเบอร์มิวด้าดู หรือบางทีเธอควรจะเรียนรู้ภาษาทั้งหมดบนโลกแล้วค่อยเดินออกไปอาบแสงจันทร์สีเงินนั่น แล้วก็หลับไปรอให้เสียงเพรียกนั่นกลับมาอีกครั้ง เธอจะได้นำมันไปเปรียบเทียบกับภาษาต่างๆ ที่เรียนมา ดูซิว่ามันใช้ภาษาอะไรกันแน่ บางทีสิ่งที่เธอควรจะสนใจอาจจะไม่ใช่เบอร์มิวด้า แต่เป็นตัวตนของเสียงเพรียกในความฝันนั่น

เมื่อคิดได้แล้วก็ฝึกภาษารัตติกาลเลยดีกว่า ฮันน่ายืมสมุดท่องศัพท์ของภาษารัตติกาลมาด้วยนี่นะ มาดูกันว่ามันจะเหมือนภาษาสุริยันรึเปล่า

เมื่อเด็กสาวตัดสินใจเปิดมาอ่าน เธอก็คิ้วขมวด นี่มันแปลก แปลกเกินไปแล้ว ทำไมกันล่ะ?

เธอรู้สึกคุ้นเคยกับตัวอักษรเหล่านี้อย่างประหลาด ราวกับรู้จักมันมาเนิ่นนาน แถมเธอยังอ่านมันออกและเข้าใจความหมายของตัวอักษรทุกๆ ตัว ลักษณะของตัวอักษรพวกนี้จะเหมือนกับวงกลมที่บางวงกลวงเปล่า บางวงเต็มไปด้วยสีและไร้ซึ่งช่องว่าง และบางวงก็มีวงแหวนล้อมรอบ และบางวงก็มีวงแหวนล้อมรอบแถมด้วยการที่ข้างในวงกลวงอีกต่างหาก

ถ้าอักษรสุริยันเหมือนตัวหนอนที่มาทับกัน เธอบอกได้เลยว่าตัวอักษรรัตติกาลนั้นอ่านง่ายกว่ามาก มันทำให้เธอนึกถึงดวงดาว เช่นดาวเสาร์ที่มีวงแหวนล้อมรอบตัวเอง

และที่ประหลาดก็คือ เธอกลับอ่านและเข้าใจความหมายของตัวอักษรรัตติกาลทุกตัว! ราวกับคุ้นเคยกับมันดี ทำไมกันล่ะ? แล้วทำไมตัวอักษรสุริยันถึงได้อ่านไม่ออกและต้องใช้เวลาฝึกถึงสองอาทิตย์กันล่ะ?

ไม่เข้าใจเอาซะเลย ความย้อนแย้งนี่มันบ้าอะไรกัน

ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับตัวอักษรพวกนี้กัน ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นี่มันประหลาดชะมัดเลย

เทพธิดา สกิลแปลภาษาของแกมันทำงานผิดเพี้ยนเกินไปรึเปล่า?

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Status: Ongoing
“ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!” เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ “ไม่เอา” ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่” “ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่” น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ” เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด “ทำไม?” ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น” “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ” “พนันกันไหมล่ะ?” ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท