ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! – ตอนที่ 17 การไปงานศพ

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ยามรัตติกาลได้มาถึงอีกครั้ง วาคาดะ ซายูรินั่งอยู่ปลายเตียงพลางอ่านหนังสือคำศัพท์ของภาษารัตติกาลอยู่ ด้วยความที่เด็กสาวอยากจะปกปิดกับฮันน่าว่าตัวเองนั้นสามารถอ่านภาษารัตติกาลได้ ทำให้เธอจำใจต้องแสร้งทำเป็นหยิบมันขึ้นมาอ่าน

“อะ แอป แอปเปิ้ล”

เธอแสร้งทำเป็นดัดเสียงให้ดูคล้ายกับคนหัดอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฮันน่าสงสัยเธออีกครั้ง แวมไพร์สาวนอนอยู่บนเตียง เท้าชี้มาทางเด็กสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ อีกฝ่ายงีบหลับด้วยความง่วงงุน

ระหว่างที่กำลังอ่านอยู่นั้นเอง ยูริได้ครุ่นคิดถึงแผนการที่เธอคิดจะทำต่อจากนี้ ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เธอไปหลอกเด็กไร้บ้านสองคนนั้นเอาไว้ว่าตัวเองคือเทวทูตที่จะมาพัฒนาเขตสลัม ทำให้ตัวเธอจะต้องเดินทางไปที่นั่นเป็นบางครั้ง

ปัญหาของการเดินทางไปที่นั่นก็คือ เธอเคยติดเชื้อวัณโรคมาครั้งหนึ่ง ทำให้ไม่รู้ว่าถ้าไปที่นั่นอีกจะรอดกลับมาเป็นครั้งที่สองหรือไม่ มาร์คัสก็ใช่ว่าจะว่างมารับเธอตลอด และที่สำคัญ บางทีหมอนั่นอาจจะตายห่าไปแล้วก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเผลอนำเชื้อวัณโรคไปแพร่ให้หมอนั่น

รอบแรกเธอประมาทเกินไป บางทีเพราะกลายเป็นเด็กเจ็ดขวบเลยทำให้กระบวนการคิดด้อยลง ผนวกกับที่พึ่งมายังโลกใบนี้ บางทีดวงวิญญาณในร่างเก่าอาจจะยังผสานเข้ากับร่างใหม่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ในตัวเธอมีทั้งด้านที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ปะปนกันก็เป็นได้

น่าสมเพชฉิบหาย เธอถอนหายใจเบาๆ อะไรคือการที่วันนั้นตัวเองหุนหันพลันแล่นแล้วนั่งรถม้าไปที่เขตสลัมโดยเตรียมตัวแค่นิดเดียว เอามีดไปแค่เล่มเดียวกัน? โคตรอันตรายเลยไม่ใช่หรือ? นั่นมันการกระทำของคนบ้า ถึงเธอจะโรคจิตแต่เธอก็ควรจะมีสติมากกว่านี้สิ

คราวก่อนเธอรอดมาได้เพราะโชค แต่คราวนี้อาจจะไม่เป็นอย่างงั้นแล้ว ดีหน่อยที่เด็กสาวเป็นพวกเรียนรู้จากความผิดพลาดได้เร็ว แค่พลาดรอบเดียวก็ไม่มีวันลืมแล้ว

แต่ถ้าพลาดขึ้นมา สักวันเธออาจจะ…

โดยที่สมองยังคงครุ่นคิด เธอแสร้งอ่านหนังสือต่อไป บังคับให้ดวงตาจดจ่อกับคำศัพท์และแสร้งอ่านออกเสียง หลังจากที่โดนฮันน่าทักท้วงเรื่องที่ชอบคิดอะไรไปเรื่อยอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอเริ่มที่จะฝึกการแยกสมองออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกส่วนที่ใช้ขบคิดกับตัวเอง ส่วนที่สองคือส่วนที่ใช้แสดงการกระทำต่างๆ ให้คนอื่นเห็นและตบตาผู้อื่น

หวังว่าวิธีนี้จะไม่ทำให้เธอกลายเป็นบ้าไปซะก่อนนะ แต่ให้คนโรคจิตอยู่แล้วมากังวลเรื่องแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่

ทำไงดีล่ะ สำหรับเรื่องของการไปที่เขตสลัมนั่นแล้วไม่ติดเชื้อวัณโรคมาอีก เธอไม่รู้ว่าควรทำยังไง สวมหน้ากากอนามัยไปดีไหมนะ? แต่วิธีนั้นมันค่อนข้างไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ ไม่มีแววว่าจะป้องกันได้แม้แต่น้อย และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าวัณโรคของโลกใบนี้แตกต่างจากโลกเก่ามากแค่ไหน

“ยูริจางงง”

ด้วยเสียงของคนอ่อนเพลีย ฮันน่าลืมตาขึ้นเล็กน้อย

“เขย่าขาทำไมมม”

ดูเหมือนว่าเมื่อเด็กสาวคิดปัญหาเหล่านี้มากเกินไป เธอจึงเผลอเขย่าขามากเกินไปหน่อย ฮันน่าจึงตื่น

“ขอโทษค่ะ”

“ตอนนี้ดึกแล้ว นอนเถอะ” ฮันน่าปิดปากหาวเบาๆ “พรุ่งนี้เราต้องไปงานศพแต่เช้านะ”

เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวง เธอยังจำได้ถึงตอนที่จู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายกอดรัดและดูดเลือดไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่ามันเป็นการรักษาวัณโรคให้ก็เถอะ แต่ถ้าโดนแบบนั้นเข้าไปเป็นใครก็ต้องระแวงนานเป็นปกติ

เดี๋ยวนะ รักษาโรค…

จริงด้วย! ทำไมเราถึงคิดไม่ถึงกันนะ บางทีเราอาจจะขอให้ฮันน่าช่วยร่ายเวทหรืออะไรสักอย่างเพื่อป้องกันเชื้อวัณโรคให้ได้นี่ เท่านี้เราก็จะสามารถเดินทางไปยังถนนเตาไฟได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อแล้ว เหมือนเดินเข้าไปในดงซอมบี้โดยไม่ต้องกลัวพวกมันกัดแล้วติดเชื้อยังไงล่ะ

ว่าแต่การป้องกันโรคของแวมไพร์มันจะเหมือนกับตอนที่รักษารึเปล่านะ? หวังว่าจะไม่ เด็กสาวสลัดความคิดแปลกๆ ในหัว ถ้าเกิดว่าต้องใช้วิธีเดียวกันนี่ไม่แปลว่าเธอจะต้องรู้สึกดีไปอีกรอบรึยังไงกัน?

เมื่อคิดไปคิดมาเธอก็หน้าแดงเล็กน้อย ให้ตายสิ ทำไมเราต้องคิดมากกับเรื่องนั้นด้วย? แค่ป้องกันโรคได้ ต่อให้จะต้องถูกกัดอีกสักรอบมันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?

เด็กสาวตอนนี้สวมชุดนอนสีขาว มันเบาบางและค่อนข้างพริ้วไหว ส่วนฮันน่าในตอนนี้สวมชุดนอนสีดำซึ่งผ้ามีลักษณะบางเบาจนสามารถเห็นผิวได้นิดหน่อย วาคาดะ ซายูริเอื้อมมือไปปิดไฟตรงหัวเตียงโดยพยายามเลี่ยงการมองอีกฝ่ายนานนัก

เมื่อความมืดมิดมาถึง เด็กสาวก็คลำๆ ทางและหาหมอนข้างมากันเอาไว้ไม่ให้ฮันน่าเข้ามาใกล้ได้ ก่อนจะลงไปนอนบนเตียงและดึงผ้าห่มมาใช้ จากนั้นเธอก็นอนตะแคงข้างก่อนจะหลับไป

แต่เนื่องด้วยยังหลับไม่สนิทและครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เธอชังใจกับตัวเองว่าจะขอให้ฮันน่าช่วยป้องกันวัณโรคให้ดีหรือไม่ แต่เธอก็กลัวว่าเรื่องมันจะเป็นแบบเมื่อคืนอีก

ความคิดนี้นั้นทำให้เธอลังเลและไม่กล้าขออีกฝ่าย ราวกับเด็กที่ไม่กล้าบอกผู้ปกครองว่าตัวเองป่วยเพราะกลัวโดนฉีดยา

ตึกตัก ตึกตัก หัวใจเต้นระรัวอย่างไร้เหตุผล ทำไมเธอจะต้องตื่นเต้นหรือกังวลขนาดนี้กันล่ะ?

“ยูริจัง นอนได้แล้วน่า พี่ไม่ทำอะไรหรอก โถ่”

ฮันน่าเอ่ยเสียงเพลียๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสัมผัสความรู้สึกตื่นเต้นจากเด็กสาวได้ และด้วยทักษะการอนุมานที่พอใช้ได้ของอีกฝ่าย ทำให้ฮันน่าพอเดาได้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

“อะ ค ค่ะ”

ยูริตอบรับอย่างตะกุกตะกัก พลางพยายามข่มตาให้หลับ สำหรับเรื่องป้องกันโรคกับฮันน่า ค่อยไปคิดพรุ่งนี้แล้วกัน ใช่แล้ว ค่อยไปคิดพรุ่งนี้…

 

พื้นแข็งๆ เด็กสาวสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแนบเนื้อเธออยู่ตอนนี้ ความแข็งกระด้างของมันทำให้เธอรู้สึกทรมานเล็กน้อย เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พบว่ารอบๆ ตัวเธอนั้นมิใช่ผ้าห่ม หมอนนุ่มๆ และผ้าปูเตียงอุ่นๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นพื้นห้องที่ทำมาจากไม้

หืม เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน? เด็กสาวพยายามยันตัวเองลุกขึ้น พบว่ามีหมอนและผ้าห่มกระจัดกระจายบนพื้น รู้สึกระบมที่หลังเล็กน้อย เมื่อเธอมองไปที่ฮันน่าก็พบว่าอีกฝ่ายนอนดิ้น และเป็นตัวการที่ทำให้เธอนอนตกเตียง

คืนแรกที่นอนด้วยกันฮันน่ายังไม่เห็นจะนอนดิ้นเลยไม่ใช่หรือ? หรือเป็นเพราะผลกระทบจากการดูดเลือดของเธอไปทำให้อีกฝ่ายไม่นอนดิ้นกัน? หรือบางทีฮันน่าอาจจะเป็นพวกนอนดิ้นถ้าไม่ได้ดื่มเลือดกันนะ

“พี่คะ!!”

เธอหยิบหมอนฟาดอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะหงุดหงิด แต่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายตื่นยากมาก แม้จะตื่นเช้ามาทำอาหารให้เธอทันทุกเช้า แต่หลังจากทำงานเสร็จก็มักจะไปงีบหลับในห้องนอนเสมอๆ ดังนั้นการเอาหมอนฟาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ไม่ตื่นงั้นหรือ? บางทีเอาแจกันฟาดซะทีก็น่าจะได้ล่ะมั้งนะ แต่แบบนั้นแจกันได้แตกและต้องจ่ายค่าเสียหายให้โรงแรมกันพอดี

ขณะที่คิดว่ากำลังจะทำยังไงอยู่นั้น เสียงสะลึมสะลือของแวมไพร์ขี้เซาก็ดังขึ้น

“พี่ตื่นแล้ว แล้วทำไมหมอนกับผ้าห่มกระจัดกระจายแบบนั้นล่ะ?”

ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ? ที่ผ่านมาเธอนอนยังไงไม่ให้บ้านตัวเองพังกัน? เอาเถอะ บางทีอีกฝ่ายอาจจะนอนดิ้นแบบนี้เป็นปกติ—ไม่สิ ยิ่งปกติยิ่งแย่ไม่ใช่รึไง? มีวิธีไหนแก้อาการนอนดิ้นได้อีกรึเปล่านะ?

“อ้อ เอิ่ม”

ฮันน่าลุกขึ้นนั่งและเกาท้ายทอยอย่างอายๆ

“ขอโทษด้วยนะยูริจัง คือปกติถ้าพี่ไม่ได้ดื่มเลือดพี่ก็จะนอนดิ้นแบบนี้ตลอดน่ะ รวมไปถึงตื่นยากด้วย ฮะฮะ”

นั่นปะไร เด็กสาวกลอกตาเล็กน้อย ช่างมันแล้วกัน ตอนนี้เช้าแล้ว ถ้างานศพจัดขึ้นตอนเช้าจริงก็แปลว่าพวกเราสายแล้วไม่ใช่หรือ

เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ฮันน่าทำสีหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวจึงชี้ไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์สีทองจางๆ สาดส่องผ่านม่านหมอกเผยให้เห็นยามรุ่งอรุณของตัวเมือง

“อ้อ”

ฮันน่าพึ่งนึกขึ้นได้

“ถึงพี่จะบอกว่าจัดงานตอนเช้า แต่ตอนเช้าที่ว่านั่นเป็นเวลารวมแขกน่ะ เวลาจัดงานจริงๆ คือตอนสายๆ ต่างหาก ตื่นตอนนี้ก็ยังทันนะ”

แล้วไป เธอก็กังวลเก้อเลย

“ตอนนี้ยูริจังไปอาบน้ำก่อน แล้วพี่จะอาบทีหลังนะ”

ฮันน่าปิดปากหาว

“ราตรีสวัสดิ์”

พี่คะ นี่มันตอนเช้าแล้วนะ ถึงในหลายๆ ครั้งฮันน่าจะดูเหมือนคุณแม่ที่มีนิสัยใจดีและอบอุ่นแถมทำอาหารเก่ง แต่เธอก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกันสินะ

หลังจากอาบน้ำเสร็จชุดที่เธอใส่ก็เป็นชุดกึ่งพิธีการสีขาว ชายผ้ายาวคลุมขาและเนื้อผ้าบางเบา ตัวเสื้อเชื่อมติดกับกระโปรงทรงแคบ ชายกระโปรงยาวจนถึงข้อเข่าทำให้ตัวชุดดูเรียบร้อยและมีมารยาท ไร้ซึ่งเครื่องประดับใดๆ บนนี้

โดยรวมนับว่าเป็นชุดงานศพที่พอใช้ได้ เมื่อฮันน่าออกมาอีกฝ่ายก็สวมชุดแบบเดียวกัน พิธีศพนี้จะต้องสวมชุดสีขาวกันทุกคน แม้แต่บาทหลวงเองก็เช่นกัน สีขาวคือการให้เกียรติคนตาย

หลังจากนั้นสองสาวก็ออกไปจากโรงแรมและนั่งรถม้าไปยังสถานที่จัดงานศพ ดูเหมือนว่าคราวนี้คนขับรถม้าจะไม่ใช่มาร์คัส…หมอนั่นป่วยตายรึยังนะ อยากไปดูด้วยตาตัวเองจริงๆ

ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง รถม้าก็มาจอดข้างๆ ป่าแห่งหนึ่ง มันเป็นป่าขนาดเล็กที่มีหลุมศพมากมายเรียงราย เด็กสาวเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่มาที่นี่พร้อมกับชุดสีขาวเหมือนกับเธอ

 

หลังจากจ่ายเงินให้คนขับรถม้าและนัดว่าให้มารับในอีกสองสามชั่วโมง ทั้งคู่ก็เดินไปยังจุดนัดรวมตัวของญาติและคนรู้จักของผู้เสียชีวิต

วาคาดะ ซายูริกวาดตามองไปรอบๆ บางหลุมศพก็ไม่มีชื่อสลักเอาไว้ บางหลุมก็มีชื่อพร้อมกับเครื่องประดับต่างๆ มากมายติดเอาไว้ ถ้าให้เธอเดา หลุมที่ไม่มีแม้แต่ชื่อพวกนั้นคงเป็นหลุมศพของชนชั้นล่างที่ไม่มีเงินมากพอจะตกแต่งหลุมศพหรือจ้างคนมาสลักชื่อลงไป

“หลุมบางหลุมเป็นหลุมของทหารที่ตายจากสงครามด้วยนะ”

ฮันน่าเล่าขณะที่พวกเธอเดินไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ซึ่งเด็กสาวไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย

“บางคนเป็นศพไร้ญาติน่ะ ถึงได้ไม่มีใครรู้ชื่อ จนสุดท้ายก็ถูกฝังโดยที่ไม่ได้สลักอะไรเอาไว้”

พวกเธอเดินมาถึงลานกว้างที่ปราศจากหลุมศพ ตัวลานถูกปูด้วยหญ้าที่ถูกตัดแต่งจนเรียบและสะอาดสะอ้านมาก มีโลงศพวางเอาไว้บนแท่นตั้งโลงพร้อมกับคนหลายคนที่มาเฝ้าศพนั่น

“ทั้งหมดนี่คือญาติของมิสเตอร์ไบรอัน?”

เด็กสาวถามอย่างฉงน ลืมใช้คำสุภาพ ถ้าจริงล่ะก็ญาติของชายคนนั้นจะเยอะเกินไปแล้ว ทั้งหมดมากระจุกรวมกันราวกับเส้นผม และยังร้องไห้เหมือนๆ กันหมดราวกับนัดกันมายังไงยังงั้น และด้วยความที่เธอเชี่ยวชาญในการแสดงมาก เธอระบุได้เลยว่าหลายคนในที่แห่งนี้ก็แค่แสดงละครเท่านั้น

แถมเป็นการแสดงแบบขอไปทีเสียด้วย

“ไม่ใช่”

ฮันน่าส่ายศีรษะ

“ยูริจังคงไม่รู้จักอาชีพรับจ้างร้องไห้หน้าหลุมศพใช่ไหม? เรียกง่ายๆ ว่าอาชีพรับจ้างเศร้าน่ะ”

เป็นอาชีพที่ชื่อห่วยแตกชะมัด เด็กสาวพึมพำ แปลว่าคนพวกนั้นก็ไม่ใช่ญาติจริงๆ แต่แค่ถูกจ้างมางั้นสิ? ทำไมมันดูเศร้าๆ อย่างนี้นะ

“ปกติของชนชั้นกลางที่อยากไต่เต้าตัวเองเป็นชนชั้นสูงล่ะนะ ขนาดงานศพยังต้องจ้างคนอื่นเพื่อให้มาเสียใจที่ตัวเองตายเลย”

ฮันน่ายักไหล่ด้วยความรู้สึกขำขันให้กับชะตากรรมของผู้ตาย มันเป็นความขำขันที่เจือความเศร้าสร้อยเล็กน้อย

“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ยูริจังไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ก่อนก็ได้นะ พิธีน่ะต้องรอสักพักแหละ”

จากนั้นฮันน่าก็ก้มตัวมากระซิบกับเด็กสาว

“พี่รู้ว่ายูริจังคงเบื่อถ้าต้องมาฟังหลวงพ่อสวดศพ ดังนั้นตอนนั้นพี่อนุญาตให้ไปหาของอร่อยๆ แถวๆ ร้านค้ากินได้ แต่ห้ามไปไหนไกลนะ”

ฮันน่า พี่จะใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากไปแล้ว แวมไพร์จงเจริญ! พี่ฮันน่าจงเจริญ!

แต่จะดีกว่านี้มากถ้าไม่ต้องไปเล่นกับเด็กๆ ที่เป็นญาติของมิสเตอร์ไบรอันด้วย เธอไม่ใช่เด็กเสียหน่อย

เฮ้อ เอาเถอะ ถึงจะไม่ชอบอย่างไรเธอก็เป็นคนที่รู้จักแยกแยะนะ

การได้ทำความรู้จักกับญาติๆ ของมิสเตอร์ไบรอันผ่านลูกๆ ของพวกเขาก็เป็นการสร้างเครือข่ายที่ดีเช่นกัน

ผูกมิตรกับชนชั้นกลางเข้าไว้มันได้ประโยชน์ไม่ใช่รึยังไง?

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Status: Ongoing
“ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!” เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ “ไม่เอา” ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่” “ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่” น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ” เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด “ทำไม?” ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น” “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ” “พนันกันไหมล่ะ?” ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน