บทที่ 4 ที่ว่าการรัฐติง
“เรียนใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ…”
“ต้องให้ข้าพูดอีกกี่ครั้ง เรื่องของคุณชายให้ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจ”
ทางเล็กที่ปูด้วยหินปูนสายหนึ่งเชื่อมกับโถงหลักซึ่งเป็นห้องประชุมงานราชการของใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ ดูแล้วงามล้ำเหมือนทางคดเคี้ยวที่นำไปสู่สถานที่แสนสงบ
เดินเลียบทางเล็กจนสุดทาง เมื่อหันตัวก็เป็นที่พักส่วนในของที่ว่าการรัฐติง
ที่พักส่วนในนี้โอ่อ่ากว่าโถงหลักของใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐมากทีเดียว ผนังกั้นแกะสลักลายหงส์โบตั๋นและฝูงกระเรียนเหนือเมฆตั้งอยู่หน้าทางเข้า ลายเส้นงานแกะสลักนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง ด้านหลังยังสลักคุณูปการที่ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐมีต่อรัฐติงไว้ด้วย
ผนังกั้นล้อมสี่ด้าน ทั้งหมดปกคลุมด้วยอักษรกลับด้านถี่ยิบชั้นหนึ่ง การยกชั้นของหลังคานั้นจัดเรียงขึ้นไปสิบกว่าชั้นในคราวเดียว ทั้งโถงดูแล้วเหมือนกระเรียนขาวกางปีก
ฮูหยินงดงามผู้หนึ่งนั่งหยัดตรงอยู่ในตำแหน่งประธานของโถง ด้านล่างมีบ่าวรับใช้คุกเข่าเรียงอยู่เต็มไปหมด
นางอยู่ในชุดกระโปรงปักดอกไม้ซ่อนลายสีสันสดใส เสื้อตัวบนเป็นเสื้อแพรทอลายผีเสื้อบินชมร้อยบุปผา เสื้อนอกเป็นเสื้อแพรไหมลายดอกเบญจมาศ และยังคลุมด้วยผ้าคลุมขนนกเนื้อแพรปักลายกระเต็น
แต่งกายเหมือนจะออกเดินทางไกล
“ฮูหยิน ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐบอกว่าเรื่องทั้งหมดของคุณชายล้วนให้ท่านตัดสินใจขอรับ”
“เรียกข้าว่าใต้เท้าผู้ดูแลรัฐ!”
หญิงงามผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นโจวอวิ๋นอวิ่น ฮูหยินของทังหมิงผู้ควบคุมรัฐแห่งรัฐติงนั่นเอง
กล่าวตามหลักบุรุษคุมนอกสตรีคุมใน แต่งงานแล้วเกื้อกูลสามีอบรมลูกอย่างสบายอกสบายใจก็พอ แต่ฮูหยินท่านนี้กลับต่างจากคนทั่วไป นางหมกมุ่นเรื่องการรับตำแหน่งราชการไม่น้อย และผู้ควบคุมรัฐทังก็ขึ้นชื่อว่ากลัวภรรยา เขาไม่อาจต่อต้านการบังคับขู่เข็ญของนาง ทำได้เพียงให้นางเป็นผู้ดูแลรัฐ
แต่กฎพื้นฐานนั้นมาก่อน ผู้ดูแลรัฐนี้เป็นถึงตำแหน่งขุนนางลำดับที่สองของรัฐติง ไม่ใช่จู่ๆ ก็เข้ารับตำแหน่งได้ตามสะดวก ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งของฮูหยินจึงมีแค่ชื่อในนาม ไม่ได้มีอำนาจจริงๆ
ที่จริงโจวอวิ๋นอวิ่นก็รู้ดีว่าตนไม่มีคุณสมบัติในการเป็นขุนนาง หนึ่งนางไม่อาจปกป้องดินแดนปลอบขวัญประชาชน อีกทั้งไม่อาจพิจารณาคดีและอนุมัติเอกสาร แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ตนชอบฟังคนข้างกายเรียกตนว่าใต้เท้านัก สำหรับจุดนี้ จะชื่อในนามหรืออำนาจแท้จริงก็เหมือนกันหมด ไม่แตกต่างอะไร
แม้ผู้ควบคุมรัฐทังกลัวภรรยา แต่ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยานั้นดีมากมาตลอด โจวอวิ๋นอวิ่นสุขภาพไม่ดี ยากจะมีผู้สืบสกุล ผู้ควบคุมรัฐทังไปหาหมอเลื่องชื่อทุกหนแห่งแต่ก็ยังไร้วี่แวว จนกระทั่งติ้งซีอ๋องมาเยือนกะทันหันและได้ยินเรื่องนี้จึงให้คนเดินทางมาส่งยาโดยเฉพาะ อย่างไรรัฐติงก็อยู่บริเวณชายแดน ต่อต้านการรุกรานจากราชสำนักทุ่งหญ้ามาต่อเนื่องหลายปี ผู้ควบคุมรัฐทังย่อมมีคุณูปการยิ่งใหญ่
ยาของติ้งซีอ๋องก็ได้ผลชะงัด ไม่นานโจวอวิ๋นอวิ่นให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่าจงซง ความหมายโดยนัยคือเที่ยงธรรมและตั้งตรงดุจต้นสนที่เขียวชอุ่มตลอดปี
แต่คุณชายท่านนี้กลับแตกต่างจากชื่อนี้โดยสิ้นเชิง ถึงขั้นว่าชื่อนี้ตั้งอย่างไร เขาก็ตรงกันข้ามอย่างนั้น ดนตรี หมากล้อม อักษร ภาพวาดล้วนไม่เชี่ยวชาญ ไม่อ่านลำนำคำกวีสักนิด ให้เขาฝึกยุทธ์ก็บอกว่าขี่ม้าแล้วมันทิ่มก้นจนปวด
ตอนแรกผู้ควบคุมรัฐทังยังอบรมเข้มงวด อย่างไรก็ได้ลูกมาตอนแก่ เป็นใครก็คาดหวังมากทั้งนั้น แต่มารดาของคุณชายกลับไม่อยากให้ลูกชายลำบากแม้แต่น้อย
เรียนตำราได้แย่นั่นเป็นเพราะอาจารย์สอนไม่เป็น ขี่ม้าจนรู้สึกปวดร้าวนั่นเป็นเพราะร่างกายของลูกชายบอบบาง มีชะตานั่งเกี้ยวให้คนยกตั้งแต่กำเนิด
ผู้ควบคุมรัฐทังเห็นลูกชายไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ก็ไม่กล้าทะเลาะกับภรรยา นานวันเข้าก็ปล่อยเขาไป ตาไม่เห็นใจไม่กลุ้ม เหลือเพียงความเจ็บใจที่ว่าไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]อยู่เต็มอก
เช้าตรู่วันนี้
ผู้ควบคุมรัฐทังกำลังสั่งการกองทัพ เขากลุ้มใจเรื่องทหารหมาป่าที่มารุกรานชายแดนอีกครั้ง ลูกชายที่ตามปกติเมื่อเห็นตนมักจะเดินอ้อม กลับมาโถงประชุมหลักกะทันหัน
“ได้ยินว่าทหารหมาป่าทุ่งหญ้ารุกรานชายแดนอีกแล้วหรือขอรับ”
“ใช่ มีอะไร”
ผู้ควบคุมรัฐทังตอบทื่อๆ เขาพบว่าตนเองไม่ได้สังเกตลูกชายของตนอย่างละเอียดเช่นนี้มานานมากแล้ว
ก่อนนี้ยังถามไถ่สถานการณ์รายวันของคุณชายคร่าวๆ อยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่พ้นเรื่องเสียพนันในบ่อนแห่งหนึ่งไปเท่าไร ส่งคนไปเบิกเงินจากห้องบัญชีมาใช้หนี้เท่าไร หรือไม่ก็ไปดื่มจนเมาแอ๋อยู่ไหน ทุบตีเจ้าของร้านและทำลายโต๊ะคิดเงินของคนอื่นเขา
ที่สองพ่อลูกพูดคุยกันต่อหน้าเช่นนี้ ผู้ควบคุมรัฐทังจำได้ว่าเป็นตอนที่ลูกชายเพิ่งเดินได้ไม่นาน
“ข้าอยากไปแนวหน้า!”
คุณชายกล่าว
“ซงเอ๋อร์ ห้องประชุมไม่ใช่ที่ที่จะก่อเรื่องวุ่นวายได้ ที่แห่งนี้คือศูนย์กลางการทหารของรัฐติง เจ้าออกไปเถอะ มีธุระก็ไปหารือกับแม่เจ้า”
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าลูกชายของตนยังมีความน่ารักอยู่บ้าง
“เรื่องนี้ท่านแม่ตัดสินใจไม่ได้ ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารแห่งรัฐติง จะให้ข้าไปแนวหน้าไม่ได้เชียวหรือ ข้าไม่สน ข้าจะไปแนวหน้า! ข้าจะไปรบ!”
ผู้ควบคุมรัฐทังเตือนด้วยคำพูดดีๆ อย่างอดกลั้นไปรอบหนึ่ง ใครจะคิดว่าคุณชายผู้นี้ก็เป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นเอาความคิดตนเป็นหลัก อย่างไรก็จะไปรบให้ได้ ทำอย่างไรก็ไม่สะเทือน
ผู้ควบคุมรัฐทังโกรธจนรู้สึกขบขัน ในใจคิดว่า ‘เจ้าเด็กโอหังนี่กระทั่งม้ายังขี่ไม่มั่นจะไปรบได้อย่างไร ตอนที่สอนเจ้าขี่ม้ายิงธนู เจ้าบอกว่าเจ้าอยากเรียนการรบอย่างทหารราบ ฝึกวิชากระบี่ พอเริ่มฝึกกระบี่ก็พูดทำนองว่าเส้นทางแห่งการสังหารไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพชน อยากจะเรียนตำรา ยังไม่เห็นเจ้าเขียนสักตัวอักษร ท่องตำราไม่กี่บทกลับไล่อาจารย์ไปแล้วสามสี่คน ตอนนี้บอกข้าอีกว่าอยากไปรบ? เจ้าคิดว่าการรบเหมือนการแสดงฉากนัดพบบนหอคอย[2]นั่นงั้นรึ’
ผู้ควบคุมรัฐทังไม่ให้เขาอธิบายอะไรอีก ทั้งตีทั้งด่ายกหนึ่งแล้วไล่คุณชายออกไปจากห้องประชุม
ที่พักส่วนในของที่ว่าการรัฐติง
“บอกใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐของเจ้า คุณชายไม่มีข่าวคราวตั้งแต่เมื่อวาน หากเขาไม่สนใจเช่นนั้นข้าจะไปตามหาลูกชายเอง!”
โจวอวิ๋นอวิ่นโมโหจนขว้างถ้วยชาในมือลงพื้นอย่างแรง เดิมบ่าวรับใช้ที่มารายงานยังอยากพูดว่าใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐไม่ได้ฟังตนพูดจนจบด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าฮูหยินโกรธเช่นนี้ก็กลืนคำพูดกลับไปเต็มแรง
………………
บนเนินเขาแห่งหนึ่งนอกหัวเมืองรัฐติง
“ตาเฒ่าท่านคอยดูเถอะ พอข้าตัดหัวหลางอ๋องมาให้ท่านดู ท่านก็จะรู้ความเก่งกาจของข้าแล้ว!”
ขณะที่ในจวนวุ่นวายไม่สิ้นสุดนั้น คุณชายของเรากำลังนอนอาบแสงอาทิตย์บนเนินเขานอกหัวเมืองอย่างเอ้อระเหย
“คุณชายกล้าหาญหมื่นคนไร้พ่าย พอถึงแนวหน้าแล้วต้องสังหารเรียบแน่นอน ก็เหมือนอะไรนะ… อ้อใช่ ก็เหมือนปลาคืนสมุทร มังกรขึ้นฟ้า เสือเข้าฝูงแกะ ฟ้า…”
“เอาละๆ บอกมาเจ้ารู้ทิศทางหรือยัง พวกเราควรไปที่ใด”
เผียวเจิ้งหงบ่าวในที่ว่าการรัฐติงเป็นสุนัขรับใช้หมายเลขหนึ่งของคุณชาย
ไม่ว่าไปที่ใดเจ้านี่ก็คอยติดตามปรนนิบัติขับรถม้าให้คุณชายเสมอ คำสอพลอในปากพูดได้ไม่ซ้ำกันในหนึ่งวัน ทำให้คุณชายที่รู้สึกพึงใจในตนเองอยู่แล้วสุขใจมากทีเดียว
“คุณชาย ตอนนี้เลยเที่ยงวันแล้ว ดวงอาทิตย์หันทางตะวันตก พวกเราแค่เดินไปทิศทางที่ดวงอาทิตย์ตกก็พอขอรับ ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐสั่งถอนกำลังห้าเมืองติดชายแดนแล้ว พวกเราต้องเจอคนเหล่านี้ระหว่างทางแน่นอน ถึงตอนนั้นค่อยสอบถามให้ละเอียดก็ได้”
“อืม เจ้าพูดได้ดี รอฟ้ามืดอีกหน่อยพวกเราค่อยออกเดินทางแล้วกัน ต่อไปทางเส้นนี้ล้วนไม่มีที่ซ่อนตัว หากถูกคนที่ตาเฒ่าข้าส่งมาจับกลับไปก็ไม่สนุกแล้ว”
………………
บนทางหลวงรัฐติง
เฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองรัฐติงนำผู้สั่งการหัวเมืองซ้ายขวาอย่างเสิ่นซือเซวียนและฟู่ฮั่นหยางยกทัพทหารรัฐติงสองแสนนาย โดยแบ่งเป็นสามเส้นทางมุ่งหน้าไปเขตชายแดน เวลานี้ค่ายกองทหารกลางของเฮ่อโหย่วเจี้ยนกำลังมุ่งหน้าบนทางหลวง
“เรียนใต้เท้าผู้ว่าการหัวเมือง ผู้สอดแนมมีรายงาน จำนวนทหารหมาป่ารุกรานชายแดนที่สืบแน่ชัดแล้วมีกว่าเจ็ดหมื่นคนโดยประมาณ ยังไม่ทราบชั่วคราวว่าภายหลังจะมีกำลังเสริมหรือไม่”
“ทหารหมาป่ากลุ่มนี้เป็นของกองกำลังทุ่งหญ้าฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา เป็นหน่วยใด”
“เรียนใต้เท้าผู้ว่าการหัวเมือง ทหารหมาป่าที่รุกรานพรมแดนคราวนี้เป็นของพวกผู้นำหน่วยใหญ่อวี้หรง ผู้นำหน่วยรองจื่อเหวิน ผู้นำหน่วยสามซือเฟิงจากหน่วยกลืนจันทราในสังกัดแม่ทัพกองกำลังฝ่ายซ้าย”
“นำสถานการณ์รบนี้ไปรายงานใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐโดยเร็ว แล้วส่งคนสอดแนมไปสืบหน่วยตามตะวัน หน่วยคำนับดารา และหน่วยโอบอรุณในสังกัดกองกำลังฝ่ายซ้าย อาศัยกำลังทหารหน่วยเดียวก็คิดจะโจมตีรัฐติงของข้าหรือ อั๋งหรานเสียสติไปแล้วงั้นรึ”
“ใต้เท้าขอรับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนรับรู้ได้เองในทันที หลังจากให้ทุกคนออกไปเขาก็ให้คนสนิทใต้บังคับบัญชาก้าวเข้ามา
“ทหารที่ส่งไปถ่ายทอดคำสั่งถอนกำลังที่ห้าเมืองเขตชายแดนบอกว่า เขาพบผู้แทนการตรวจสอบพิเศษของกองสัคคะเนตรในกรมสอบสวนกลางผู้หนึ่งที่เมืองจี๋อิง และผู้แทนการตรวจสอบผู้นี้ยังกำชับทหารของพวกเราไม่ให้เปิดเผยข้อมูลของเขา…”
บนหน้าเฮ่อโหย่วเจี้ยนมีความเคร่งขรึมปรากฏขึ้นเล็กน้อย เขาเขียนจดหมายอธิบายความซับซ้อนที่เกิดขึ้นฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว ให้คนสนิทผู้นี้ตะบึงไปส่งยังที่ว่าการรัฐติง ทั้งกำชับว่าต้องส่งให้ผู้ควบคุมรัฐทังหมิงกับมือ ห้ามมอบให้คนข้างกายส่งแทนเป็นอันขาด
………………
ในที่ว่าการรัฐติง
“อะไรนะ คุณชายหายตัวไปรึ”
“ขอรับ ที่กล่าวไปล้วนเป็นคำพูดของฮู… ใต้เท้าผู้ดูแลรัฐขอรับ”
ได้ยินว่าลูกชายหายไป ผู้ควบคุมรัฐทังก็ไม่มีเวลาสนใจความคับขันของสงครามอะไรแล้ว เขามาถึงที่พักส่วนในโดยไม่รอช้า เห็นฮูหยินกำลังตำหนิบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งเสียงลั่น
“ทังหมิงข้าบอกท่านไว้เลย! ถ้าลูกเป็นอะไรไปข้าจะเอาเรื่องท่านถึงที่สุด!”
โจวอวิ๋นอวิ่นน้ำมูกน้ำตาไหลพร้อมกัน ทำให้ในใจทังหมิงรู้สึกแย่ไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าเตรียมการไว้แล้ว แม้ซงเอ๋อร์จะดื้อรั้นหัวแข็งแต่อย่างไรก็เป็นเด็กขี้กลัวคนหนึ่ง เขาไม่หนีไปไหนไกลหรอก ก่อนนี้ก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
ทังหมิงปลอบใจภรรยา
“ก่อนนี้เคยมี? ท่านไม่เคยห่วงใยลูกชายของท่านเลย! ท่านรู้หรือไม่ ถึงซงเอ๋อร์จะดื้อรั้นเพียงใดเขาก็ไม่เคยอยู่ข้างนอกทั้งคืนมาก่อน ต่อให้ดื่มจนเมาเละเทะก็จะให้เผียวเจิ้งหงแบกเขากลับมา แต่อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเท่ากับซงเอ๋อร์ไม่กลับมาสองคืนติดกันแล้ว ท่านไม่หา ข้าจะไปหาเอง!”
โจวอวิ๋นอวิ่นพูดไปก็จะพุ่งตัวออกข้างนอก ทังหมิงรวบกอดภรรยาไว้ ใจคิดว่าเรื่องนี้วุ่นวายเลยเถิดไปแล้ว แม้ไม่เคยเอาใจใส่ชีวิตลูกชายมาก่อน แต่นิสัยของเขาตนกลับรู้ดียิ่ง หนึ่งคำคือดื้อ สองคำคือดื้อมาก สามคำคือ… แม่งห่าเอ๊ย
ต้องเป็นเพราะเมื่อวานเขาจะไปรบแล้วตนไม่อนุญาต แถมยังทั้งตีทั้งด่าเขาไปชุดหนึ่ง ตอนแรกซงเอ๋อร์อาจจะแค่มีใจอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง คิดว่าที่ที่เที่ยวเล่นได้ในหัวเมืองรัฐติงก็เที่ยวมาหมดแล้ว การรบเป็นเรื่องแปลกใหม่เร้าใจอย่างหนึ่ง หากตอนนั้นตนอนุญาตไปก่อน แล้วส่งสองสามคนไปสนุกสนานเป็นเพื่อนเขาเหมือนเต้นระบำอัญเชิญเทพ[3]สักหน่อย ไม่กี่วันเขาต้องหมดความสนใจแน่นอน
จะแย่ก็แย่ที่ตนสั่งสอนเขาต่อหน้าผู้ตรวจการรัฐรวมทั้งบ่าวและผู้ติดตามจำนวนมากในห้องประชุมไปยกหนึ่ง
ซงเอ๋อร์เป็นคนรักหน้าตาอย่างยิ่ง การทำให้เขาเสียเกียรติและศักดิ์ศรีที่มีต่อหน้าผู้คนจนหมดสิ้น นั่นคือการทำให้เขาอยากไปรบด้วยใจเด็ดเดี่ยว และพยายามให้ได้มาซึ่งคุณูปการทางทหารสักเล็กน้อยเพื่อทวงศักดิ์ศรีกลับมาไม่ใช่หรือ
คิดถึงตรงนี้ทังหมิงอยากตบหน้าตนเองสักฉาดเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าพูดกับภรรยา
แต่ในเมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว เช่นนั้นก็ตามหาคนได้ไม่ยาก
ขณะเขากำลังเตรียมจะส่งคนไปติดต่อเฮ่อโหย่วเจี้ยนที่นำทหารออกศึกนั้น จดหมายของเฮ่อโหย่วเจี้ยนกลับมาถึงก่อน
………………
นอกเมืองจี๋อิง บนทางหลวงรัฐติง
“แม่นางท่านนั้นไปไหนแล้ว ทำไมไม่เห็นเงานางเลย”
หลังโจมตีทหารหมาป่ากลุ่มเล็กที่บุกเข้าเมืองนั่นจนถอยกลับไป บัณฑิตจาง เหยียนจื่อ และหลิวรุ่ยอิ่งก็พาทุกคนถอนกำลังมุ่งหน้าไปยังหัวเมืองรัฐติงตามคำสั่งของผู้ควบคุมรัฐทัง ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งหาแล้วหาเล่าก็ไม่เห็นเงาร่างของหลี่อวิ้นในฝูงชนจึงอดร้อนใจไม่ได้
“ทำไม เพิ่งเจอครั้งเดียวก็อยากขอผู้อื่นแต่งกลับบ้านแล้วรึ”
บัณฑิตจางพูดหยอกเย้า
“ไม่ ไม่ใช่ ข้าเห็นนางเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง อย่ามีอันตรายอะไรในภาวะสงครามจึงจะดี”
“นางไม่มีทางเป็นอันตรายหรอก แทนที่จะเป็นห่วงคนอื่นไม่สู้คิดถึงตัวเองให้มาก ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดกรมสอบสวนถึงได้ส่งเจ้ามาเป็นผู้แทนพิเศษ ทั้งยังมุ่งหน้ามาเขตสงครามชายแดน”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตจางถึงยืนยันว่าหลี่อวิ้นจะไม่เป็นอันตราย แต่ในเมื่อเขาเป็นคนในเมือง เช่นนั้นเขาก็ต้องรู้จักหลี่อวิ้นดีกว่าตนมากแน่นอน รวมกับวิชายุทธ์อันเลิศล้ำของเขานั้น ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องเชื่อถือคำของเขา
“กระบี่เจ้าคือของตกทอดจากพ่อแม่เจ้าหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เคยพบพวกเขา พอข้าเติบใหญ่แล้วบรรดาใต้เท้าในกรมสอบสวนก็มอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้า บอกว่าเป็นของของพ่อแม่ข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ แม้บางครั้งจะรู้สึกเจ็บปวดกับฐานะเด็กกำพร้าของตนอยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยสัมผัสความอบอุ่นจากพ่อแม่ตอนมีชีวิต จึงไม่อาจพูดถึงความน่าสงสารของการอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้
แต่ไรมาความรู้สึกนี้ล้วนเกิดมาจากการเปรียบเทียบ
ลูกกระเดือกของบัณฑิตจางขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เหยียนจื่อเห็นทุกคนเดินกันจนเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงเรียกให้พักผ่อนตรงสองฝั่งทางหลวงสักครู่ กินอาหารสักหน่อย
คนทั่วไปเดินสามสิบสี่สิบลี้[4]ในวันเดียวก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่อีกร้อยสิบลี้ก็ถึงจุดพักม้าทางการของหัวเมืองรัฐติง ที่นั่นต้องมีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือที่ขุนนางฝ่ายสนับสนุนส่งมาแน่นอน ถึงตอนนั้นคนเหล่านี้จะถูกจัดแบ่งที่ทาง ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีกแล้ว
……………………………………
[1] เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า หมายถึงการตั้งความหวังและเข้มงวดเพราะอยากให้คนคนหนึ่งดีขึ้น
[2] นัดพบบนหอคอย เป็นหนึ่งในฉากจากเรื่องม่านประเพณี วรรณกรรมสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก
[3] เต้นระบำอัญเชิญเทพ พิธีพื้นเมืองที่สืบทอดต่อกันมา มีการเต้น ร้องเพลงและตีกลองไปด้วย
[4] ลี้ เป็นมาตราวัดของจีน มีระยะทางประมาณ 500 เมตร