ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 11 รวมตัวในรัฐติง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 11 รวมตัวในรัฐติง-1

“วิถีกระบี่นับพันปี ข้านี้เป็นเจ้าผู้ครองรัฐ

แสงบดบังตะวันจันทรา ฤทธิ์เดชาทะลวงหมู่ดาว

เพียรฝึกกระบี่แสงเย็นปักดวงดารา ตะวันลาจันทร์คลอนสะท้านอัสนี

โทษว่ากายหยาบนี้ย่อมมีวันดับสูญ วันใดหนอทลายฟ้าข้ามสู่ฝั่งเซียน…”

หลายปีมานี้ ฮั่ววั่งไร้ญาติขาดมิตร

ตอนยังไม่ได้เป็นติ้งซีอ๋อง เขารู้ว่ายามเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อสตรีเพียงคนเดียวนางก็ไม่ไยดีเจ้าปานนั้นแล้ว เมื่อเจ้าคีบดอกไม้สะกิดใบหญ้า[1]ไม่หยุดหย่อนนางก็หันกลับมาหึงหวงเจ้าอีกครั้ง

ฮั่ววั่งรู้ดีว่าเขาเป็นคนที่ยืนอยู่ขอบหน้าผา ลำพังรักษาความสมดุลก็ใช้พลังทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นยังจะไปรักใครได้อย่างไร

หากเลือกได้อีกครั้ง เขาไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าเมาสุราค่อนชีวิต ถือทวนทองขี่อาชาเหล็ก[2]แม้แต่น้อย เหมือนคนธรรมดาที่แต่งงานมีบุตร เกิดแก่เจ็บตายคนหนึ่ง

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่แต่งงานกับคนที่ข้ารักสุดหัวใจแน่นอน เช่นนั้นชั่วชีวิตข้าคงเหนื่อยมาก ข้าจะแต่งกับคนหน้าตาไม่อัปลักษณ์ พูดจาน่าฟังและรักข้าอย่างยิ่ง เช่นนี้จนถึงก่อนตายข้าก็อาจรักนางมาก จากนั้นก็สามารถกุมมือนางแล้วบอกนางว่าข้านำไปก่อนก้าวหนึ่ง”

แต่ค่ำคืนยาวนานเพียงใดสุดท้ายก็ฟ้าสาง คนเดินไปไกลเพียงใดช้าเร็วก็ต้องกลับบ้าน

………………………..

รัฐติง เมืองจี๋อิง กองบัญชาการทัพกลาง

หลิวรุ่ยอิ่งได้รายงานลับจากกรมสอบสวน

ยอดฝีมือแห่งยุทธภพผู้อยู่ในการควบคุมของกองสัคคะเนตรและกองสัคคะกรรณมากมายเริ่มออกเดินทางมายังรัฐติงแล้ว อยากจะลองวัดฝีมือกับมือกระบี่ผู้ลึกลับนั่นสักหน่อย

พวกเขาอาจไม่สนใจชื่อของตนเอง แล้วก็อาจสละผลประโยชน์มากมายได้

แต่พวกเขากลับไม่อาจเมินเฉยกระบี่ในมือ ไม่อาจสละชื่อของกระบี่เล่มนี้ได้

………………………..

ในจุดพักม้าทางการ รัฐติง

หลี่อวิ้นกำลังอ่านการบรรยายถึงมือกระบี่ลึกลับในมหัพภาคติ้งซี มือทั้งสองสั่นเทาเล็กน้อย

นางคิดไม่ตกว่าใครกันที่สามารถหลบพ้นการรับรู้ของตนและบันทึกทุกอย่างได้อย่างไร้สุ้มเสียง

นางเคยสงสัยหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ไม่นานก็ปัดตก

อย่างแรก หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มีวรยุทธ์เลิศล้ำขนาดนั้น

อย่างที่สอง คนคนหนึ่งอาจแสร้งไม่เป็นวรยุทธ์ได้ แล้วก็อาจแสร้งมีวรยุทธ์สูงส่งได้ แต่เหมือนว่าคนไม่มีความสามารถอะไรอย่างหลิวรุ่ยอิ่งจะเสแสร้งไม่เป็น

อย่างที่สาม เป็นเพราะฐานะของเขา

กรมสอบสวนไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ติ้งซีครึกครื้นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าก็ยังเป็นคนมีจิตใจอยากให้ใต้หล้าปลอดภัย แม้อยากจัดการติ้งซีอ๋องก็ไม่มีทางเลือกยามทหารหมาป่ารุกรานพรมแดนแล้วลากประชาชนผู้บริสุทธิ์มาเจอหายนะไปด้วย

“ฐานะของหลิวรุ่ยอิ่งต้องไม่ใช่แค่ผู้แทนการตรวจสอบทั่วไปแน่ ไม่เช่นนั้นเขาจะถือครองกระบี่หุบเหวดาราได้อย่างไร อีกอย่างเขาดูเหมือนไม่รู้ประวัติของกระบี่ในมือเลย รู้เพียงเป็นของตกทอดจากพ่อแม่ แล้วพ่อแม่ของเขาเป็นใครกัน จะว่าไปฉิงจงอ๋องก็สกุลหลิว…”

แต่สิ่งที่ทำให้หลี่อวิ้นยิ่งกังวลคือผู้อยู่เบื้องหลังมหัพภาคติ้งซีพุ่งเป้ามาที่ตนหรือพุ่งมาที่กระบี่เล่มนี้ของตนกันแน่ล่ะ

แม้กระบี่เล่มนี้ของหลี่อวิ้นไร้ฝัก แล้วก็ดูเก่าเล็กน้อย แต่ยังคงยากจะปกปิดพลังมหาศาลซึ่งแฝงอยู่ในนั้นเอาไว้ได้

ประหนึ่งมหาสมุทรอันไพศาลกว้างใหญ่ ปราณเงียบสงบลึกล้ำจู่โจมเข้ามาราวคลื่นเป็นชั้นๆ หากมันพบคนจิตใจไม่มั่นคง ลำพังแค่พลังที่แผ่จากกระบี่นี้ก็เพียงพอให้คนผู้นั้นหลงผิดได้

นางแกะผ้าพันตรงส่วนด้ามกระบี่ออกทีละนิด ลูบอักษร ‘กระบี่ดารา’ สองคำที่สลักไว้บนนั้นด้วยนิ้วชี้ และถอนหายใจลึกยาว

ฉับพลันนั้น หลี่อวิ้นคล้ายนึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบพันด้ามกระบี่ให้เรียบร้อยแล้วเร่งรุดออกจากกระโจม

“จุดลมปราณอยู่บน ‘เส้นลมปราณ’ และเส้นลมปราณ ‘สามัญ’ ของอวัยวะภายในร่างกายคนมีสิบสองเส้น นอกจากนั้น กลางลำตัวด้านหน้ามี ‘เส้นเริ่น[3]’ กลางลำตัวด้านหลังมี ‘เส้นตู[4]’ ทั้งสองด้านต่างมีเส้นลมปราณพิเศษเชื่อมโยงทั่วกาย ทั้งหมดจึงมีสิบสี่เส้นลมปราณ จุดลมปราณในร่างกายที่เรียงบนเส้นลมปราณบังเอิญเหมือนจำนวนวันในหนึ่งปี รวมแล้วมีสามร้อยหกสิบห้าจุด”

“อาจารย์ จุดลมปราณสามร้อยหกสิบห้าจุดนี้ใช้เหมือนกันหมดเลยหรือ มีแบ่งขั้นสูงต่ำหรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าจุดไหนบ้างเป็นจุดตายในตำนาน”

วันนี้ทังจงซงตื่นเช้ามาฟังบัณฑิตจางบรรยายพื้นฐานจุดลมปราณเป็นครั้งแรก เขาย้ายตั่งไม้มานั่งในกระโจม ท่าทางน่าเอ็นดู

“จุดตาย ตามหลักแล้วไม่มี แต่ในจุดรวมเส้นโลหิตมีอยู่สี่ประเภทที่เป็นจุดสำคัญจริง อ่อนแรง หน้ามืด หนักและเบา สี่อย่างนี้ล้วนมีเก้าจุด รวมเป็นสามสิบหกจุดถึงตาย จึงมักถูกใช้เป็น ‘อาวุธสังหาร’ ระหว่างต่อสู้เดิมพันชีวิต”

ตอนทังจงซงจะยิงคำถามอีกครั้ง หลี่อวิ้นเลิกม่านประตูเดินเข้ามา ยังไม่รอเขาเอ่ยคำหยอกเย้าก็ถูกบัณฑิตจางโยนออกไปทั้งคนทั้งเก้าอี้

“มาหาข้ามีเรื่องอะไร”

บัณฑิตจางรู้ว่าหลี่อวิ้นไม่มีทางมาถึงที่โดยไร้สาเหตุ

“ท่านเป็นใครกันแน่”

“รู้จักกระบี่ดาราได้อย่างไร”

หลี่อวิ้นลดเสียงเอ่ยถาม

บัณฑิตจางแทบไม่แปลกใจกับคำถามนี้เลย เขาเป่าฟองในจอกชาไปพลางตอบอย่างเรียบเฉย “เจ้าก็รู้จักไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าเป็นใคร”

“ฐานเมฆาทะเลบูรพา”

หลี่อวิ้นเอ่ยต่อทันที ไม่ทิ้งช่วงตรงกลางแม้แต่น้อย

“จำตอนหลิวรุ่ยอิ่งเจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งมาถึงเมืองจี๋อิงได้หรือไม่ ทุกคนถามข้าว่าคนแต่ละที่มีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง”

บัณฑิตจางยิ้ม

“จำได้ ท่านบอกคนในเขตปกครองอันตงอ๋องบนกายล้วนมีกลิ่นคาวของน้ำทะเล ดังนั้นประโยคนี้ก็แอบบอกเป็นนัยว่าท่านรู้ฐานะของข้าแล้วงั้นหรือ”

“ไม่ๆ นั่นคือคนทั่วไป บนตัวเจ้าไม่มีส่วนใดที่จะเป็นลักษณะเฉพาะนั้นได้เลย หากต้องพูดละก็ นั่นคงเป็นงดงามกระมัง”

หลี่อวิ้นยิ้ม

ขอเพียงเป็นสตรี ก็ไม่มีผู้ใดไม่ชอบถูกชมว่างดงาม

ไม่ว่าเป็นหนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาชมหรือว่าตาเฒ่าตรงหน้านี้ชม ผลลัพธ์ล้วนไม่ต่างกัน ได้ยินในหูแล้วรู้สึกเบิกบานอยู่พอควรทั้งสิ้น

“มาแผ่นดินใหญ่ทำไม”

บัณฑิตจางพลันเปลี่ยนหัวข้อ

“เดินเล่น เวียนไปทั่ว ดูโน่นดูนี่”

“เช่นนั้นเจ้าเลือกที่กำบังได้ดีทีเดียว ฐานะหญิงหอนางโลมมีโอกาสถูกสงสัยน้อยที่สุดแล้วก็ขยายการคบค้าได้มากที่สุด โดยเฉพาะเหมยงาม[5]ล้ำเช่นเจ้า”

“ไม่ทราบแม่นางเป็นใครในฐานเมฆา”

“ต้องถามลึกถึงรากโคนเช่นนี้ด้วยหรือ”

“แค่ผู้ถามตอบก่อนเท่านั้น”

“หลี่ชิวเฉี่ยว ผู้หนุนฐานอันดับหนึ่งแห่งฐานเมฆา”

“จางอวี่ซู อดีตผู้สั่งการสำนักปากสอบ”

………………………..

เมืองจี๋อิง ในกองบัญชาการทัพกลาง

รายงานลับที่ส่งจากกรมสอบสวนกลางมาถึงมือหลิวรุ่ยอิ่งไม่ขาดสาย

ครั้งนี้กลับเป็นตำราเล่มหนึ่ง

ดูจากการตัดและการเข้าเล่ม ตำรานี้ต้องเร่งทำทั้งวันทั้งคืนแล้วจึงพิมพ์ออกมาแน่นอน

น้ำหมึกด้านบนถึงขั้นยังไม่แห้งสนิทดี

บนหน้าชื่อเรื่องของตำราเขียนอักษรตัวเล็กไว้บรรทัดหนึ่ง ‘เล่มนี้คือรายงานลับความเคลื่อนไหวในยุทธภพของกรมสอบสวน ต้องอ่านศึกษาอย่างละเอียดและห้ามแพร่งพรายออกไป ระวัง! ระวัง! ระวัง!’

นี่เป็นลายมือที่เจี่ยงชางฉงผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรเขียนเอง

ใต้เท้าท่านนี้ถึงกับใช้คำว่าระวังสามครั้งติดกัน ไม่รู้ในเหล่าผู้มาเยือนมีเทพยุทธ์มาจากที่ใด

ขณะเดียวกัน ข้อมูลที่เนื้อหาแทบไม่ต่างกันฉบับหนึ่งได้ส่งถึงที่ว่าการผู้ควบคุมรัฐทั้งห้าลงนามโดยติ้งซีอ๋อง

ห้าอ๋องต่างคนต่างมีเครือข่ายข้อมูล ต่างคนต่างมีเส้นสายของตนเอง ไม่มีผู้ใดเลี้ยงไว้เสียข้าวสุก

หลิวรุ่ยอิ่งพลิกเปิดหน้าแรกของตำราด้วยความกังวล

………………………..

ทางหลวงรัฐเยวี่ย อาณาเขตติ้งซีอ๋อง

รัฐเยวี่ยคือประตูแห่งอาณาเขตติ้งซีอ๋อง เป็นเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อไปยังรัฐติง

เดินทางบนบกจากพื้นที่แถบภาคกลางหรือทางตะวันออกและทางใต้ จากนั้นนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำจักรพรรดิแล้วก็จะเป็นเขตของรัฐเยวี่ย

นักตกปลาเฒ่าคนหนึ่งถือคันเบ็ด ข้างหลังยังมีเด็กซนถือตะกร้าปลาตามมาด้วย

ผู้เฒ่าหนึ่งคนและเด็กหนึ่งคนนี้กำลังเดินอยู่บนทางหลวงโดยคนหนึ่งนำหน้าอีกคนตามหลัง

ผู้เฒ่าเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ฝ่าเท้ายังสวมรองเท้าฟางคู่หนึ่ง ส่วนเด็กซนข้างหลัง ตรงขากางเกงขาดเป็นริ้วผ้าหมดแล้ว ดูแล้วไม่ต่างกับขอทาน

ผู้เฒ่าแบกคันเบ็ดไว้บนไหล่ สายเบ็ดตกลงมา

บนตำแหน่งที่ควรเป็นตัวเบ็ดนั้นกลับแขวนกระบี่สั้นเล่มหนึ่งไว้

มันก็ห้อยเปล่งแสงแวววามเช่นนี้ กวัดแกว่งไปมาตามก้าวย่างของผู้เฒ่า

คนนั่งเรือข้ามฟากลำเดียวกับผู้เฒ่าล้วนชำเลืองมองสองคนนี้ แต่งตัวไม่เป็นระเบียบเช่นนี้ไม่ว่า กลับผูกกระบี่เล่มหนึ่งไว้บนคันเบ็ดอีก นี่ไม่ใช่ให้คนหัวเราะฟันร่วงหรอกหรือ ถึงเจ้าจะใช้กระบี่เป็นเบ็ด แต่ก็ไม่มีปลาตัวใหญ่เพียงนี้ให้เจ้าตกหรอก…หรือว่าเจ้ายังคิดไปตกปลาคุน[6]ในตำนานนั่นในทะเลบูรพา

ผู้เฒ่าไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านี้สักนิด แต่เด็กน้อยกลับออกจะทนไม่ไหว ยื่นมือเข้าในตะกร้าปลาด้วยความโมโหแต่ก็ถูกผู้เฒ่าห้ามไว้ทันควัน

………………………..

ในจุดพักม้าทางการ รัฐติง

“ท่านบัณฑิตกระดูกขาวจางอวี่ซู ตำแหน่งขั้นสองแห่งสำนักปากสอบ เรียกกันว่าผู้สั่งการสำนักที่แข็งแกร่งที่สุด ได้ยินว่ายี่สิบปีก่อนท่านทรยศสำนักปากสอบและไร้วี่แววนับแต่นั้น คิดไม่ถึงท่านอยู่ข้างกายข้านี่เอง”

“กระบี่หมอกฝนทะเลบูรพา หลี่ชิวเฉี่ยว ตำแหน่งขั้นสามแห่งฐานเมฆาทะเลบูรพา ห้าปีก่อนได้รับคำสั่งให้จากฐานเมฆามารวบรวมข้อมูลบนแผ่นดินใหญ่”

“สำนักปากสอบใส่ใจขนาดนี้ผู้น้อยละอายใจนัก”

หลี่อวิ้นเอ่ยอย่างเฉยชา

“แม่นางชิวเฉี่ยว สำนักปากสอบก่อตั้งเพื่อเป็นพยานเหตุการณ์สำคัญทั้งมวลที่ส่งผลต่อวิถีความเป็นไปในใต้หล้า ฐานเมฆาย่อมอยู่ในขอบเขตการรับรู้ด้วย”

บัณฑิตจางส่ายหน้า

“ท่านเรียกข้าว่าหลี่อวิ้นเถอะ”

“ไม่ทราบท่านรู้หรือไม่ว่าใครเอาเรื่องข้าฝึกกระบี่ในคืนจันทร์ไปบอกมหัพภาคติ้งซี”

หลี่อวิ้นแอบคาดหวังอยู่บ้าง ด้วยวรยุทธ์ของบัณฑิตจางเขาย่อมรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ

คำตอบของเขากลับทำให้นางผิดหวังอย่างยิ่ง

ความร้อนใจที่ไม่อาจตีแตกสถานการณ์ท่วมท้นทั่วกายของหลี่อวิ้น

ด้วยฐานะและความสามารถของนาง แต่ไรล้วนจัดการเรื่องราวได้ชนิดปราบสิบคนด้วยแรงเดียว

แม้การใช้ชีวิตในแผ่นดินห้าปีนี้กล่อมเกลานิสัยนางไปมาก แต่ตัวตนอันสูงส่ง เหยียดหยามสรรพสิ่งในกระดูกนางไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่ได้ นั่นคือลักษณะที่เกิดจากการอยู่เบื้องบนมานาน

ครั้งนี้ เพียงครึ่งหน้ากระดาษก็ทำให้นางดิ่งลึกในวังวน แม้วรยุทธ์นางเลิศล้ำ วิชากระบี่โดดเด่นก็หาจังหวะจู่โจมไม่ได้เลย

เหมือนต่อยกำปั้นบนผ้าฝ้าย ทำให้คนหงุดหงิดมาก

………………………..

ขณะเดียวกัน บนถนนไปรัฐติงหิมะละลายบ้างแล้ว

มือกระบี่เยาว์วัยห้าหกคนขี่ม้าตัวสูงใหญ่ ล้อมเริ่นหยางกับเด็กน้อยไว้

“ตาเฒ่า เจ้าปกติหรือเปล่านี่!? ผูกกระบี่สั้นไว้บนคันเบ็ด ตกปลาเช่นนี้คงได้หิวตายแน่กระมัง”

“นั่นน่ะสิ เจ้าดูเขาแต่งตัวแย่กว่าขอทานอีก เป็นเพราะตกปลาไม่เคยได้แน่ๆ!”

มือกระบี่เยาว์วัยหัวเราะครืนใหญ่ชี้กระบี่ตกปลาของเริ่นหยาง เอ่ยคำเหน็บแนมอยู่ตลอด

เริ่นหยางไม่ชายตามอง ไม่ย้อนคำ ยังคงเดินตามทางของตน

ทางหลวงนี้มีเพิงขายชาทุกห้าสิบลี้ให้ผู้เดินทางมาเยือนได้พักเท้า เพิงขายชานี้เทียบโรงน้ำชาในหัวเมืองไม่ติด หนึ่งไม่ขายชามีชื่อ สองไม่มีหน้าร้าน ขายเพียงชาหยาบถ้วยใหญ่ใส่เกลือ

เริ่นหยางมานั่งในเพิงขายชาและสั่งชากาหนึ่ง

เขาถือถ้วยชาอยู่ในมือ กลับถูกมือกระบี่อายุน้อยเหล่านั้นปัดคว่ำ

“ไสหัวไปไกลๆ หน่อยไอ้เฒ่า เจ้านั่งนี่แล้วพวกเราดื่มชาไม่ลง!”

“ใช่ เจ้าดูเขาสกปรกเช่นนั้น เหม็นชะมัดยาด!”

เริ่นหยางไม่เอ่ยสักคำเช่นเดิม

เขาให้เด็กน้อยเก็บเศษกระเบื้องบนพื้นแล้วหยิบถ้วยหนึ่งมารินชาอีก

“ข้าให้เจ้าดื่มรึ!”

มือกระบี่อายุน้อยคนหนึ่งยกกาน้ำชาขึ้นโยนออกไปในป่าด้านข้าง

ที่แปลกคือกาน้ำชาที่พ้นมือหมุนเป็นวงกลับมาบนโต๊ะอีกครั้ง

คนผู้นี้ไม่เชื่อเรื่องภูติผี หมายจะโยนอีกกลับถูกสหายข้างกายดึงไว้

“ตาเฒ่านี่มีกล เมื่อครู่ข้าเห็นคันเบ็ดในมือเขาขยับเล็กน้อยแล้วกาน้ำชาก็กลับมา”

บนทางหลวงมีขบวนม้าผ่านมาอีกครั้ง

บนหลังม้าล้วนเป็นเด็กหนุ่มห้าวหาญเสื้อเขียวถือกระบี่ หัวหน้าคือชายวัยกลางคนสวมหมวกผ้าไหมเสื้อขนเพียงพอนคนหนึ่ง

ชายวัยกลางคนเห็นคันเบ็ดที่ตั้งอยู่ในเพิงขายชาแต่ไกล ในใจเกิดความสงสัย

เมื่อไล่สายตาลงมาตามคันเบ็ด ความสงสัยพลันหมดไปและรีบพลิกตัวลงม้าทันที แม้คนหนุ่มผู้ติดตามด้านหลังไม่เข้าใจเจตนาของเขา แต่ก็ล้วนพากันทำตาม

“คารวะผู้อาวุโสกระบี่ตกปลา! ผู้น้อยไม่รู้ว่าท่านหยุดพักอยู่นี่ เกือบขี่ม้าผ่านไปช่างเสียมารยาทยิ่งนัก ผู้อาวุโสกระบี่ตกปลาโปรดอย่าถือสา”

ชายวัยกลางคนเอ่ยคารวะผู้เฒ่าถือเบ็ดตกปลาอย่างเคารพนบนอบ

………………………..

“เริ่นหยาง ตกปลาคนเดียวหมดทะเลยามสารท สร้างชื่อสามสิบปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้มีวิชากระบี่แข็งแกร่งในเหล่ายอดฝีมืออาวุโสแห่งยุทธภพ ขอบเขตไม่แน่ชัด กระบี่ตกปลาของเขาคาดเดายาก ไร้กฎเกณฑ์ เป็นคนเฉียบขาด ซื่อสัตย์ยึดมั่นในธรรม เคยถือกระบี่บุกสังหารวังอ๋องโดยลำพังเพราะไม่พอใจการปกครองเผด็จการของอันตงอ๋องพานอวี่ฮวนและหลบออกมาอย่างปลอดภัย ภายหลังอันตงอ๋องออกหนังสือจับกุมกลางทะเล ประกาศจับทั่วหล้าไม่สนว่าเป็นหรือตาย เขาเลยต้องกลับภูเขาไปอยู่อย่างสันโดษ”

หน้าแรกของตำราก็เป็นคนเหี้ยมผู้กล้าโจมตีอันตงอ๋องอย่างเปิดเผยเช่นนี้

หลิวรุ่ยอิ่งอ่านจนหนังศีรษะชา[7]และตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุไปพร้อมกัน

…………………………………………

[1] คีบดอกไม้สะกิดใบหญ้า หมายถึง เจ้าชู้ไปเรื่อย

[2] ถือทวนทองขี่อาชาเหล็ก หมายถึง ศึกสงคราม ท่วงท่าองอาจของนักรบ

[3] เส้นเริ่น มีวิถีไหลเวียนตลอดแนวเส้นกลางลำตัวด้านหน้า เชื่อมโยงกับเส้นลมปราณอินทุกเส้น

[4] เส้นตู มีวิถีไหลเวียนตลอดแนวเส้นกลางลำตัวด้านหลังและศีรษะ เชื่อมโยงกับเส้นลมปราณหยางทุกเส้น

[5] เหมยงาม หมายถึง หญิงงาม บางกรณีอาจหมายถึงนางคณิกาผู้งดงามและโด่งดัง

[6] ปลาคุน ปลาขนาดใหญ่ในตำนาน ลำตัวยาวหลายพันหลี่ สามารถกลายร่างเป็นนกยักษ์บินอยู่บนท้องฟ้าได้

[7] หนังศีรษะชา หมายถึงรู้สึกกลัวหรือกังวลเป็นอย่างมาก

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน