ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 6 ต่างฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 6 ต่างฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อ

ผู้คนในกระโจมรู้สึกสับสนงุนงงกับเสียงเรียก ‘อาจารย์’ ที่กะทันหันนี้

มีเพียงบัณฑิตจางที่ทำเสียงเย้ยหยัน หันตัวไปเล็กน้อย

หลิวรุ่ยอิ่งนั่งอยู่ริมประตู กำลังพินิจพิจารณารุ่นที่สองแห่งหัวเมืองรัฐติงท่านนี้อย่างละเอียด

ด้านนอกของชุดคลุมตัวยาวสีแดงลายกระเรียนคู่ขอบทอง ยังสวมเกราะหยกม่วงทองคำดำล้ำค่าชุดหนึ่ง ช่วงเอวผูกเข็มขัดกลัดย้อนสองหัวลายเสือหมอบเส้นหนึ่ง ใส่รองเท้าผ้าไหมเดินหิมะประณีตลายห่านป่าเหนือเมฆ แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือเขายังผูกลูกปัดหยกฝังเดือยไม้เซี่ยง (ไม้โอ๊ก) เนื้อทองพวงหนึ่งไว้ด้านบนดาบยาวอันน่ายำเกรงเล่มนั้นด้วย

ในจินตนาการของทังจงซงบางทีใต้เท้าผู้บังคับการที่ทำตัวลึกลับแห่งกรมสอบสวนผู้นั้นก็อาจแต่งกายเช่นนี้ สง่าไม่ธรรมดา มีราศีอย่างยิ่ง

“ท่านอาจารย์ พอออกจากหัวเมืองรัฐติง ศิษย์ตามหาท่านลำบากลำบนเหลือเกิน!”

ทังจงซงไม่ได้สนใจคนข้างๆ ด้วยซ้ำ และเขาไม่เคยมีนิสัยเช่นนี้ หลังจากเดินเข้าไปสองก้าวก็ก้มศีรษะทำความเคารพ

“โอ๊ย!”

หัวเข่าเขายังไม่แตะถึงพื้น หน้าผากก็บวมปูดขึ้น

“ใครกัน ใครกล้าลอบโจมตีข้า!”

“นั่นสิ! ใครมันใจกล้าบ้าบิ่น กล้าลงมือทำร้ายคุณชายทังของพวกเรา!”

เจียงเหิงเจียวไม่รู้ว่าระหว่างคุณชายใหญ่ทังกับบัณฑิตจางสองคนมีอดีตอะไรกัน แต่ทังจงซงอยากโขกศีรษะคำนับอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตจางไม่ยินดี แต่เจ้าอยากคำนับข้าก็ไม่ขวางเจ้า เวลานี้ข้าใช้ตะเกียบเคาะให้เจ้าหนึ่งรอยบวม เช่นนี้ก็ถือว่าเจ้าได้คำนับแล้วแล้วกัน ทั้งยังคำนับอย่างตั้งใจมากด้วย

เจียงเหิงเจียวส่งสัญญาณให้เผียวเจิ้งหง ทั้งสองเดินไปพูดคุยที่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

“โอ๊ะ ท่านนี้ต้องเป็นแม่นางหลี่อวิ้นแน่นอน! ชื่อเสียงของแม่นางข้าน้อยชื่นชมมานาน แต่ด้วยงานราชการยุ่งเหยิงไม่อาจแยกตัว จึงยังไม่เคยได้พบกัน ทว่าข้าส่งคนเตรียมรถไปมอบเทียบให้แม่นางหลายครั้งกลับเหมือนหินจมทะเล เกิดเรื่องอะไรกันเล่า หรือแม่นางไม่พอใจอะไรในการกระทำของข้าน้อย? หากมีสิ่งใดไม่เหมาะล่วงเกินแม่นางจริง หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”

ทังจงซงกุมหน้าผากอยู่พอเงยหน้าเห็นหลี่อวิ้นก็ลืม ‘อาจารย์’ ไปในพริบตา หากไม่มีคำว่า ‘โอ๊ะ’ นั่นอยู่ข้างหน้า คำพูดล้าสมัยนี้ก็จะทั้งเหมาะสมและสุขุม หากให้คนที่ไม่รู้พฤติกรรมของเขาได้ฟัง คงต้องนึกว่านี่คือบัณฑิตปั๋งเหยี่ยน[1]ผู้มาจากครอบครัวบัณฑิตคนหนึ่ง กิริยาสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง

หลี่อวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ชื่อเสียงด้านกามตัณหาของคุณชายทังผู้นี้โดดเด่นในหัวเมืองรัฐติงยิ่งนัก ไม่มีหญิงงามคนใดที่เขาไม่เคยหยอกเย้า แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิต การแต่งกายและรูปลักษณ์ของเขา สตรีที่เคยถูกเย้าหยอกเหล่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็โกรธไม่ลง ได้แต่จนใจยิ้มอย่างไม่ถือสาหาความ

“เจิ้งหง! ข้าหิวแล้ว! แต่ว่า…จะไปรบพวกเราก็กินง่ายๆ หน่อย ไปหาหมั่นโถวขาวมาให้ข้าสองสามลูก แล้วก็หั่นเนื้อวัวสุกมาหน่อยหนึ่ง อาหารผักสี่อย่าง สุราสองกา อ้อ ถ้ามีขาสุนัขตุ๋นเปื่อยยิ่งดี”

เจิ้งหงตอบรับคำหนึ่งและมองไปที่เจียงเหิงเจียวด้วยความลำบากใจ เขาบอกความเป็นไปในครั้งนี้ให้นางฟังแล้ว

‘ในเมื่อตำแหน่งเจ้าใหญ่กว่าข้า ตอนนี้ก็อยู่ในอาณาบริเวณของเจ้าด้วย เจ้าพ่อคุณทูนหัวคนนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้าต้องปรนนิบัติแล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่ใช่นักแสดงปาหี่ จัดโต๊ะพร้อมสุราอาหารให้เจ้าในเวลาชั่วครู่ได้เสียที่ไหน’

“คุณชายทัง ข้าน้อยผู้แทนการตรวจสอบกองสัคคะเนตร กรมสอบสวนกลาง”

เมื่อการแสดงชุดนี้ของทังจงซงจบลงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าตนยังจำเป็นต้องทักทายเขาสักหน่อย อย่างไรก็เป็นบุตรชายของผู้ควบคุมรัฐติง ตนทำงานอยู่ในอาณาเขตของบิดาผู้อื่นอย่างไรก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่บ้างไม่ใช่หรือ

“ผู้แทนการตรวจสอบ? คืออะไร…เจิ้งหง? รัฐติงของเรามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ”

เผียวเจิ้งหงตกใจจนรีบไปกระซิบข้างกายเขา

คุณชายเป็นลูกผู้ลากมากดี ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องทางโลก

แต่ตนไม่อาจแกล้งโง่ได้ หากทำให้กรมสอบสวนไม่พอใจ คนดวงซวยที่ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐจะสืบสาวมาหลังจบเรื่องก็ยังเป็นตนเองไม่ใช่หรือ ต่อให้ทังหมิงมีความชอบธรรมเพียงใดก็ไม่มีทางผลักบุตรชายแท้ๆ ของตนออกไปหรอก

เขาเปลืองแรงไปไม่น้อย ในที่สุดเจ้าพ่อเจ้าประคุณคนนี้ก็เข้าใจประมาณหนึ่งแล้ว ทังจงซงเปลี่ยนดาบมามือซ้าย และตบไหล่ของหลิวรุ่ยอิ่งด้วยมือขวา

“ในเมื่อมาเยือนจากแดนไกลก็ไม่ต้องเกรงใจ เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ต้องการสิ่งใดบอกเขาได้ทุกเมื่อ”

ทังจงซงชี้เผียวเจิ้งหงที่อยู่ข้างกาย

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของทังจงซงกำลังทับซ้อนกับสมุดเล่มเล็กในห่อผ้าเขาช้าๆ ทุกจุดที่เขาแสดงออกมาล้วนลงร่องตามกฎข้อบังคับที่บันทึกไว้บนนั้นอย่างสมบูรณ์

………………………..

กระโจมราชสำนักตะวันตกเฉียงเหนือ

หมิงเย่าหลางอ๋องนั่งอยู่ตำแหน่งประธานอย่างองอาจ

วันนี้เป็นงานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์

อากาศของที่นี่หนาวเหน็บ ทั่วทุกมุมในกระโจมล้วนวางกระถางไฟไว้ เทียบกับที่ว่าการรัฐติง กระโจมของราชสำนักทุ่งหญ้าอันยิ่งใหญ่นี้ซอมซ่อโกโรโกโสกว่ามากอย่างชัดเจน

บนโต๊ะข้างหน้าหมิงเย่ามีเนื้อที่ตุ๋นจนเปื่อยวางอยู่เจ็ดจาน เขาถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง หั่นพลางใส่เข้าปาก

ชาวทุ่งหญ้าเน้นอาหารเนื้อเป็นหลัก ปริมาณการกินก็เยอะมากด้วย

กินเนื้อเก่ง เชี่ยวชาญการดื่มคือสัญลักษณ์ของผู้กล้า แต่เห็นได้ชัดว่าอาศัยหมิงเย่าเพียงคนเดียวไม่อาจกินเนื้อเจ็ดจานนี้หมด

เขาแค่ชอบตัวเลขเจ็ดนี้เฉยๆ

แม้แต่กระโจมราชสำนักของเขายังยาวเจ็ดจั้ง[2] กว้างเจ็ดจั้ง เพดานก็สูงเจ็ดจั้ง

ใต้กระโจมใส่ล้อไว้เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย

ชาวทุ่งหญ้าเลือกอาศัยบริเวณพืชน้ำอุดมสมบูรณ์ หนึ่งปีสี่ฤดูต้องเปลี่ยนสถานที่อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะก่อนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาเยือน ต้องเร่งให้ถึงทุ่งหญ้าที่หน้าหนาวผ่านไปแล้ว ไม่เช่นนั้นวัวกับแกะจะแข็งตาย

พวกเขาเรียกที่แห่งนี้ว่ารังเหมันต์

สำหรับพวกเขาสูญเสียวัวและแกะก็คือสูญเสียทุกอย่าง สูญเสียต้นทุนความอยู่รอดเพียงหนึ่งเดียวในโลกอันกว้างใหญ่นี้

ชาวทุ่งหญ้าถูกเรียกว่าชนร่อนเร่ เนื่องจากตลอดชีวิตของพวกเขาล้วนเร่งเดินทางไปทุกหนแห่ง ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดิ้นรนอยู่ริมขอบของการสูญสิ้นและอยู่รอด เติบโตและแข็งแกร่งในการต่อสู้กับพลังยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ

พวกเขาไม่เชื่อในเทพหรือพระโพธิสัตว์ กราบไหว้เพียงฟ้าดิน ขณะที่พึ่งพาสหายข้างกาย มีดตรงช่วงเอวและหมาป่าใต้หว่างขา พวกเขาก็เคารพบรรพบุรุษและสรรพสิ่งในธรรมชาติทั้งมวลไปด้วย

ตอนชาวทุ่งหญ้าทุกคนเกิดมา พวกเขาจะมีหมาป่าที่ตั้งชื่อด้วยชื่อของตนเองตัวหนึ่ง

เป็นไปได้ทีเดียวว่าเขาก็เกิดอยู่บนหลังพ่อของหมาป่าตัวนี้นี่แหละ ฉะนั้นพ่อจึงตามพ่อ ลูกตามลูก สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น

สิ่งที่ต่างคือพวกเขาไม่ได้ห้าวหาญองอาจอย่างที่คนนอกจินตนาการ ชีวิตเช้าไม่รับประกันเย็นเช่นนี้มักจะทำให้ทุ่งหญ้าทั่วทั้งผืนคลอเคล้าไปด้วยเพลงเศร้า คำร้องช่างเรียบง่าย เล็กน้อยถึงในบ้านมีวัวและแกะตายไปกี่ตัว ใหญ่โตถึงหน่วยข้าสูญเสียทหารกล้าไปกี่นาย ถึงขั้นว่าวันนี้เสียเส้นผมโดยไม่ตั้งใจไปแล้วกี่กลุ่ม

ทุ่งหญ้าขยายจากวัวแกะไม่กี่สิบตัว หมาป่าสิบกว่าตัวในยามแรกสุดจนกลายเป็นขนาดใหญ่เช่นวันนี้ แลกมาด้วยเลือด หยาดเหยื่อและน้ำตาของหลางอ๋องไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

พวกเขาไม่ถนัดการเกษตร ยิ่งไม่เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ด้วยเหตุนี้การปล้นชิงจึงกลายเป็นหนทางสำรองทรัพยากรเพียงหนึ่งเดียว ติ้งซีอ๋องเคยพยายามพูดคุยกับหลางอ๋องเรื่องสร้างท่าเรือติดต่อค้าขายตรงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อให้ใช้วิธีค้าขายดั้งเดิมโดยการแลกสินค้าด้วยสินค้า ก็อาจทำให้สถานการณ์ของชายแดนมั่นคงขึ้นได้

แต่เขาประเมินความอดทนของชาวทุ่งหญ้าสูงเกินไป และประเมินความเหี้ยมโหดของคนฝั่งตนเองต่ำเกินเช่นกัน ในภาวะที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง มันจึงแปรเปลี่ยนเป็นสถานการณ์น้ำกับไฟอยู่ร่วมกันไม่ได้เช่นวันนี้

สงคราม

ทุ่งหญ้าขาดแคลนเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก ฉะนั้นจึงไม่อนุญาตให้เมืองต่างๆ ในเขตชายแดนเปิดโรงงานถลุงเหล็กเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเอาไปใช้ แต่ก็มักจะมีพ่อค้าใจคดบางคนยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน ลอบขนส่งภาชนะเหล็กและเสบียงจากที่ราบภาคกลางออกไปขายให้ทุ่งหญ้า แลกเปลี่ยนกับม้ามีชื่อ หมาป่ารบ แล้วก็มีหญิงงามที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์จากต่างแดนของพวกเขา

“เรียนองค์ราชา แม่ทัพกองกำลังฝ่ายซ้ายขวาอั๋งหราน อั๋งสยงมาถึงกระโจมแล้วขอรับ หน่วยล่าวายุ คืนพงไพร ประจันเพลิง ผ่าคีรีสี่หน่วยสังกัดกองกำลังฝ่ายขวา หน่วยตามตะวัน คำนับดารา โอบอรุณสังกัดกองกำลังฝ่ายซ้ายมากันครบหมดแล้ว”

“หน่วยกลืนจันทราล่ะ”

หมิงเย่าเอ่ยถาม

เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงชายแดนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นอย่างดี

แต่ผู้อยู่เบื้องบนก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่ถามก่อน

“เรียนองค์ราชา ข้าแม่ทัพไม่ทราบ”

“ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนข้าแม่ทัพก็ส่งคนไปบอกเรื่องงานชุมนุมใหญ่ในวันนี้กับหน่วยกลืนจันทราแล้ว แต่จนถึงยามข้าแม่ทัพออกเดินทางมาเยือนราชสำนักก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ดังนั้นข้าแม่ทัพจึงทำได้เพียงนำสามหน่วยที่อยู่ในขณะนี้ออกเดินทาง เพื่อไม่ให้งานชุมนุมของราชาข้าต้องล่าช้า”

เสียงของอั๋งหรานสงบเรียบนิ่ง ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย

“องค์ราชา งานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์เป็นงานสำคัญในงานชุมนุมใหญ่ทั้งสามของทุ่งหญ้าข้า อั๋งหรานหละหลวมในการปกครองกระทั่งหน่วยทั้งหน่วยไม่อาจมาร่วมงานพิธีเซ่นไหว้ดวงจันทร์ตามเวลาเช่นนี้ ข้าแม่ทัพเห็นว่าควรรับโทษสถานหนัก”

อั๋งสยงแม่ทัพกองกำลังฝ่ายขวาเป็นน้องชายแท้ๆ ของอั๋งหราน

ทั้งสองคนชิงดีชิงเด่นกันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายสิบปีแล้ว เป็นเรื่องที่ชาวทุ่งหญ้ารู้กันถ้วนทั่ว หลางอ๋องไม่เคยลงไปไกล่เกลี่ยตรงกลาง ท้ายที่สุดหากขุนพลและขุนนางไม่ต่อสู้กัน บัลลงก์ก็จะไม่มั่นคง ยิ่งพวกเขาสู้กันเองอย่างดุเดือดและยิ่งสู้กันอย่างสนุกสนานมากเพียงใด ตำแหน่งราชานี้ก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น

‘เด็กน้อยเจ้าจงจำไว้ แต่ไรมาพวกเขาต่อสู้ล้วนไม่ใช่ต่อสู้อีกฝ่ายหรือต่อสู้ตนเอง พวกเขาต่างกำลังแย่งเป็นที่โปรดปรานเพราะต้องการอำนาจ ดังนั้นตราบใดที่ให้ความโปรดปรานอย่างมีขอบเขต อำนาจก็อยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นต่อให้พวกเขาทะเลาะกันจนพลิกฟ้าเจ้าก็ไม่ต้องกลัวเกรง’

ตอนหมิงเย่าเป็นเด็ก หลางอ๋องรุ่นก่อนได้พูดประโยคนี้กับเขา

สิ่งอื่นที่เขาสอนหมิงเย่าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว

ก็มีประโยคนี้ หมิงเย่าสลักมันไว้ถึงส่วนลึกของเลือดและกระดูก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปีใหม่หลังจากงานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์ เครื่องใช้เหล็ก เสบียงคนและสัตว์หกส่วนที่ทุ่งหญ้าข้าต้องการ รวมทั้งการกินการใช้ของราชสำนักข้าให้กองกำลังฝ่ายซ้ายรับผิดชอบส่งมอบทั้งหมด เพื่อเป็นการลงโทษ”

หมิงเย่ายังไม่อยากเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับติ้งซีอ๋องชั่วคราว เขาจึงกดดันอั๋งหรานเพียงเล็กน้อย เพราะห้าเมืองเขตชายแดนนั้นช่างเหมาะเป็นทางเชื่อมให้ทุ่งหญ้ารุดหน้าไปที่ราบภาคกลางเหลือเกิน

………………………..

จุดพักม้าทางการ รัฐติง

สุดท้ายเผียวเจิ้งหงก็หาหมั่นโถวขาวกับเนื้อวัวมาให้คุณชายทังไม่ได้ เหล้าขาวสองสามตำลึงซื้อมาจากในมือพวกชาวบ้านที่อพยพในราคาแพง

“ท่านอาจารย์ ตอนแรกท่านรับปากแล้วว่าจะสอนวิทยายุทธ์โจมตีจุดสำคัญชุดนั้นให้ข้า ท่านจากไปโดยไม่รักษาคำพูดได้อย่างไรกัน”

ทังจงซงกินดื่มอิ่มหนำ ใช้แขนเสื้อเช็ดปาก

“ข้าไม่เคยเจอศิษย์ไม่เอาไหนเช่นเจ้า!”

บัณฑิตจางโมโหเอ่ย

“เฮอะๆ ไม่ว่าพูดอย่างไร สุดท้ายแต้มของข้าก็เยอะกว่าท่านไม่ใช่หรือ”

วันนั้นที่บ่อนพนันในหัวเมืองรัฐติง บัณฑิตจางมีไพ่เลขตองในมือ กินเรียบสามคน ทำเอาคนในบ่อนโกรธจนตาแดงเริ่มลงไม้ลงมือ คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจะถูกไพ่เก๊า (ไพ่โดมิโน) ที่บัณฑิตจางคีบด้วยสองนิ้วทิ่มเบาๆ ก็หงายหลังล้มลงกันหมดจนลุกไม่ขึ้น

บังเอิญคุณชายทังของเราที่เพิ่งฟื้นจากเมาสุราเมื่อคืนเห็นฉากนี้เข้าพอดี

ทังจงซงคะยั้นคะยออยากคารวะอาจารย์เรียนวิชา สุดท้ายบัณฑิตจางขัดเขาไม่ได้ ทั้งสองตกลงตัดสินด้วยการเล่นพนัน

กติกานั้นง่ายมาก แข่งแต้มลูกเต๋าสามลูก ผู้ใดแต้มเยอะและแกร่งกว่าก็ทำตามผู้นั้น

ทั้งสองคนล้วนเป็นมือฉมังแห่งบ่อนพนัน แน่นอนว่าเป็นแต้มหกทั้งสาม เลขตอง เสมอกัน!

บัณฑิตจางหวั่นใจอยู่บ้าง คิดว่าวันนี้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะปลีกตัวออกไปได้ ใครจะคิดว่าคุณชายทังผู้นี้คว้าลูกเต๋าลูกหนึ่งของฝั่งบัณฑิตจางขึ้นมาแล้วกลืนลงท้อง ยังพูดด้วยรอยยิ้มแป้นอีกว่าตนชนะแล้ว

เมื่อบัณฑิตจางเห็นว่าหมดหนทาง จึงได้แต่ตกปากรับคำไปก่อน คุณชายทังดีใจยิ่ง เขาพาบัณฑิตจางมายังส่วนในของที่ว่าการรัฐติง บอกทำนองว่าวันรุ่งขึ้นจะมีงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับแขกและจัดพิธีคารวะอาจารย์ในคราวเดียว ผลคือถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนทังจงซงมาเคาะประตูทักทายอาจารย์เขากลับพบว่าในห้องว่างเปล่าเสียแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าทังจงซงเป็นคนจริงใจที่สุดที่ตนได้สัมผัสในหลายวันนี้

บัณฑิตจางสุขุมด้วยผ่านโลกมามาก ประสบการณ์เยอะทีเดียว เหยียนจื่อพูดไม่ค่อยเก่ง ลึกลับเกินไป แม้บอกว่าหลี่อวิ้นไม่มีความผิดปกติอะไร แต่ก็ออกจะเป็นมิตรกับตนเกินไปหน่อย ทำให้เขารู้สึกไม่ชิน มีก็แต่คุณชายทังผู้นี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าผ่อนคลายสบายๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง

………………………………….

[1] บัณฑิตปั๋งเหยี่ยน ผู้ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับสองในรอบการสอบจิ้นซื่อ อันดับหนึ่งคือจ้วงหยวน หรือจอหงวน

[2] จั้ง หน่วยวัดความยาวจีน ความยาวประมาณ 3.33 เมตร

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท