บทที่ 17 ยินดีติดกับ-2
“กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านอ๋องออกตรวจราชการและให้เกียรติมาเยือน ไม่ได้ออกไปรอต้อนรับ ท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วย!”
ทังหมิงออกจากประตูหัวเมืองก็คุกเข่าฟุบลงไป ทำท่าหมอบราบตรงตามมาตรฐาน
ฮั่ววั่งสีหน้าอึมครึม พลันโยนแส้ม้า
เส้นโค้งอันสมบูรณ์แบบสายนี้ร่วงอยู่ตรงหน้าทังหมิง
“ม้าข้าเป็นม้าดี!”
ทังหมิงไม่กล้าตอบ กระทั่งฮั่ววั่งเดินผ่านกายตนเข้าประตูหัวเมืองแล้วถึงได้สั่นโงนเงนลุกขึ้น มือทั้งคู่ถือแส้ม้า รีบสาวเท้าพลางโค้งเอวก้มหลังตามฮั่ววั่งไป
อย่ามองแค่ท่าทางเขารวดเร็ว ความคิดก็ฉับไวมากเช่นกัน
‘ท่านอ๋องขี่ม้าคนเดียวถึงรัฐติงข้าอย่างลับๆ ด้วยเรื่องแว่นแคว้นหรือเรื่องส่วนตัว หากเป็นเรื่องแว่นแคว้นก็มีแค่ทหารหมาป่ารุกรานพรมแดน แต่ทหารกลืนจันทราหน่วยเดียวไม่ถึงกับต้องให้ท่านอ๋องมาเยือนเองหรอก อีกอย่างทัพอีกาดำนั่นก็ไม่ได้พามาสักคนเลยไม่ใช่หรือ หากเป็นเรื่องส่วนตัว ก็มีแค่ข่าวที่ตีพิมพ์ในมหัพภาคติ้งซีก่อนหน้านี้ ท่านอ๋องผู้นี้ของเรา หากบอกว่ามัวเมาในการใช้อำนาจก็เป็นจริงโดยแท้ แต่สิ่งที่ใฝ่หายิ่งกว่ากลับเป็นจุดสูงสุดแห่งวิถียุทธ์’
ช่วงเวลาจากประตูหัวเมืองถึงโถงหลักนี้ ทังหมิงครุ่นคิดเหตุผลที่ฮั่ววั่งมาเยือนรัฐติงโดยไม่บอกใครครั้งนี้จนเริ่มมั่นใจแล้ว
เก้าในสิบเป็นเพราะมือกระบี่ลึกลับผู้นั้น
“มีแผนขับไล่ศัตรูหรือไม่”
ฮั่ววั่งยืนอยู่ใต้ชานเรือน ไม่เข้าโถงหลักแล้วก็ไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบ
“ตอบท่านอ๋อง หลายปีนี้ทุ่งหญ้าฝนฟ้าอุดมสมบูรณ์ วัวแข็งแรงม้าล่ำสัน ปลายปีก่อนอั๋งหรานอาศัยความได้เปรียบทางช่วงเวลาและชัยภูมินำทัพลงใต้ปักหลักอยู่กำแพงเขต ข้าน้อยก็เคยส่งคนไปสืบดูความจริงหลายครั้ง ตอนนี้กระหม่อมสั่งให้ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อโหย่วเจี้ยนเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้สั่งการหัวเมืองเสิ่นซือเซวียนกับฟู่ฮั่นหยางเป็นรองแม่ทัพ นำทัพใหญ่เคลื่อนพลไปชายแดน คาดว่าอีกไม่นานคงได้รับข่าวดี ยามนี้ท่านอ๋องยังมาเยือนรัฐติงด้วยตนเอง กระหม่อมต้องแขวนกระบี่ดับควันสุนัขป่า[1]ราชสำนักทุ่งหญ้าให้สิ้นซาก”
คำอ้างของทังหมิงเรียกได้ว่าไม่มีช่องโหว่โดยแท้
ตอนแรกฮั่ววั่งโกรธไม่มีที่ระบายเลยตั้งใจเอ่ยปากหาเหตุให้เล่นงาน คิดไม่ถึงกลับถูกคำพูดของเขาขจัดเสียสิ้น
อย่างแรกทหารหมาป่าบุกรุกชายแดนไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน มีการคิดไว้ล่วงหน้า สวรรค์คอยช่วยเหลือ เจ้าไม่อาจตำหนิข้าโทษฐานบกพร่องในการตรวจสอบ อย่างที่สองข้าส่งทหารไปปราบปรามความวุ่นวายป้องกันชายแดน เจ้าไม่อาจลงโทษข้าด้วยเรื่องเอื่อยเฉื่อยละเลยหน้าที่ อย่างที่สาม หากเป็นเพราะเรื่องนี้รบกวนท่านอ๋อง เช่นนั้นกระหม่อมทังหมิงก็แขวนกระบี่ไปรบด้วยตนเอง ท่านนั่งนิ่งบนแท่นตกปลาอยู่หัวเมืองรัฐติงก็พอ
ลบความเกี่ยวข้องกับความผิดใหญ่สองประการแรกหมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นแค่ความผิดเล็กๆ ที่ตักเตือนด้วยวาจาเท่านั้น
“ดีมาก มีผู้ใต้บังคับบัญชาฝีมือดีเช่นผู้ควบคุมรัฐทัง เป็นโชคดีของข้า ยิ่งเป็นโชคดีของประชาชนรัฐติง”
ฮั่ววั่งหันมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง
ทังหมิงแอบโล่งอกในใจ เกรงว่าด่านแรกนี้ผ่านไปแล้ว
“ท่านอ๋องเชิญด้านใน”
เข้าโถงหลัก ฮูหยินโจวอวิ๋นอวิ่นแต่งกายเหมาะสมคอยอยู่ที่นี่แต่เนิ่นแล้ว
“เป็นคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก”
โจวอวิ๋นอวิ่นเอ่ยขอบคุณคำหนึ่งแล้วก็เทชาให้ฮั่ววั่งด้วยตนเอง
“ไม่ทราบท่านอ๋องมาเยือนครั้งนี้มีคำชี้แนะใดหรือ”
ทังหมิงมองฮั่ววั่งใช้ฝาถ้วยคนน้ำชาไม่วาง
ทุกครั้งที่ฝาถ้วยกระทบตัวถ้วยก็จะมีเสียงใสดัง ‘กริ๊ง!’ สองหน
เสียงนี้ดังขึ้นทีหนึ่งใจของทังหมิงก็บีบขึ้นหนึ่งส่วน จึงเอ่ยปากถามก่อนเสียเลย
“ผู้ควบคุมรัฐทังคิดเห็นอย่างไรกับมหัพภาคติ้งซีรอบนี้”
ฮั่ววั่งดื่มชารวดเดียวหมด
ทั้งที่เป็นชา กลับให้ความรู้สึกเหมือนดื่มเหล้า
“ท่านอ๋องหมายถึงเรื่องมือกระบี่ลึกลับผู้นั้น?”
ทังหมิงเห็นฮั่ววั่งไม่ต่อบทสนทนาจึงพูดต่อไปเอง
“มหัพภาคติ้งซีนี้มีอิทธิพลในหมู่ประชาชนอยู่บ้างจริงๆ ท่านอ๋องก็รู้ว่ารัฐติงเป็นพื้นที่ห่างไกล รถม้าส่งข่าวไม่สะดวกยิ่งนัก ดังนั้นเรื่องราวที่ที่อื่นอาจรู้กันหมดแล้ว พอมาถึงรัฐติงกลับเป็นความสดใหม่ สิ่งที่ประชาชนทั้งหลายต้องการก็คือความใคร่รู้เรื่องหายาก ไม่แบ่งวัยเด็กหรือชรา สิ่งที่มหัพภาคตีพิมพ์เมื่อปีก่อนล้วนเป็นเรื่องเหนือกำลังคนอันน่าพิศวงหรือไม่ก็แนะนำบุคคลที่เรียกว่าผู้วิเศษอาวุโสในสามลัทธิเก้าสำนัก[2]สองสามคน ถ้าบอกว่ามีผู้แข็งแกร่งเลิศล้ำยืมพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟิน[3]ของมหัพภาคติ้งซีเชิญท้ารบ กระหม่อมคิดว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
ฮั่ววั่งได้ยิน แอบเยาะหยันในใจ
หากเป็นดังว่าจริง แล้วควรอธิบายเรื่องพลังกระบี่กลางอากาศวันนั้นกับผู้เฒ่าที่เดินทางคนเดียวอย่างไร
………………………..
บนทางหลวงเมืองจี๋อิงไปหัวเมืองรัฐติง
“ขอถามใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบเป็นคนที่ใด”
สืออีเฟิงประสานมือเอ่ยถาม
ตลอดทางนี้เขาไม่ได้วางมาดเพราะตนเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพและขั้นฝึกตนสูงแม้แต่น้อย กลับจะมีท่าทีถ่อมตน
คนเช่นนี้ ใช้ชีวิตได้ฉลาดนัก
เจ้าว่าเขาอายุมาก แต่ใจเขาก็ไม่ชรา เจ้าว่าเขาอายุน้อย แต่เขาก็ไม่เคยเป็นภาระ
เขาสามารถเอ่ยคำได้เหมือนฝนฤดูใบไม้ผลิ และเป็นดั่งดาบเหล็กกล้าได้เช่นกัน
นึกถึงตอนนั้น เขาสืออีเฟิงเพิ่งก้าวสู่สังคมก็อาจหาญไร้ใดเปรียบ ถือกระบี่ท่องยุทธภพยื่นมือช่วยเหลือทุกหนแห่ง แต่อย่างไรสวรรค์ก็ไม่ให้คนสมปรารถนา บางทีสวรรค์อาจไม่มีวันให้คนสมหวังเลย…ถึงตอนนี้นับว่ามีผลงานชื่อเสียงเลื่องลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่ใส่ใจเท่าไรแล้ว
มังกรพ้นน้ำ เสือลงภูเขา
ห่านหลงฝูงบินกลับจากเหนือ นกในกรงยากสงบใจ
นับแต่เริ่มทำงานให้กรมสอบสวน สืออีเฟิงกระบี่เร็วแห่งผิงหนานในอดีตนั่นก็ตายไปแล้ว
“ข้าผู้แทนเกิดที่กรมสอบสวน โตที่กรมสอบสวน”
ไม่รู้ทำไม
พอหลิวรุ่ยอิ่งขจัดความเป็นเด็กก่อนหน้านี้ คำพูดทางการก็ออกมาจากปาก
วางมาดพอเหมาะ วางหน้าพอดี
ตบตาสวรรค์ไม่ได้โดยแท้! อยู่ที่จะช้าเร็วเท่านั้น
สืออีเฟิงเจอตะปูนิ่ม[4]ก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย หมดคำทันที…จนกระทั่งเห็นกำแพงของหัวเมืองรัฐติง
ด้วยเหตุที่ฮั่ววั่งมาเยือนหัวเมืองรัฐติง ประตูเมืองแต่ละแห่งจึงป้องกันเข้มงวดขึ้นทั้งหมด แต่หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งแสดงฐานะผู้แทนการตรวจสอบของตนแล้วย่อมผ่านได้อย่างไร้กังวล
ทหารรักษาความปลอดภัยหน้าประตูเมืองเห็นเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองของตนสวมชุดผ้า ถูกผู้แทนการตรวจสอบกุมตัวส่งเข้าประตูเมืองแต่ละคนล้วนมีสีหน้าต่างกันไป
ถึงหัวเมืองรัฐติงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งประหม่าเล็กน้อย อย่างไรก็อยู่ถิ่นคนอื่น ตนยังจับผู้ว่าการหัวเมืองพวกเขามาด้วย ดีที่ทหารของหัวเมืองรัฐติงก็ช่างระงับอารมณ์เก่ง น่าแปลกที่ไม่มีใครก้าวออกมาทำให้หลิวรุ่ยอิ่งลำบากใจ ไม่รู้กลัวฐานะผู้แทนการตรวจสอบของเขาหรือไม่กลัวเกรงเพราะมีคนหนุนหลัง
เดินทางมาถึงนี่ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกหิว เงยหน้ามองไปกลางเขตการค้าอันคึกคักก็ไม่รู้ควรไปร้านไหน อดชะลอฝีเท้าลงไม่ได้
“เฮ้! ลูกค้าสามท่านค้างแรมหรือแวะพักน่ะ”
หิวจนไส้กิ่ว หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีเวลาสนใจมากนัก ก้มหน้ามุดเข้าร้านหนึ่ง
“แวะพัก”
สืออีเฟิงกล่าวตอบ
เรื่องยิบย่อยพวกนี้ย่อมเป็นหน้าที่เขา
กินบะหมี่ผักชามหนึ่งแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งให้สืออีเฟิงคอยอยู่ในร้าน ส่วนตนไปติดต่ออาคารกรมสอบสวนที่ตั้งอยู่ในหัวเมืองรัฐติง
คาดไม่ถึงเพิ่งออกจากประตูร้าน เขาก็ชนกับผู้คุ้มกันที่ทังหมิงส่งมาเข้าเต็มอก
“ขอถามท่านใช่หลิวรุ่ยอิ่ง ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือกองสัคคะเนตร ใต้บังคับบัญชาใต้เท้าผู้กำกับการกรมสอบสวนกลาง ขึ้นตรงต่อฉิงจงอ๋องหรือไม่”
ผู้คุ้มกันเอ่ยถาม
“พวกเจ้าเป็นใคร”
“ผู้คุ้มกันหัวเมืองผู้ควบคุมรัฐติง ผู้ควบคุมรัฐทังหมิงให้พวกผู้น้อยถือเทียบมาต้อนรับใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบไปพูดคุยในที่ว่าการ จะได้แสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่”
คนอยู่ใต้ชายคาจำต้องก้มหัว
ก่อนหน้านี้ในกองบัญชาการทัพกลางเมืองจี๋อิง เป็นสืออีเฟิงช่วยตนออกจากสถานการณ์คับขัน ตอนนี้เข้าหัวเมืองรัฐติง กระทั่งหัวก็เงยไม่ขึ้น
‘ไอ้จิ้งจอกเฒ่าสมควรตาย!’
หลิวรุ่ยอิ่งด่าในใจประโยคหนึ่ง
“ผู้ควบคุมรัฐทังเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยยังไม่ได้ไปเยี่ยมก่อนกลับให้ผู้ควบคุมรัฐทังเชิญกันด้วยไมตรี เพียงแต่ตัวข้าน้อยยังมีงานราชการเร่งด่วนอย่างหนึ่งยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ทนรอสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบไม่ต้องมากพิธี ส่วนเรื่องงานราชการในเมื่อมาถึงหัวเมืองรัฐติงแล้ว คิดว่าคงไม่ขาดช่วงสำคัญอะไรกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดรอบหนึ่ง
“เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อผู้ควบคุมรัฐทังให้เกียรติข้าผู้แทนเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมทำตามคำสั่ง”
เขาจงใจหันไปบอกสืออีเฟิงเสียงดัง ให้เขารอตนอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างสบายใจ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าทังหมิงมุ่งมาที่เฮ่อโหย่วเจี้ยน ตอนนี้หากไม่ทำก็ทำจนสุดไปเลย จึงพาเฮ่อโหย่วเจี้ยนไปพบด้วย
‘ตอนข้ามาก็เข้าหัวเมืองรัฐติง ทำไมไม่เห็นทังหมิงของเจ้าเอาใจใส่เช่นนี้’
และผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ก็ต่างจากคนอื่น เหมือนไม่รู้จักเฮ่อโหย่วเจี้ยนมาก่อน เพียงพาหลิวรุ่ยอิ่งสองคนมุ่งหน้าตรงไป
สืออีเฟิงมองตามกลุ่มคนเดินไปไกล จากนั้นก็เอาห้องหนึ่งและสั่งสุราอาหารเต็มโต๊ะ
ในเมื่อให้ตนรออย่างสบายใจ เช่นนั้นก็รออย่างสบายใจแล้วกัน มีสุรามีอาหาร หากมีหญิงงามอีกคนหนึ่ง ย่อมสบายยิ่งขึ้นอีกแน่นอน
………………………..
ในที่ว่าการ ทังจงซงก้มเขียนพู่กันอย่างรวดเร็วอยู่หน้าโต๊ะ
เผียวเจิ้งหงยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าเร่งม้าไปส่งทางประตูทิศใต้ด้วยตนเอง ส่งถึงแล้วไม่ต้องกลับมาทันที เว้นสักสองสามวันก็ไม่เป็นไร”
เมื่อมอบงานเหล่านี้เสร็จ ทังจงซงบิดๆ เอี้ยวๆ ใส่เสื้อและสวมรองเท้าหนัง
แม้แต่กระดุมแผ่นไหมหน้าสาบเสื้อยังกลัดผิดที่
“ท่านแม่! ข้าหิวแล้ว! ทำไมไม่มีคนทำอาหารเลย! ท่านพ่อ! ทำไมท่านไม่ให้คนครัวทำงานเล่า ข้าหิวมาก!”
ทังจงซงผมเผ้ายุ่งเหยิง ลากเท้าเดินพลางร้องตะโกน
ในโถงหลักฮั่ววั่งกำลังเตรียมเปิดปาก กลับถูกผีหิวตายกลับชาติมาเกิดนี่ขัดจังหวะ
“ใครร้องตะโกนเช่นนี้”
“ท่านอ๋องโปรดประทานอภัย นี่เป็นลูกชายของกระหม่อม…กระหม่อมอบรมไม่ถูกวิธี รวมกับแม่เขาตามใจ ทำให้เจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานมาตลอด…เขาไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาเยือนเลยหมิ่นเกียรติของท่าน โปรดอย่าถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
ทางนี้ทังหมิงกำลังขออภัยโทษให้เขา ทางนั้นทังจงซงเดินทอดน่องถึงประตูโถงหลักแล้ว
“เอ๊ะ ทำไมพวกท่านอยู่นี่กันหมด ข้าหิวแล้ว!”
“สามหาว! พบท่านอ๋องแล้วยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”
ทังหมิงตะโกนด้วยความโกรธต่อหน้า! ตะโกนครั้งนี้ถึงขั้นใช้กำลังภายใน
ทังจงซงได้ยินแล้วหัวเข่าพลันยวบ โขกศีรษะราวโขลกกระเทียมทันที เวลาครู่เดียวก็คำนับติดกันไปสิบเจ็ดสิบแปดหนแล้ว
ฮั่ววั่งเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ โทษฐานล่วงเกินก็ละไว้ก่อนชั่วคราว
“ผู้ควบคุมรัฐทัง คุณชายของเจ้านี่มีขนบของคนโบราณมากทีเดียว!”
“ไม่ทราบท่านอ๋องตรัสจากที่ใด เจ้าลูกไม่รักดีนี่ไม่เคยยอมรับการอบรม…ไม่ว่าด้านวรยุทธ์หรือเรียนตำรา พวกเส้นทางที่ถูกควรนี่ไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่พวกวิธีเสเพลเลวทรามเหล่านั้นกลับจำขึ้นใจไปหมด”
ทังหมิงเอ่ยยิ้มเจื่อน
“ข้าเคยบังเอิญได้อ่านตำราโบราณเล่มหนึ่ง ในนั้นบอกว่าช่วงหนึ่งของราชวงศ์ก่อนหน้า มีเจ็ดคนนิสัยเหลวแหลกเสเพล เหยียดหยามพิธีการกฎระเบียบ หยิ่งผยองด้วยว่าตนเหนือกว่า เพราะมีปณิธานร่วมกันเลยคบค้ากันอย่างลึกซึ้ง แล้วก็กลายเป็นพี่น้องผู้มีคุณสมบัติต่างกัน ยามปกติเจ็ดคนนี้แต่งกายไม่เรียบร้อย ทำตัวเอ้อระเหยตามใจอยาก มักดื่มสุราแต่งกลอน ดีดฉินร้องเพลงเสียงแหลมอยู่ในป่าไผ่ ช่างอิสระไร้กังวลยิ่งนัก ข้าว่าคุณชายของเจ้าคงสืบทอดส่วนยอดเยี่ยมมาไม่น้อยเลย!”
“เฮอะๆ ท่านอ๋องชมผิดแล้ว ปราชญ์เจ็ดคนนั้นผู้น้อยก็ได้ยินมาบ้าง แต่ในพวกเขาเหล่านั้นไม่เพียงมีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม ยังชอบใช้ชีวิตสมถะ กระหม่อมไร้ความสามารถ เขียนบทประพันธ์ที่สืบทอดไปอีกนานไม่ได้ แต่หากพูดถึงดื่มสุราดีวันละสามร้อยหู[5]เกรงว่าเหนือกว่าปราชญ์นี้อยู่บ้าง!”
ฮั่ววั่งเก็บสีหน้า จ้องทังจงซงเขม็ง
“ดี! เช่นนั้นข้าก็ตกรางวัลเจ้าด้วยสุราดีสามร้อยหู! หากเจ้าดื่มได้หมดภายในวันนี้ก็ยกโทษฐานล่วงเกินให้เจ้า”
ทังหมิงมองเงาหลังของลูกชาย มีความรู้สึกปลื้มใจเป็นครั้งแรก
…………………………………………….
[1] ควันสุนัขป่า เกิดจากการเผามูลหมาป่าเพื่อเป็นสัญญาณเตือนว่าเกิดเหตุตรงชายแดน
[2] สามลัทธิเก้าสำนัก หมายถึง สามศาสนาและเก้าสาขาอาชีพ
[3] พื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟิน หมายถึง ขอบเขตหรือพื้นที่เล็กๆ
[4] ตะปูนิ่ม หมายถึงถูกปฏิเสธโดยอ้อม
[5] หู เป็นเครื่องชั่งตวงโบราณชนิดหนึ่ง