ตอนนี้ผมโดนเพื่อนร่วมชั้นตีตัวออกห่างโดยสมบูรณ์
“……”
เบเรต์ฟุบหน้านอนลงกับโต๊ะ
บางทีนอนไปทั้งอย่างนี้คงจะง่ายกว่า เพราะยังไงก็ไม่มีใครเข้ามาคุยกับผมอยู่ละ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็หลับตาลง….ทว่าไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกวนใจใกล้ๆ
“—ตึ้ง”
“เห๊ะ!?”
ขณะที่ผมกำลังจะหลับก็ได้มีเสียงทุบโต๊ะจากข้างๆ ผมยกร่างกายท่อนบนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบกับผมยาวสลวยสีแดงเพลิง และโช้คเกอร์สีดำรอบคอ เอวบางดูสะดุดตาและไฟหน้าที่ดูอลังการ
“อะ”
เนื่องจากในความทรงจำมีเธออยู่ เบเรต์จึงรู้ได้ในทันทีว่าสาวงามคนนี้เป็นใคร
‘ฮ้าวว’ ผมเงยหน้าขึ้นและสบตากับเธอโดยใช้มือป้องปากหาวไปด้วย
“อาร่า ขอโทษด้วยนะคะ ที่มารบกวนเวลานอน”
“….เอเลน่าเหรอ? ช่างเถอะ…คนที่หลับในห้องเรียนต่างหากที่ไม่ดี”
(ถึงจะรู้สึกว่ามีใครทุบโต๊ะเหมือนจงใจก็เถอะ)
ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายพร้อมคิดในใจเช่นนั้น
มองดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่อาจารย์จะมาแล้วสินะ อีก10 นาทีได้มั้ง
“ฮ้าวว ดูเหมือนว่าใกล้ได้เวลาเรียนแล้วนะ พยายามเข้าล่ะ…”
“ทั้งที่หลับในคาบเรียนตลอดแท้ๆ ยังอุส่าพูดแบบนั้นมาได้ไม่กระดากปากนะ วันนี้มีคาบจำลองการต่อสู้ด้วย คิดจะใช้โล่ป้องกันไปเรื่อยๆเหมือนเดิมล่ะสิ ”
“เอ๊ะ? ฉันเหรอ?”
“ก็นอกจากนายจะมีใครอีกล่ะ ถามแปลกๆ”
“งะ งั้นเหรอ..”
ผมถามกลับไปเพราะไม่รู้จริงๆ แต่เธอก็ตอบกลับมาราวกับมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
“แน่นอนว่าการใช้โล่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่นายก็น่าฝึกทักษะอื่นที่ดูเป็นประโยชน์กว่านี้นะ”
“ขอบคุณที่บอก”
“อืมม หายากนะที่คนอย่างนายจะพูดขอบคุณแบบนี้”
ตอนนี้เอเลน่าคุยกับผมตามปกติก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราสนิทกันเป็นพิเศษหรอกนะ
เป็นความสัมพันธ์ที่ว่า ถ้าเจอหน้ากันก็ทักทายกันเล็กน้อย เป็นครั้งคราว
เบเรต์ที่ถูกคนรอบข้างหวาดกลัวแต่ไม่ใช่สำหรับเอเลน่าที่ฐานะเป็นถึงบุตรสาวของท่านเอิร์ล
“เพราะฉันพึ่งตื่นเลยสลึมสลือพูดไปล่ะมั้ง?”
“เหตุผลอะไรของนายล่ะนั่น อ่า ช่างเถอะ แล้ว….นายคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“หืม? เรื่องอะไร?”
“นายเองรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วแท้ๆ ฉันกำลังถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเชียกันแน่”
ว่าแล้วเอเลน่าก็นั่งลงข้างๆผม ม้วนปอยผมสีแดงด้วยนิ้วชี้และมองมาทางนี้ด้วยสายตาเฉียบคม
ผมสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเธอ เธอกำลังถามผมด้วยสีหน้าสงสัยและจริงจังสุดๆ
“เมื่อเช้าฉันบังเอิญไปเจอเด็กคนนั้นมา แล้วเธอก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับนายเมื่อเช้า ทั้งเรื่องที่เชียทำแก้วแตก และนายก็ปกป้องเธอไว้ แถมยังปล่อยให้เด็กคนนั้นเป็นอิสระอีก ”
ดวงตาสีม่วงที่งดงามราวกับอัญมณีกำลังจ้องผมจนตัวจะทะลุอยู่แล้ว เอเลน่าโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่งดงามของเธอค่อยๆคืบคลานเข้ามา
“บอกตามตรง ฉันคิดว่ามันต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแน่ๆ ฉันก็ไม่ได้จะสงสัยนายหรอกนะ แค่อยากรู้เหตุผล..”
