บทที่ 6 ต่างฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อ
ผู้คนในกระโจมรู้สึกสับสนงุนงงกับเสียงเรียก ‘อาจารย์’ ที่กะทันหันนี้
มีเพียงบัณฑิตจางที่ทำเสียงเย้ยหยัน หันตัวไปเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งอยู่ริมประตู กำลังพินิจพิจารณารุ่นที่สองแห่งหัวเมืองรัฐติงท่านนี้อย่างละเอียด
ด้านนอกของชุดคลุมตัวยาวสีแดงลายกระเรียนคู่ขอบทอง ยังสวมเกราะหยกม่วงทองคำดำล้ำค่าชุดหนึ่ง ช่วงเอวผูกเข็มขัดกลัดย้อนสองหัวลายเสือหมอบเส้นหนึ่ง ใส่รองเท้าผ้าไหมเดินหิมะประณีตลายห่านป่าเหนือเมฆ แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือเขายังผูกลูกปัดหยกฝังเดือยไม้เซี่ยง (ไม้โอ๊ก) เนื้อทองพวงหนึ่งไว้ด้านบนดาบยาวอันน่ายำเกรงเล่มนั้นด้วย
ในจินตนาการของทังจงซงบางทีใต้เท้าผู้บังคับการที่ทำตัวลึกลับแห่งกรมสอบสวนผู้นั้นก็อาจแต่งกายเช่นนี้ สง่าไม่ธรรมดา มีราศีอย่างยิ่ง
“ท่านอาจารย์ พอออกจากหัวเมืองรัฐติง ศิษย์ตามหาท่านลำบากลำบนเหลือเกิน!”
ทังจงซงไม่ได้สนใจคนข้างๆ ด้วยซ้ำ และเขาไม่เคยมีนิสัยเช่นนี้ หลังจากเดินเข้าไปสองก้าวก็ก้มศีรษะทำความเคารพ
“โอ๊ย!”
หัวเข่าเขายังไม่แตะถึงพื้น หน้าผากก็บวมปูดขึ้น
“ใครกัน ใครกล้าลอบโจมตีข้า!”
“นั่นสิ! ใครมันใจกล้าบ้าบิ่น กล้าลงมือทำร้ายคุณชายทังของพวกเรา!”
เจียงเหิงเจียวไม่รู้ว่าระหว่างคุณชายใหญ่ทังกับบัณฑิตจางสองคนมีอดีตอะไรกัน แต่ทังจงซงอยากโขกศีรษะคำนับอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตจางไม่ยินดี แต่เจ้าอยากคำนับข้าก็ไม่ขวางเจ้า เวลานี้ข้าใช้ตะเกียบเคาะให้เจ้าหนึ่งรอยบวม เช่นนี้ก็ถือว่าเจ้าได้คำนับแล้วแล้วกัน ทั้งยังคำนับอย่างตั้งใจมากด้วย
เจียงเหิงเจียวส่งสัญญาณให้เผียวเจิ้งหง ทั้งสองเดินไปพูดคุยที่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“โอ๊ะ ท่านนี้ต้องเป็นแม่นางหลี่อวิ้นแน่นอน! ชื่อเสียงของแม่นางข้าน้อยชื่นชมมานาน แต่ด้วยงานราชการยุ่งเหยิงไม่อาจแยกตัว จึงยังไม่เคยได้พบกัน ทว่าข้าส่งคนเตรียมรถไปมอบเทียบให้แม่นางหลายครั้งกลับเหมือนหินจมทะเล เกิดเรื่องอะไรกันเล่า หรือแม่นางไม่พอใจอะไรในการกระทำของข้าน้อย? หากมีสิ่งใดไม่เหมาะล่วงเกินแม่นางจริง หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”
ทังจงซงกุมหน้าผากอยู่พอเงยหน้าเห็นหลี่อวิ้นก็ลืม ‘อาจารย์’ ไปในพริบตา หากไม่มีคำว่า ‘โอ๊ะ’ นั่นอยู่ข้างหน้า คำพูดล้าสมัยนี้ก็จะทั้งเหมาะสมและสุขุม หากให้คนที่ไม่รู้พฤติกรรมของเขาได้ฟัง คงต้องนึกว่านี่คือบัณฑิตปั๋งเหยี่ยน[1]ผู้มาจากครอบครัวบัณฑิตคนหนึ่ง กิริยาสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง
หลี่อวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ชื่อเสียงด้านกามตัณหาของคุณชายทังผู้นี้โดดเด่นในหัวเมืองรัฐติงยิ่งนัก ไม่มีหญิงงามคนใดที่เขาไม่เคยหยอกเย้า แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิต การแต่งกายและรูปลักษณ์ของเขา สตรีที่เคยถูกเย้าหยอกเหล่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็โกรธไม่ลง ได้แต่จนใจยิ้มอย่างไม่ถือสาหาความ
“เจิ้งหง! ข้าหิวแล้ว! แต่ว่า…จะไปรบพวกเราก็กินง่ายๆ หน่อย ไปหาหมั่นโถวขาวมาให้ข้าสองสามลูก แล้วก็หั่นเนื้อวัวสุกมาหน่อยหนึ่ง อาหารผักสี่อย่าง สุราสองกา อ้อ ถ้ามีขาสุนัขตุ๋นเปื่อยยิ่งดี”
เจิ้งหงตอบรับคำหนึ่งและมองไปที่เจียงเหิงเจียวด้วยความลำบากใจ เขาบอกความเป็นไปในครั้งนี้ให้นางฟังแล้ว
‘ในเมื่อตำแหน่งเจ้าใหญ่กว่าข้า ตอนนี้ก็อยู่ในอาณาบริเวณของเจ้าด้วย เจ้าพ่อคุณทูนหัวคนนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้าต้องปรนนิบัติแล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่ใช่นักแสดงปาหี่ จัดโต๊ะพร้อมสุราอาหารให้เจ้าในเวลาชั่วครู่ได้เสียที่ไหน’
“คุณชายทัง ข้าน้อยผู้แทนการตรวจสอบกองสัคคะเนตร กรมสอบสวนกลาง”
เมื่อการแสดงชุดนี้ของทังจงซงจบลงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าตนยังจำเป็นต้องทักทายเขาสักหน่อย อย่างไรก็เป็นบุตรชายของผู้ควบคุมรัฐติง ตนทำงานอยู่ในอาณาเขตของบิดาผู้อื่นอย่างไรก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่บ้างไม่ใช่หรือ
“ผู้แทนการตรวจสอบ? คืออะไร…เจิ้งหง? รัฐติงของเรามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ”
เผียวเจิ้งหงตกใจจนรีบไปกระซิบข้างกายเขา
คุณชายเป็นลูกผู้ลากมากดี ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องทางโลก
แต่ตนไม่อาจแกล้งโง่ได้ หากทำให้กรมสอบสวนไม่พอใจ คนดวงซวยที่ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐจะสืบสาวมาหลังจบเรื่องก็ยังเป็นตนเองไม่ใช่หรือ ต่อให้ทังหมิงมีความชอบธรรมเพียงใดก็ไม่มีทางผลักบุตรชายแท้ๆ ของตนออกไปหรอก
เขาเปลืองแรงไปไม่น้อย ในที่สุดเจ้าพ่อเจ้าประคุณคนนี้ก็เข้าใจประมาณหนึ่งแล้ว ทังจงซงเปลี่ยนดาบมามือซ้าย และตบไหล่ของหลิวรุ่ยอิ่งด้วยมือขวา
“ในเมื่อมาเยือนจากแดนไกลก็ไม่ต้องเกรงใจ เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ต้องการสิ่งใดบอกเขาได้ทุกเมื่อ”
ทังจงซงชี้เผียวเจิ้งหงที่อยู่ข้างกาย
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของทังจงซงกำลังทับซ้อนกับสมุดเล่มเล็กในห่อผ้าเขาช้าๆ ทุกจุดที่เขาแสดงออกมาล้วนลงร่องตามกฎข้อบังคับที่บันทึกไว้บนนั้นอย่างสมบูรณ์
………………………..
กระโจมราชสำนักตะวันตกเฉียงเหนือ
หมิงเย่าหลางอ๋องนั่งอยู่ตำแหน่งประธานอย่างองอาจ
วันนี้เป็นงานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์
อากาศของที่นี่หนาวเหน็บ ทั่วทุกมุมในกระโจมล้วนวางกระถางไฟไว้ เทียบกับที่ว่าการรัฐติง กระโจมของราชสำนักทุ่งหญ้าอันยิ่งใหญ่นี้ซอมซ่อโกโรโกโสกว่ามากอย่างชัดเจน
บนโต๊ะข้างหน้าหมิงเย่ามีเนื้อที่ตุ๋นจนเปื่อยวางอยู่เจ็ดจาน เขาถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง หั่นพลางใส่เข้าปาก
ชาวทุ่งหญ้าเน้นอาหารเนื้อเป็นหลัก ปริมาณการกินก็เยอะมากด้วย
กินเนื้อเก่ง เชี่ยวชาญการดื่มคือสัญลักษณ์ของผู้กล้า แต่เห็นได้ชัดว่าอาศัยหมิงเย่าเพียงคนเดียวไม่อาจกินเนื้อเจ็ดจานนี้หมด
เขาแค่ชอบตัวเลขเจ็ดนี้เฉยๆ
แม้แต่กระโจมราชสำนักของเขายังยาวเจ็ดจั้ง[2] กว้างเจ็ดจั้ง เพดานก็สูงเจ็ดจั้ง
ใต้กระโจมใส่ล้อไว้เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย
ชาวทุ่งหญ้าเลือกอาศัยบริเวณพืชน้ำอุดมสมบูรณ์ หนึ่งปีสี่ฤดูต้องเปลี่ยนสถานที่อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะก่อนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาเยือน ต้องเร่งให้ถึงทุ่งหญ้าที่หน้าหนาวผ่านไปแล้ว ไม่เช่นนั้นวัวกับแกะจะแข็งตาย
พวกเขาเรียกที่แห่งนี้ว่ารังเหมันต์
สำหรับพวกเขาสูญเสียวัวและแกะก็คือสูญเสียทุกอย่าง สูญเสียต้นทุนความอยู่รอดเพียงหนึ่งเดียวในโลกอันกว้างใหญ่นี้
ชาวทุ่งหญ้าถูกเรียกว่าชนร่อนเร่ เนื่องจากตลอดชีวิตของพวกเขาล้วนเร่งเดินทางไปทุกหนแห่ง ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดิ้นรนอยู่ริมขอบของการสูญสิ้นและอยู่รอด เติบโตและแข็งแกร่งในการต่อสู้กับพลังยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ
พวกเขาไม่เชื่อในเทพหรือพระโพธิสัตว์ กราบไหว้เพียงฟ้าดิน ขณะที่พึ่งพาสหายข้างกาย มีดตรงช่วงเอวและหมาป่าใต้หว่างขา พวกเขาก็เคารพบรรพบุรุษและสรรพสิ่งในธรรมชาติทั้งมวลไปด้วย
ตอนชาวทุ่งหญ้าทุกคนเกิดมา พวกเขาจะมีหมาป่าที่ตั้งชื่อด้วยชื่อของตนเองตัวหนึ่ง
เป็นไปได้ทีเดียวว่าเขาก็เกิดอยู่บนหลังพ่อของหมาป่าตัวนี้นี่แหละ ฉะนั้นพ่อจึงตามพ่อ ลูกตามลูก สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
สิ่งที่ต่างคือพวกเขาไม่ได้ห้าวหาญองอาจอย่างที่คนนอกจินตนาการ ชีวิตเช้าไม่รับประกันเย็นเช่นนี้มักจะทำให้ทุ่งหญ้าทั่วทั้งผืนคลอเคล้าไปด้วยเพลงเศร้า คำร้องช่างเรียบง่าย เล็กน้อยถึงในบ้านมีวัวและแกะตายไปกี่ตัว ใหญ่โตถึงหน่วยข้าสูญเสียทหารกล้าไปกี่นาย ถึงขั้นว่าวันนี้เสียเส้นผมโดยไม่ตั้งใจไปแล้วกี่กลุ่ม
ทุ่งหญ้าขยายจากวัวแกะไม่กี่สิบตัว หมาป่าสิบกว่าตัวในยามแรกสุดจนกลายเป็นขนาดใหญ่เช่นวันนี้ แลกมาด้วยเลือด หยาดเหยื่อและน้ำตาของหลางอ๋องไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
พวกเขาไม่ถนัดการเกษตร ยิ่งไม่เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ด้วยเหตุนี้การปล้นชิงจึงกลายเป็นหนทางสำรองทรัพยากรเพียงหนึ่งเดียว ติ้งซีอ๋องเคยพยายามพูดคุยกับหลางอ๋องเรื่องสร้างท่าเรือติดต่อค้าขายตรงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อให้ใช้วิธีค้าขายดั้งเดิมโดยการแลกสินค้าด้วยสินค้า ก็อาจทำให้สถานการณ์ของชายแดนมั่นคงขึ้นได้
แต่เขาประเมินความอดทนของชาวทุ่งหญ้าสูงเกินไป และประเมินความเหี้ยมโหดของคนฝั่งตนเองต่ำเกินเช่นกัน ในภาวะที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง มันจึงแปรเปลี่ยนเป็นสถานการณ์น้ำกับไฟอยู่ร่วมกันไม่ได้เช่นวันนี้
สงคราม
ทุ่งหญ้าขาดแคลนเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก ฉะนั้นจึงไม่อนุญาตให้เมืองต่างๆ ในเขตชายแดนเปิดโรงงานถลุงเหล็กเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเอาไปใช้ แต่ก็มักจะมีพ่อค้าใจคดบางคนยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน ลอบขนส่งภาชนะเหล็กและเสบียงจากที่ราบภาคกลางออกไปขายให้ทุ่งหญ้า แลกเปลี่ยนกับม้ามีชื่อ หมาป่ารบ แล้วก็มีหญิงงามที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์จากต่างแดนของพวกเขา
“เรียนองค์ราชา แม่ทัพกองกำลังฝ่ายซ้ายขวาอั๋งหราน อั๋งสยงมาถึงกระโจมแล้วขอรับ หน่วยล่าวายุ คืนพงไพร ประจันเพลิง ผ่าคีรีสี่หน่วยสังกัดกองกำลังฝ่ายขวา หน่วยตามตะวัน คำนับดารา โอบอรุณสังกัดกองกำลังฝ่ายซ้ายมากันครบหมดแล้ว”
“หน่วยกลืนจันทราล่ะ”
หมิงเย่าเอ่ยถาม
เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงชายแดนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นอย่างดี
แต่ผู้อยู่เบื้องบนก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่ถามก่อน
“เรียนองค์ราชา ข้าแม่ทัพไม่ทราบ”
“ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนข้าแม่ทัพก็ส่งคนไปบอกเรื่องงานชุมนุมใหญ่ในวันนี้กับหน่วยกลืนจันทราแล้ว แต่จนถึงยามข้าแม่ทัพออกเดินทางมาเยือนราชสำนักก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ดังนั้นข้าแม่ทัพจึงทำได้เพียงนำสามหน่วยที่อยู่ในขณะนี้ออกเดินทาง เพื่อไม่ให้งานชุมนุมของราชาข้าต้องล่าช้า”
เสียงของอั๋งหรานสงบเรียบนิ่ง ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย
“องค์ราชา งานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์เป็นงานสำคัญในงานชุมนุมใหญ่ทั้งสามของทุ่งหญ้าข้า อั๋งหรานหละหลวมในการปกครองกระทั่งหน่วยทั้งหน่วยไม่อาจมาร่วมงานพิธีเซ่นไหว้ดวงจันทร์ตามเวลาเช่นนี้ ข้าแม่ทัพเห็นว่าควรรับโทษสถานหนัก”
อั๋งสยงแม่ทัพกองกำลังฝ่ายขวาเป็นน้องชายแท้ๆ ของอั๋งหราน
ทั้งสองคนชิงดีชิงเด่นกันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายสิบปีแล้ว เป็นเรื่องที่ชาวทุ่งหญ้ารู้กันถ้วนทั่ว หลางอ๋องไม่เคยลงไปไกล่เกลี่ยตรงกลาง ท้ายที่สุดหากขุนพลและขุนนางไม่ต่อสู้กัน บัลลงก์ก็จะไม่มั่นคง ยิ่งพวกเขาสู้กันเองอย่างดุเดือดและยิ่งสู้กันอย่างสนุกสนานมากเพียงใด ตำแหน่งราชานี้ก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น
‘เด็กน้อยเจ้าจงจำไว้ แต่ไรมาพวกเขาต่อสู้ล้วนไม่ใช่ต่อสู้อีกฝ่ายหรือต่อสู้ตนเอง พวกเขาต่างกำลังแย่งเป็นที่โปรดปรานเพราะต้องการอำนาจ ดังนั้นตราบใดที่ให้ความโปรดปรานอย่างมีขอบเขต อำนาจก็อยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นต่อให้พวกเขาทะเลาะกันจนพลิกฟ้าเจ้าก็ไม่ต้องกลัวเกรง’
ตอนหมิงเย่าเป็นเด็ก หลางอ๋องรุ่นก่อนได้พูดประโยคนี้กับเขา
สิ่งอื่นที่เขาสอนหมิงเย่าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว
ก็มีประโยคนี้ หมิงเย่าสลักมันไว้ถึงส่วนลึกของเลือดและกระดูก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปีใหม่หลังจากงานชุมนุมเซ่นไหว้ดวงจันทร์ เครื่องใช้เหล็ก เสบียงคนและสัตว์หกส่วนที่ทุ่งหญ้าข้าต้องการ รวมทั้งการกินการใช้ของราชสำนักข้าให้กองกำลังฝ่ายซ้ายรับผิดชอบส่งมอบทั้งหมด เพื่อเป็นการลงโทษ”
หมิงเย่ายังไม่อยากเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับติ้งซีอ๋องชั่วคราว เขาจึงกดดันอั๋งหรานเพียงเล็กน้อย เพราะห้าเมืองเขตชายแดนนั้นช่างเหมาะเป็นทางเชื่อมให้ทุ่งหญ้ารุดหน้าไปที่ราบภาคกลางเหลือเกิน
………………………..
จุดพักม้าทางการ รัฐติง
สุดท้ายเผียวเจิ้งหงก็หาหมั่นโถวขาวกับเนื้อวัวมาให้คุณชายทังไม่ได้ เหล้าขาวสองสามตำลึงซื้อมาจากในมือพวกชาวบ้านที่อพยพในราคาแพง
“ท่านอาจารย์ ตอนแรกท่านรับปากแล้วว่าจะสอนวิทยายุทธ์โจมตีจุดสำคัญชุดนั้นให้ข้า ท่านจากไปโดยไม่รักษาคำพูดได้อย่างไรกัน”
ทังจงซงกินดื่มอิ่มหนำ ใช้แขนเสื้อเช็ดปาก
“ข้าไม่เคยเจอศิษย์ไม่เอาไหนเช่นเจ้า!”
บัณฑิตจางโมโหเอ่ย
“เฮอะๆ ไม่ว่าพูดอย่างไร สุดท้ายแต้มของข้าก็เยอะกว่าท่านไม่ใช่หรือ”
วันนั้นที่บ่อนพนันในหัวเมืองรัฐติง บัณฑิตจางมีไพ่เลขตองในมือ กินเรียบสามคน ทำเอาคนในบ่อนโกรธจนตาแดงเริ่มลงไม้ลงมือ คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจะถูกไพ่เก๊า (ไพ่โดมิโน) ที่บัณฑิตจางคีบด้วยสองนิ้วทิ่มเบาๆ ก็หงายหลังล้มลงกันหมดจนลุกไม่ขึ้น
บังเอิญคุณชายทังของเราที่เพิ่งฟื้นจากเมาสุราเมื่อคืนเห็นฉากนี้เข้าพอดี
ทังจงซงคะยั้นคะยออยากคารวะอาจารย์เรียนวิชา สุดท้ายบัณฑิตจางขัดเขาไม่ได้ ทั้งสองตกลงตัดสินด้วยการเล่นพนัน
กติกานั้นง่ายมาก แข่งแต้มลูกเต๋าสามลูก ผู้ใดแต้มเยอะและแกร่งกว่าก็ทำตามผู้นั้น
ทั้งสองคนล้วนเป็นมือฉมังแห่งบ่อนพนัน แน่นอนว่าเป็นแต้มหกทั้งสาม เลขตอง เสมอกัน!
บัณฑิตจางหวั่นใจอยู่บ้าง คิดว่าวันนี้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะปลีกตัวออกไปได้ ใครจะคิดว่าคุณชายทังผู้นี้คว้าลูกเต๋าลูกหนึ่งของฝั่งบัณฑิตจางขึ้นมาแล้วกลืนลงท้อง ยังพูดด้วยรอยยิ้มแป้นอีกว่าตนชนะแล้ว
เมื่อบัณฑิตจางเห็นว่าหมดหนทาง จึงได้แต่ตกปากรับคำไปก่อน คุณชายทังดีใจยิ่ง เขาพาบัณฑิตจางมายังส่วนในของที่ว่าการรัฐติง บอกทำนองว่าวันรุ่งขึ้นจะมีงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับแขกและจัดพิธีคารวะอาจารย์ในคราวเดียว ผลคือถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนทังจงซงมาเคาะประตูทักทายอาจารย์เขากลับพบว่าในห้องว่างเปล่าเสียแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าทังจงซงเป็นคนจริงใจที่สุดที่ตนได้สัมผัสในหลายวันนี้
บัณฑิตจางสุขุมด้วยผ่านโลกมามาก ประสบการณ์เยอะทีเดียว เหยียนจื่อพูดไม่ค่อยเก่ง ลึกลับเกินไป แม้บอกว่าหลี่อวิ้นไม่มีความผิดปกติอะไร แต่ก็ออกจะเป็นมิตรกับตนเกินไปหน่อย ทำให้เขารู้สึกไม่ชิน มีก็แต่คุณชายทังผู้นี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าผ่อนคลายสบายๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง
………………………………….
[1] บัณฑิตปั๋งเหยี่ยน ผู้ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับสองในรอบการสอบจิ้นซื่อ อันดับหนึ่งคือจ้วงหยวน หรือจอหงวน
[2] จั้ง หน่วยวัดความยาวจีน ความยาวประมาณ 3.33 เมตร