บทที่ 28 ลมแรงฝนกระหน่ำ
ในวังติ้งซีอ๋อง
ทัพอีกาดำเจ็ดพันนายเตรียมสัมภาระพร้อมเดินทาง
ทั้งหมดเป็นม้าดำ ชุดดำ เกราะดำ ดาบดำ
ธงใหญ่ที่เขียน ‘ติ้งซีอ๋อง’ ด้วยอักษรดำพื้นหลังแดงผืนหนึ่งอยู่ด้านหน้า
ธงใหญ่ที่เขียน ‘อีกาดำ’ ด้วยอักษรดำพื้นหลังแดงอีกผืนอยู่ด้านหลัง
ธงชัยสองผืนรับสายฝนไหวๆ
ลมพัดใต้กีบม้าพันธุ์ดีแปดพันตัว
ทหารเจ็ดพันนายล้วนเข้าคู่กับหมวกเกราะหางหมาป่า
กายแบกหน้าไม้ ดาบม้า[1]อยู่ในมือ
ทั้งตัวส่งกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ยังมีไอสังหารควบอีกชั้นหนึ่ง
เจ็ดพันคนนี้ยืนตระหง่านอยู่หน้าพระตำหนักวังอ๋องดุจรูปสลักเจ็ดพันชิ้น
ทั้งยังเหมือนยมราชเจ็ดพันคนกำลังรอสังหารและเก็บเกี่ยว
ทัพอีกาดำนอกจากฮั่ววั่งที่เป็นผู้บัญชาการเพียงหนึ่งเดียวก็ไม่มีเจ้าหน้าที่การทหารใดอีก
พวกเขาเชื่อฟังแต่ผู้แข็งแกร่ง ไม่ยอมรับตำแหน่งขุนนาง
นายทหารผู้ยืนอยู่หน้ากองทัพในตอนนี้คือคนที่ฆ่าศัตรูมากที่สุดหลังทัพอีกาดำออกศึกคราวก่อน
แต่ออกศึกครานี้ ชัยชนะจะเป็นของใครยังไม่อาจล่วงรู้
เขากวาดมองใบหน้าของทหารทัพอีกาดำทุกนายด้วยสายตาเคร่งขรึม
พวกเขาหนีบหมวกเกราะไว้ใต้รักแร้ซ้าย ปล่อยให้น้ำฝนไหลบนหน้าตามใจอยาก ทว่าไม่กะพริบตาสักหน
เขาดึงดาบม้าที่เอวออกมาชี้ไปทางรัฐติง
“ดาบเผยคมเสี้ยมออกจากฝัก สาบานจะฆ่าทหารหมาป่าปกป้องแคว้น”
“ฆ่า!”
เพียงประโยคเดียว ทัพอีกาดำก็เหมือนกองฟืนแห้งถูกจุดไฟ
แสงไฟที่พุ่งขึ้นสามารถย้อมท้องฟ้าเมืองติ้งซีอ๋องเป็นสีแดงได้ทั้งผืน เสียงตะโกนบุกอันห้าวหาญเด็ดเดี่ยวสั่นสะเทือนฝันหวานของคนทั้งหลาย
จากนั้น ทหารเจ็ดพันนายฟาดเกราะไหล่ซ้ายด้วยดาบศึกในมือ
โลหะตัดกัน พลันเกิดประกายไฟเจิดจ้า งดงามหาใดเปรียบ
ต่อมาก็ชูหมวกเกราะที่หนีบอยู่ใต้รักแร้ขึ้นสูงเหมือนนายทหารหน้าทัพผู้นั้น ดึงหางหมาป่าทิ้ง และจ่อตรงปาก
เหล้าแรงสีแดงโลหิตทะลักออกจากในนั้น เหล่าทหารดื่มทีละอึกใหญ่ ไม่กลัวเผ็ดคาวแม้แต่น้อย
เหล้าเลือดหมาป่านี้กลั่นด้วยเลือดของทหารหมาป่าที่พวกเขาฆ่าตายบนสนามรบ
ทุกคำ ล้วนกลืนเอาความคิดถึงต่อสหายร่วมรบที่ตายไป
ทุกคำ ล้วนกลืนเอาความโกรธเกลียดต่อราชสำนักทุ่งหญ้า
ทุกคำ ล้วนเพิ่มกล้าหาญไม่กลัวตายเข้าไปด้วย
เมื่อคนทั้งหลายดื่มเสร็จ ทหารที่เป็นหัวหน้าเปลี่ยนทิศหัวม้า
“ออกศึก!”
ทัพอีกาดำเคลื่อนไหวแล้ว
เปลี่ยนจากรูปสลักเป็นกระแสน้ำสีดำ
ม้าก้าวเท้าพร้อมเพรียง รูปร่างคล้ายเมฆครึ้มสีหมึกมุ่งหน้าไปทางรัฐติง
กลางคืนดึกดื่น
แต่เพื่อนบ้านตามทางตกใจตื่นมานานแล้วเพราะเสียงร้องบุกสังหารตอนทัพอีกาดำปฏิญาณตนออกศึกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทยอยจุดตะเกียงเปิดหน้าต่าง ส่องทางให้ทัพอีกาดำ
ทั้งเมืองติ้งซีอ๋องแสงไฟเจิดจ้าในพริบตา สว่างเหมือนกลางวัน
ยังมีคนโผล่ออกมา ถึงขั้นคุกเข่าคำนับอยู่ในหน้าต่างไม่ยอมลุกเป็นนาน
ชาวบ้านเคารพพวกเขา เคารพที่พวกเขารบอย่างห้าวหาญบนสนามรบนองเลือด
ชาวบ้านรักพวกเขา รักที่พวกเขาคุ้มครองแว่นแคว้นให้สงบสุขถ้วนทั่ว
เริ่นหยางตามอยู่ด้านหลังทัพอีกาดำ
ใช่ว่าเขาเลือดเย็น เพียงแต่เขาละทิ้งความรู้สึกเช่นนี้ไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
เขาไม่ได้ขี่ม้า หลานชายยังหลับปุ๋ยในกล่องที่มัดด้วยกระบี่ตกปลา
ฝีเท้าดูเหมือนเชื่องช้า ทว่าไม่ตกถึงพื้นเลยสักนิด
………………………..
ในหัวเมืองรัฐติง
ประตูเมืองปิดนานแล้ว
ฮั่ววั่งอยู่ชิดกำแพงเมือง เขาปีนขึ้นบันไดในหนึ่งกระบวนท่า แต่ข้ามป้อมประตูเมืองอันสูงตระหง่านได้อย่างมั่นคง กระทั่งคบเพลิงของทหารรักษาการณ์ยังไม่สั่นไหวสักนิด
เข้าในหัวเมืองรัฐติงแล้ว เขาไม่มีทางกลับไปจวนทังหมิงเด็ดขาด
ตอนนี้เขาเพิ่งถอนพิษร้าย พลังกายอ่อนแอยิ่ง ต้องรีบพักรักษาตัว จึงสุ่มหาห้องว่างในโรงเตี๊ยมสักแห่งแล้วปีนเข้าไป
จะว่าไปก็บังเอิญ ห้องนี้เป็นห้องที่สืออีเฟิงเข้าพักหลังจากหลิวรุ่ยอิ่งมาถึงหัวเมืองรัฐติงในตอนแรกพอดี
ภายหลังเกิดคดีฆาตกรรม เจ้าของมองว่าห้องนี้โชคร้าย จึงแปะกระดาษปิดไว้และไม่มีคนพักอีก
ฮั่ววั่งที่ปลายดาบเปื้อนเลือดทุกวันไหนเลยจะสนใจเรื่องนี้
ต้องทราบว่าไม่นานก่อนหน้านี้ในมือเขาเพิ่มมาอีกสิบสองชีวิต
พอฮั่ววั่งเข้าห้องก็นั่งขัดสมาธิ
เขาควานหยิบถุงหอมใบหนึ่งออกจากสาบเสื้อ ในนั้นใส่ตันอสูรสีน้ำตาลไว้เม็ดหนึ่ง
ที่จริงนอกจากเขตห้าอ๋องในใต้หล้าแล้ว ยังมีอำนาจกลุ่มอื่นอยู่มากมาย
อย่างเช่น ราชสำนักทุ่งหญ้า ฐานเมฆาทะเลบูรพา สำนักปากสอบและอื่นๆ ยังมีชนเผ่าป่าเถื่อนแห่งทะเลทรายตอนใต้ด้วย
แต่อำนาจเหล่านี้ล้วนเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้น
นอกจากมนุษย์แล้ว บนแผ่นดินยังมีเก้าเขตหวงห้ามใหญ่
เป็นการมีอยู่ที่อ๋องทั้งห้ารวมถึงหมิงเย่าหลางอ๋องและคนอื่นๆ ไม่อยากไปหาเรื่อง
เก้าภูเขา
เขาประจัญ เขาโยธิน เขาสูริ เขาสรรพางค์ เขาสรรพจิต เขาพยุหะ เขาเรียงรัน เขายาตรา เขาพุทธะ
เดิมทีเป็นแค่ภูเขาธรรมดาเก้าลูก
แต่ในวันสุดท้ายของยุคราชวงศ์
เซียนกระบี่ดาราผู้นั้นใช้กระบี่เรียกดาวตกเก้าดวงมาจากนอกแดน มันปะทะเข้าใจกลางภูเขาเก้าลูกในใต้หล้านี้
นับแต่นั้นมา เหล่าสัตว์ป่าในภูเขาก็เกิดความผิดปกติ
จากตอนแรกเข้าใจความเป็นมนุษย์ จนฝึกตนได้ แล้วมากลายร่างเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน
ทุกย่างก้าวล้วนเหลือเชื่อเกินจริง
อ๋องทั้งห้าก็เคยหารือเรื่องนี้หลายครั้ง ต่างเห็นตรงกันว่าอุกกาบาตที่หล่นลงมาจากนอกแดนวันนั้นมีพลังเซียนประหลาดแฝงอยู่ ทำให้สัตว์ป่ากินเนื้อดิบเหล่านี้เบิกสติสัมปชัญญะและกลายเป็นอสูรในชั่วข้ามคืน
ด้านการฝึกตนพวกอสูรเหล่านี้เรียกได้ว่าพัฒนาก้าวกระโดด
เพราะเส้นลมปราณของพวกมันใหญ่และแข็งแกร่ง โครงกระดูกแข็งแรง สามารถแบกรับน้ำหนักที่คนไม่อาจแบกรับได้
เนื่องว่ากลางป่าเขาที่พวกมันเคยล่าสัตว์ประทังชีวิตมาอย่างยาวนานและมีแต่ผู้แข็งแกร่งที่อยู่รอดนั้นไม่ปลอดภัยสักชั่วเวลา พวกมันจึงสร้างอวัยวะสัมผัสอันว่องไวรวมถึงทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมขึ้นอีก
ที่น่ากลัวกว่านั้น เมื่ออสูรบางส่วนกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว พวกมันยังเก็บรักษาพรสวรรค์ตอนอยู่ในร่างสัตว์ก่อนหน้านี้ไว้ได้ด้วย
อย่างเช่น สายตาของอินทรี ความเร็วของเสือดาว ความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอก พิษร้ายของงู
แรกเริ่มคนยินดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะสัตว์ที่มีความเป็นมนุษย์ช่างเหมือนเสือติดปีก สามารถบรรลุงานที่ผู้คนไม่อยากไปทำได้มากมาย
แต่เมื่อสติสัมปชัญญะค่อยๆ เปิดออกทีละขั้น พวกมันไม่ยอมตนอีกต่อไป มนุษย์จึงใช้วิถีนองเลือดปราบปรามพวกสัตว์ที่บังอาจต่อต้าน
การปราบปรามครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนของมนุษย์และอสูร
ผู้คนพบว่าตันอสูรชนิดหนึ่งสามารถก่อตัวในร่างอสูรได้
อสูรต่างชนิดตันอสูรของมันก็มีผลต่อมนุษย์แตกต่างกัน
บางอันเสริมเลือดและปราณได้ บางอันสามารถชำระล้างพลังห้าธาตุ บางอันถึงขั้นทำให้มนุษย์เลียนแบบสัตว์ เรียนรู้เคล็ดลับพรสวรรค์ของพวกอสูรได้
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งใต้หล้าจึงบ้าคลั่ง เริ่มเข้าไปฆ่าอสูรในเก้าภูเขากันยกใหญ่
เขตอ๋องทั้งห้านอกจากฉิงจงอ๋องก็เป็นเช่นนี้ ฮั่ววั่งยังเคยนำทัพอีกาดำบุกสังหารกลางเขาเรียงรันที่ตั้งอยู่เขตติ้งซีอ๋องด้วยตนเอง
เมื่อเห็นว่าเผชิญวิกฤตฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เก้าอสูรที่ขั้นฝึกตนสูงสุดในนั้นรวมตัวเป็นพันธมิตรเก้ายอด เรียกให้บรรดาสัตว์ที่มีความเป็นมนุษย์ทั้งหลายมุ่งไปหลบภัยในส่วนลึกของเก้าภูเขาเพื่อเก็บรักษาเชื้อไฟ
ส่วนเหล่ามนุษย์ผู้ฝึกยุทธ์ก็แค่เหิมเกริมล่าสัตว์รอบนอกเก้าภูเขาแล้วทยอยล้มเลิก เพราะเขตห้าอ๋องแบ่งอำนาจทั้งหมดในเก้าภูเขาใหม่อีกครั้ง
ในนั้นเขายาตรากับเขาเรียงรันเป็นของเขตติ้งซีอ๋อง เขาประจัญกับเขาพยุหะเป็นของเขตเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาโยธิน เขาสูริ เขาสรรพางค์เป็นของเขตอันตงอ๋อง เขาสรรพจิตและเขาพุทธะเป็นของเขตผิงหนานอ๋อง
ด้วยว่าแบ่งตามตำแหน่งภูมิศาสตร์ เขตฉิงจงอ๋องจึงไม่มีเก้าภูเขาตั้งอยู่ แต่ตันอสูรที่อ๋องอีกสี่พระองค์ได้มาต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนในเมืองหลวงของเขตฉิงจงอ๋องทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อป้องกันคนกักตุนสินค้าหรือทำการฆ่าไก่เอาไข่
แต่สิ่งที่ทำให้คนนึกไม่ถึง นั่นคืออสูรที่ซ่อนตัวอยู่ส่วนลึกของเก้าภูเขาต่างจดจำภัยแห่งการล้างบางและความแค้นที่ญาติมิตรถูกสังหารได้ตลอดเวลา
ไม่ถึงสิบปี ด้วยการเรียกรวมตัวจากเก้าอสูรพันธมิตรเก้ายอด พวกมันเริ่มตีโต้มนุษย์เป็นการใหญ่ ประกาศสงครามกับเขตอ๋องทั้งสี่พร้อมกัน
ครั้งนี้ มนุษย์เสียหายยับเยินเพราะเกิดเหตุโดยไม่ทันตั้งตัว ถูกบีบให้ถอยออกจากเขตแดนเก้าภูเขา
สุดท้าย ฉิงจงอ๋องผู้ไม่ได้เข้าร่วมการรบราเพียงคนเดียวออกหน้าไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง อยากลงนามข้อตกลงกับเหล่าอสูรในภูเขาทั้งเก้า
แต่เก้าอสูรแห่งพันธมิตรเก้ายอดกลับไม่เชื่อใจมนุษย์คนใดทั้งสิ้น ดีที่หลังจากชิงอาณาเขตเก้าภูเขากลับไปแล้ว เหล่าอสูรก็หาได้รุกคืบโจมตีเขตแดนมนุษย์ไม่ เรื่องราวจึงจบเพียงเท่านี้
ต่อมาเก้าอสูรแห่งพันธมิตรเก้ายอดกลายเป็นเจ้าหุบเขาทั้งเก้า พวกเขามีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์มากนัก
ความเกลียดชังก็ค่อยๆ จางไปตามการชะล้างของวันเวลา
หนำซ้ำเหล่าอสูรในเก้าภูเขายังตระหนักได้ทีละนิดว่าพวกมันต้องการอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ และมนุษย์ก็ต้องการแหล่งวัตถุดิบต่างๆ ที่เหล่าอสูรมอบให้
สองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน
โดยทั่วไปขั้นสมบูรณ์ของอสูรที่บำเพ็ญตนมักอยู่ที่ประมาณสี่สิบถึงสี่สิบห้าปี การแบ่งขอบเขตของพวกเขาก็ไม่เหมือนกับมนุษย์
ก่อนสมบูรณ์ถูกเรียกว่าขั้นหนิงตัน เท่ากับขอบเขตปรมบุคคลของมนุษย์ผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อสมบูรณ์แล้วก็เข้าสู่ขั้นเฉิงตันได้เองอย่างไร้อุปสรรค ทั้งยังกลายร่างเป็นคนได้ ตอนนี้พอเทียบได้กับขอบเขตปรมบุคคลขั้นสูงสุดถึงบรมภูมิขั้นต้นของมนุษย์ สูงขึ้นอีกก็เป็นจอมปิศาจในระดับเยาตัน การฝึกตนนี้เท่ากับมนุษย์ขอบเขตบรมภูมิขั้นสูงสุด เจ้าหุบเขาทั้งเก้าล้วนอยู่ระดับนี้ยกเว้นเขาสูริ และเจ้าหุบเขาสูรินั้น เล่ากันว่าเขาก้าวสู่ระดับจินตันแล้ว เท่ากับเทพบริราชเก้าทวีปของมนุษย์
เมื่อถึงช่วงสมบูรณ์ เขาทั้งเก้าจะขับไล่คนที่โดดเด่นที่สุดออกจากภูเขา ให้พวกเขามุ่งหน้าไปแดนมนุษย์
รู้แจ้งในเรื่องทางโลก ฝึกฝนวิถีแห่งมนุษย์
ผ่านไปสามปีถึงกลับมาได้
หากภายในสามปีนี้ผู้ใดสูญเสียความตั้งใจเดิมในวิถีแห่งโลกมนุษย์หรือถูกฆ่าเพราะเสียรู้แผนชั่ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชคชะตา
นี่คือหนทางเดียวในการคัดผู้ด้อยกว่าทิ้งไป
ในเก้าภูเขา เหล่าอสูรยังคงไม่ละทิ้งการสืบทอดหลายชั่วอายุของพวกเขา
คลื่นใหญ่ซัดสาดเพื่อรักษากองกำลังยอดเยี่ยมที่สุดไว้และกำจัดผู้ถ่วงรั้ง
………………………..
“คุณหนู พวกเราเข้ารัฐติงแล้ว มุ่งหน้าไปอีกร้อยยี่สิบลี้ก็เป็นหัวเมืองรัฐติงแล้วเจ้าค่ะ!”
รถม้าตกแต่งประณีตเรียบง่ายคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนนอย่างช้าๆ
แม่นางน้อยแต่งตัวเป็นสาวใช้คนหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่หน้ารถม้า
นางสวมหมวกสานใบหนึ่ง ผ้าโปร่งบางที่ห้อยลงมาทำให้คนมองเห็นหน้าไม่ชัด
เพียงเห็นนางขัดสมาธิข้างเดียว ขาอีกข้างกางอยู่บนแผ่นกั้นครึ่งหนึ่ง เท้าแกว่งไกวกลางอากาศ ดูแล้วทะเล้นยิ่ง
ข้างกายวางเกาลัดคั่วน้ำตาลไว้ถุงหนึ่ง โยนใส่ปากเม็ดแล้วเม็ดเล่า นางเคี้ยวเกาลัดคั่วน้ำตาล พูดกับคนในตัวรถด้านหลังไม่ชัดเจน
“เจ้ากินช้าหน่อย! รถม้าโคลงเคลง ระวังสำลักเอาละ”
เสียงนุ่มนวลสายหนึ่งทอดมาจากหลังตัวรถ ทำให้คนฟังแล้วพลันรู้สึกหูอ่อนระทวย
แม้น้ำเสียงเจือแววตำหนิ แต่กลับมีความเป็นห่วงมากกว่า
“ไม่เป็นไรๆ ข้าปากใหญ่จะตาย คอหอยก็กว้าง!”
สาวใช้โบกมืออย่างไม่ใสใจนัก ในมือยังกำเกาลัดคั่วน้ำตาลไว้อีกสองเม็ด
“เอาเถอะ เช่นนั้นต่อไปข้าก็เรียกเจ้าว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วกัน! ดูมีเอกลักษณ์ดีด้วย”
ถึงไม่เห็นหน้าตาคนในตัวรถ แต่ก็รู้สึกได้ว่านางยิ้มไม่หยุด
แม้ทั้งสองเป็นนายบ่าว แต่ความสัมพันธ์นี้กลับต่างจากทั่วไป
ก็ไม่รู้ว่าสาวใช้ฟังแล้วดีใจหรือขุ่นเคือง นางฟาดฝ่ามือไปตรงก้นของม้าสีพุทราตัวหนึ่งที่ลากรถอยู่
“เสี่ยวหงวิ่งเร็ว! เกาลัดคั่วน้ำตาลของข้าจะกินหมดแล้ว เดี๋ยวถึงหัวเมืองรัฐติงข้าจะซื้อหัวไชเท้าที่สดใหม่ที่สุดให้เจ้ากิน!”
ม้าตัวนี้เหมือนฟังรู้เรื่อง เชิดหน้าแผดเสียงเป็นการตอบรับ จากนั้นก้มคอหยัดหลัง สี่กีบเริ่มห้อตะบึง แต่เทียบกับเมื่อครู่ตัวรถด้านหลังก็หาได้มีความรู้สึกโคลงเคลงเพิ่มขึ้นไม่
………………………………………….
[1] ดาบม้า ดาบยาวโค้งของทหารม้า