“ถ้าไม่ได้สงสัยจริงก็ช่วยหยุดทำหน้าแบบนั้นทีได้ปะ? แล้วก็เลิกยื่นหน้าเข้ามาได้แล้ว”
“อาร่า ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
ผมเริ่มคิดอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้โดยไม่ให้ดูหยาบคายเกินไป
สมกับเป็นลูกสาวของท่านเอิร์ลเลย งดงามแถมยังหัวดีอีก
“กลับเข้าเรื่องเลย…ในเมื่อฉันเห็นหน้าเชียที่เป็นแบบนั้นไปแล้ว ก็ปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ”
เอเลน่าพูดพร้อมยักไหล่บางของเธอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับนึกถึงช่วงเวลานั้น และพูดต่อ
“…ตอนเธอเล่าเรื่องนั้นเธอดูมีความสุขมาก ‘ได้รับคำชมจากท่านบาเรต์ด้วยล่ะ–!’ แถมตอนเธอเล่าก็ยิ้มแป้นไม่หยุด”
“ฮะๆ ก็ดูสมเป็นเชียดีนะ”
“มีอะไรน่าขำเหรอ? สำหรับฉันนี่มันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว”
ผมอดขำเบาๆไม่ได้จริงกับเรื่องของเชีย แต่ว่าพลาดซะแล้วสิเรา
–นํ้าเสียงของเอเลน่ากลายเป็นเย็นเยือกทันที เธอกลับมาแสดงสีหน้าจริงจังอีกครั้ง
“ในฐานะที่ฉันเป็นเพื่อนเธอ ฉันไม่สามารถทนเฉยกับเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าหากนายเล่นกับความรู้สึกของเธอล่ะก็.. ฉันไม่ยกโทษให้นายแน่”
“อย่างนี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าเธอจะสื่ออะไร”
ที่เธอดูโมโหขนาดนั้น เพราะแบบนี้เองสินะ
การที่เชียเป็นสาวใช้ก็ต้องทนรับแรงกดดันมากมาย ไม่ว่าตัวผมคนก่อนจะรังแกเธอยังไง เอเลน่าก็ไม่เคยมาเตือนผมแบบนี้เลย
แต่ทว่า การเล่นกับความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของเชียนั้นต่างออกไป ถ้าผมเล่นกับความรู้สึกที่ใสซื่อของเชียมันก็ไม่น่าให้อภัยจริงๆนั่นแหละนะ
“ก็นะ ถ้าให้ฉันพูดเองอาจจะดูเชื่อถือไม่ได้ก็เถอะ แต่ฉันให้สัญญากับเธอได้เลยว่าไม่ได้เล่นกับความรู้สึกของเชียอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้นด้วย”
“งั้น แล้วนายทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันแน่? บอกมาฉันมา”
ในตอนนี้ เอเลน่าสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เบเรต์พูดอาจจะเป็นความจริง
“นั่นสิ ทำไมกันน้า.. แทนที่จะมาถามฉัน ทำไมไม่ลองไปถามเชียดูล่ะ?”
“อะ ว-วิธีการพูดแบบนั้น อย่าบอกนะว่านาย สั่งไม่ให้เชียบอกกับใครสินะ”
“ไม่ได้สั่งซะหน่อย ขอร้องต่างหากล่ะ ขอร้องน่ะ”
“กล้าพูดนะ ข่มขู่ล่ะสิไม่ว่า”
“จะคิดยังไงก็เชิญ”
‘อ่อ ที่ผมดูอ่อนโยนขึ้นเพราะผมกลับชาติมาเกิดใหม่เองแหละคับ เทเหะ☆’ ไม่มีทางที่ผมจะพูดแบบนั้นออกไปแน่ ตอบเลี่ยงๆไปแบบนี้แหละดีแล้ว
“ด้วยเหตุนี้เอง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เอเลน่าต้องกังวลแล้วล่ะ จากนี้ไปก็ฝากเชียด้วยนะ”
“ความสัมพันธ์ระหว่างเชีย กับ ฉัน ไม่ได้เปราะบางแบบนายหรอกนะ แต่เรื่องคราวนี้ไว้ฉันจะลองพิจารณาดู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะปักใจเชื่อคำพูดของนายหรอกนะ”
“ฮะๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“ฮึ่มม พอละไปดีกว่า แล้วเจอกัน”
“ค้าบ ค้าบบ ”
เอเลน่าตอบเบเรต์อย่างห้วนๆและลุกขึ้นยืน เธอเดินกลับที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็วและเริ่มนำหนังสือขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
******
(อาเระ ทำไมกันนะ.. ทำไมฉันถึงเชื่อเหตุผลของเขาอย่างง่ายดายขนาดนี้…)
(ดูเหมือนว่า เขาดูคุยง่ายกว่าปกติ…)
(ถึงจะนิดเดียว แค่นิ๊๊ดเดียวจริงๆนะ ที่ว่าคุยกับเขาก็สนุกดีเหมือนกัน)
“อืออ รู้สึกแปลกๆจังเลยแหะ…”
ขณะนั้นเอเลน่าก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้า
‘ฉันรู้สึกโล่งใจมากๆเลยค่ะที่พยายามมาจนถึงตอนนี้ พอนึกถึงคำพูดของท่านเบเรต์ทีไรก็ดีใจมากจนจะบินได้อยู่แล้วค่ะ เอะเฮะเฮะเฮะ’
เรื่องที่เชียเล่าเมื่อเช้า ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขของเชีย