รถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนผ่านถนนบนภูเขาอันมืดมิด
แสงสว่างเดียวในตอนนี้คือแสงจันทร์อันริบหรี่และแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์
“มืดจังเลยแหะที่นี่ ถ้ามีไฟถนนหน่อยก็คงดี”
ชายหนุ่มขับรถมอไซค์ยังคงแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ในขณะที่พูดกับตัวเอง
ทางนี้เป็นทางที่เร็วที่สุดในการเดินทางกลับบ้านจากที่ทำงาน ถึงจะบ่นไปแต่ผมก็ยังคงใช้เส้นทางนี้ทุกครั้ง
“เฮ้อ รีบกลับบ้าน อาบนํ้านอนดีกว่า”
ชายหนุ่มเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้รักสันโดษ
เขายังคงขับรถต่อไปขณะที่คิดว่าจะทำอะไรดีหลังจากกลับบ้านแล้ว ชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดา และสงบสุขดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา
ถึงอย่างนั้น ตั้งแต่วันนี้ไปชีวิตอันแสนสงบสุขนั้นกลับต้องมาพังทลายลง
สำหรับเขามันเป็นวันแบบนั้นแหละ….
“….!?”
มันกะทันหันจนเขาเบิกตาโพลง อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ผมเห็นคือเงาเล็กๆ ที่กระโดดพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างถนนตัดผ่านไฟหน้ารถ ร่างของแมวน้อยก็เผยให้เห็น
ทันทีที่เห็นร่างแมวผมก็หักแฮนด์รถไปทางขวาอย่างแรง พยายามหลบเจ้าแมวน้อยตัวนั้น…รถเลี้ยวอย่างสุดแรงเสียหลักแต่ยังประคองไว้ได้
“เอ๊ะ–”
เสียงอันสิ้นหวังหลุดออกมา เมื่อเขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์มันก็สายไปเสียแล้ว ที่โผล่มาในสายตาคือรั้วกั้นสำหรับกันรถตกเขา
ไม่มีเวลาได้เตรียมใจใดๆทั้งสิ้น
คำๆนึงที่ปรากฎในหัว คำเดียวเลย คือ
ตาย!
ล้อหน้าของรถมอไซค์ชนกับรั้วกั้นและดีดตัวออกจากรถด้วยแรงส่งและโมเมนตัม
“ว๊ากกก!!”
ร่างกายลอยเคว้งกลางอากาศ รู้สึกใจหวิวแบบแปลกๆ กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายไปแล้ว
“อ๊ากกกกกกก!!!!”
ผ่านไปกี่วินาทีแล้วนะตั้งแต่ผมกรีดร้องออกมา….
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงของตัวเอง ร่างกายร่วงลงกระแทกกับพื้นและแหลกสลายไป
—แต่ทว่า
“อ๊าา!”
เขากรีดร้องออกมาราวกับว่าช่วงเวลาแห่งความตายยังไม่สิ้นสุด และเขาก็สะดุ้งขึ้นมาและรับรู้บางสิ่งที่แปลกประหลาดในทันที
“อ๊า….อ- อืม? เอ๊ะ?”
ร่างกายที่ตกจากหน้าผายังแข็งแรงดี ไม่สิ ร่างกายของผมที่คุ้นเคยค่อนข้างจะผอมนี่นา รอยไหม้แดดที่แขนก็ไม่มี
“….อะไรน่ะ น- นี่มัน..เรื่องอะไร”
เขาสวมชุดนอนผ้านุ่มฟู อยู่บนเตียงขนาดใหญ่พื้นที่เหลือเฟือขนาดที่ว่านอนดิ้นขนาดไหนก็ไม่มีทางตกเตียง
“ไม่สิ ไม่ ไม่”
ผมไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย ผมขับมอไซค์แล้วประสบอุบัติเหตุนี่นา แม้จะมีความทรงจำนั้น แต่กลับตื่นมาในสถานที่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องนอน การตกแต่งคล้ายคฤหาสน์สไตล์ยุโรป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
ผมวางเท้าลงบนพื้นโดยยังทำความเข้าใจไม่ได้ เดินเล่นรอบห้องนอนขนาดใหญ่ด้วยความระมัดระวัง
ตอนนั้นผมก็ได้เห็นตัวเองที่สะท้อนในกระจกที่ดูโอ่อ่า
“หาา!?”
ณ ตอนที่เห็นตัวเองในกระจกก็อ้าปากค้าง และภาพในหัวก็พลันว่างเปล่า
(…ไอ้หน้าหล่อนี่ใครฟะ?)
ในกระจกสะท้อนชายหนุ่มรูปงาม ผมสั้นสีนํ้าตาลเข้ม นัยน์ตาสีเขียวอำพัน ใบหน้าสัดส่วนได้รูป
ผมจ้องมองใบหน้าที่ไม่ใช่ของตัวเอง นี่มันไม่ใช่หน้าของผมอย่างแน่นอน ลองขยี้ตาอย่างแรงแล้วมองอีกครั้ง ภาพก็ยังเหมือนเดิม
“ไม่ ไม่ ไม่ นี่มันใครอะ…..อ๊ะ เบเรต์– หือ? ทำไมฉันถึงรู้จักชื่อนี้ละ!? ”
ทันใดนั้นความรู้สึกแปลกๆก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“……”
ผมมองตัวเองในกระจกและลองขยับหน้าไปมาสักพัก ในที่สุดก็เข้าใจ
“อ่า….”
ความทรงจำเกี่ยวกับอุบัติเหตุยังคงอยู่
ขณะเดียวกันก็มีความทรงจำของชายที่ชื่อเบเรต์นี้เช่นกัน
สองความทรงจำผสมปนเปกันไป
(บ้าน่านี่อย่าบอกนะว่า…ผม…กลับมาเกิดใหม่งั้นเหรอ? หรือแค่มาสิงร่างไอ้หมอนี่?)
ไม่มีคำอธิบายใดๆว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็เกิดเรื่องที่ดูไม่สมจริงสุดๆไปแล้ว แต่ผมก็ยังสงบสติอารมณ์อยู่ได้
ไม่สิ นี่อาจเป็นเพราะความทรงจำของ ‘เบเรต์’ ก็ได้ นอกจากกลับชาติมาเกิดผมก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว
ผมรู้ข้อมูลทุกอย่าง
ที่นี่คือประเทศ ‘กีลเซลเพน’
ตัวผมชื่อ เบเรต์ เป็นนักเรียน อายุ 18 ปี
มีพ่อแม่เป็นมาร์ควิสกำลังเดินทางสำรวจดินแดนใหม่
และที่บ้านมีเหล่าคนรับใช้คอยปรนนิบัติให้
“อ่า ก่อนอื่นก็กินข้าวก่อนดีกว่า ฉันต้องไปโรงเรียน”
เมื่อดึงสติได้และเริ่มรวบรวมชิ้นส่วนความทรงจำอย่างใจเย็น
ถ้าจะให้ละเอียดทุกซอกทุกมุมยังคงต้องใช้เวลา แต่มันคงจะดีกว่าถ้าไม่โฟกัสกับมันมากเกินไป ค่อยๆนึกและเรียนรู้ไปดีกว่า
“ต้องพยายามให้ดีที่สุด…แบบนี้มันก็ยังดีกว่าการที่ตื่นมาแล้วต้องดิ้นรนหาของกินประทังชีวิตล่ะนะ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น และก็คงไม่มีใครเข้าใจด้วย”
ก๊อกก๊อก
“ห๊ะ!?”
มีเสียงเคาะประตูจากโถงทางเดิน
“ท- ท่านเบเรต์เจ้าคะ เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
มีเสียงใส เบาๆ ดังมาจากหลังประตู
(เสียงนี่ของสาวรับใช้ คุณเชียงั้นเหรอ? ถึงจะยุ่งอยู่แต่ก็คอยมาปลุกทุกเช้า เป็นคนที่ใจดีจังนะ)
มันคงเป็นเรื่องธรรมดาของสาวรับใช้ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น
“ครับ–”
ขณะที่ผมกำลังเอ่ยตอบกลับไป จู่ๆกระแสไฟฟ้าก็แปล๊บแล่นขึ้นสมอง
******
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดเมด
ผมสีชมพูประกายขาวของเธอผูกเปียด้วยริบบิ้นสีชมพูมัดเป็นหางเปีย
ดวงตาสีฟ้าคราม
รูปร่างเพรียวบางเล็กกระทัดรัดให้ความรู้สึกแบบสาวน้อย เธอกำลังเผชิญหน้ากับเบเรต์ที่มีสีหน้าดูหงุดหงิดเล็กน้อย
“นี่.. เชีย ทำไมปลุกฉันช้าแบบนี้วะ มัวทำอะไรอยู่ห๊ะ? นี่เธอเป็นสาวใช้ประสาอะไรหาา!?”
“ขะ- ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ ต-..แต่คือฉันมาปลุกตรงเวลาแล้วแต่ท่านเบเรต์— ”
“เฮ้ออ ถึงอย่างนั้นเธอกลับปล่อยให้ฉันนอนต่อแล้วค่อยมาปลุกอีกรอบเนี่ยนะ”
“เอ๊ะ”
เบเรต์ขมวดคิ้วและเริ่มพูดประชด
“เธอนี่มันไรประโยชน์ชะมัดเลย อ่าา คงถึงเวลาต้องเปลี่ยนสาวใช้คนใหม่แล้วมั้ง”
“ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ ด- ได้โปรด…ขอแค่เรื่องนั้น…อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ..”
“เห้ยๆ นี่มันรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เธอพูดประโยคนี้เนี่ย ช่วยพยายามให้มากกว่านี้หน่อยสิวะ ฉันไม่ต้องการสาวใช้ที่ไร้ประโยชน์หรอกนะ”
“ต- ต้องขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามมากกว่านี้ เพราะงั้น…”
เธอก้มหน้าขอโทษให้กับความผิดที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ครอบครัวของเชียทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของตระกูลนี้มาหลายชั่วอายุคน
เธออายุ 16 ปี อายุน้อยกว่าเบเรต์ 2 ปี และเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน และเป็นคนที่คอยสนับสนุนเบเรต์มาตลอด แต่เบเรต์ก็ยังคงบีบบังคับและคอยกดดันเธออยู่เสมอ คอยปลูกฝังความกลัวให้เธอมาโดยตลอด
เบเรต์เป็นทายาทของตระกูลมาร์ควิสและเขาก็เป็นผู้สืบทอดตระกูลเพียงคนเดียว
เขาชอบดูถูกผู้ที่อ่อนแอกว่าตนเองและมีนิสัยก้าวร้าว
ตัวเขาทำเรื่องโหดร้ายมากมายต่อเชีย
ในสายตาผู้อื่นตัวตนของเขาก็เลวร้ายไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย
เรื่องราวทั้งหมดนี้ไหลผ่านเข้าสู่สมองของผมประดุจนํ้าป่าไหลหลาก