ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 31 พบกันอีกครานามว่าผู้ตัดสัมพันธ์-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 31 พบกันอีกครานามว่าผู้ตัดสัมพันธ์-2

ชานเมืองหัวเมืองรัฐติง

“คารวะท่านอ๋อง!”

คนนับเจ็ดพันคนคุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น เสียงประสานก้องดุจมังกรคำรามฟ้า สั่นสะเทือนจนใบไม้ร่วงหล่น

เมื่อเห็นว่าฮั่ววั่งฟื้นตัวดังเดิมแล้ว มองไม่เห็นถึงสภาพอนาถหลังสงครามแม้แต่น้อย

คนข้างต้นไม่อาจแสดงความขลาดกลัวต่อหน้าหน่วยใต้บังคับบัญชาของตนเองชั่วนิรันดร์ แม้ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตาย ก็จำต้องทนความกดดันอย่างไม่เกรงกลัว นี่เป็นความตระหนักรู้ที่ควรมีเมื่อครองตำแหน่งนี้

ฮั่ววั่งมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังกองกำลัง แต่งกายชุดลำลอง มือถือคันเบ็ดตกปลาและถือกล่องไม้ ยืนตรงอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาประสานกับตนเองอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย

หัวหน้าทหารชั้นประทวนเร่งรุดมาข้างหน้ากระซิบกับฮั่ววั่ง ชี้แจงต้นสายปลายเหตุความบาดหมางระหว่างทัพอีกาดำและเริ่นหยาง

หลังจากฮั่ววั่งได้ยินพลันยิ้มร้ายกาจมุมปาก เดินผ่านกองทหารที่คุกเข่าลงไปหยุดตรงหน้าเริ่นหยาง

“ตกปลาในแม่น้ำยามสารทฤดูเพียงลำพังหรือ”

“เหนื่อยหน่ายชื่อเสียงจอมปลอม”

“ท่านต้องการสิ่งใดจากข้า”

“กระหม่อมมิได้ต้องการสิ่งใดจากพระองค์”

“เหตุใดจึงทำลายประตูวังข้า”

“หลานชายกระหม่อมถูกใจตะปูทองเหลืองบนประตูของท่านจึงอยากเล่นบ้าง”

“ตะปูในบานประตูทุกดอกของข้าราคาสามพันตำลึง”

“กระหม่อมหาได้มีเงินชดใช้ท่านไม่”

“ติดหนี้ต้องคืนเงิน พังของต้องชดใช้ค่าเสียหาย เป็นหลักสัจธรรม”

“เช่นนั้นก็ติดหนี้เอาไว้ก่อน”

“ประตูหนึ่งบานมีตะปูมากกว่าแปดสิบเอ็ดดอก สองแสนสี่หมื่นสามพันตำลึง ประตูสามบานรวมเป็นเจ็ดแสนสองหมื่นเก้าพันตำลึง”

เริ่นหยางไม่ตอบอีก เพียงแต่มองฮั่ววั่งอย่างเงียบๆ พลันหัวเราะร่า

“ได้ เช่นนั้นก็รวมกันแล้วติดหนี้เอาไว้ก่อน”

ฮั่ววั่งกล่าว

จากนั้นเขาหันหลังกลับเผชิญหน้ากับทัพอีกาดำที่หันหลังให้ตนเอง เพียงชูมือให้สัญญาณพวกเขาพลันลุกขึ้นพรึ่บและเริ่มตั้งค่ายทหาร

ไม่นาน กระโจมทหารสีแดงชาดหลายหลังตั้งขึ้นจากพื้นดิน

………………………..

ในเมืองติ้งซีอ๋อง

บัณฑิตจางนั่งอยู่ในโรงน้ำชาแห่งนี้จนเวลาล่วงเลยถึงพลบค่ำ

ไม่รู้ว่ากาน้ำชาบนโต๊ะถูกต้มชงไปกี่ครั้งแล้ว ตอนนี้สิ่งที่รินออกมาไม่ต่างจากน้ำเปล่าสีใส

แม้ว่าชาร้อนนี้ทำให้จิตใจสงบลง แต่ไม่รู้ว่าในช่วงระยะเวลาอันยาวนานนั้นกาน้ำชานี้ได้ต้มเอาความขมขื่นระคนโศกเศร้าออกมามากน้อยเพียงใด

เช่นเดียวกับเด็กน้อยวัยเยาว์ที่ไม่ดื่มชาแต่โปรดปรานรสหวานของน้ำตาล

ชายชาตรีหนุ่มแน่น พลุ่งพล่านเลือดร้อน ชอบดื่มชาสมุนไพรปรับสมดุล

ผู้เฒ่าแก่ชรา ไม้ใกล้ฝั่ง ติดดื่มชาเข้มข้นบำรุงสมอง

นักดื่มเอนกายบนราวจับอย่างกระฉับกระเฉง แต่ต้องการเพียงชารสขมเพื่อสงบจิตใจ

ทว่าน้ำชากาที่บัณฑิตจางดื่มกลับไม่รวมอยู่ในสี่ประเภทนี้

สิ่งที่เขาดื่มเป็นชาแห่งความสัมพันธ์

มีเพียงสิ่งเก่าๆ เท่านั้นที่แสดงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เมื่อพรากจากทั้งเสียงและรูปลักษณ์ต่างเลือนราง

เพียงแต่ไม่มีผู้ใดในใต้หล้าสามารถชงน้ำชาเช่นนั้นให้เขาได้

ตลาดด้านนอกเริ่มเก็บแผงลอย หน้าแผงร้านค้าที่ปิดเร็วหลายแห่งขึ้นแผงบานประตูแล้ว มีเพียงพ่อค้าหาบเร่ยังคงเดินตะโกนไปตามตรอกซอกซอย คิดอยากหาเงินมากอีกหน่อยก่อนฟ้าจะมืดสนิท

“ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องการชาเพิ่มหรือไม่ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์เดินปรี่เข้ามาถาม

บัณฑิตจางส่ายหน้า

นี่เป็นสัญญาณว่าโรงน้ำชากำลังจะปิดบริการ

สถานที่ที่คิดว่าตนเองหรูหราจะไม่ขับไล่แขกออกไปโต้งๆ

พวกเขาเพียงใช้วิธีเช่นนี้เพื่อให้เจ้าตระหนักรู้ในตนเอง

หากพบเจอแขกไร้ยางอาย ควรทำเช่นไรดีเล่า

บัณฑิตจางก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน เนื่องจากเขาเป็นคนประเภทตระหนักรู้ในตนเองอยู่เสมอ

“เฮอะ! ไม่รู้ว่ากลิ่นยากจนเหม็นเปรี้ยวมาจากที่ใดกัน…ดื่มน้ำชาหนึ่งกามาค่อนวันกระทั่งสีน้ำชาจืดจางสิ้น! ทั้งยังไม่ต้องการสั่งน้ำชาเพิ่มอีก…แสร้งทำตัวอวดเก่งไปเพื่ออะไร!”

ราวกับว่าบัณฑิตจางไม่ได้ยินคำบ่นข้างหลัง ลุกขึ้นและเดินออกจากโรงน้ำชา

ลมยามเย็นพัดมา แสงราตรีสว่างขึ้น

ทิวทัศน์แห่งความเจริญรุ่งเรืองทั้งผืน

เงาแสงเทียนทะลุผ่านฉากกั้นลม ทะลุผ่านตะแกรงหน้าต่างอย่างล้ำลึก ดาวรุ่งอรุณเหนือศีรษะปรากฏ

เขามองไปยังทิศตะวันออกอ้อยอิ่งไม่ยอมเคลื่อนฝีเท้า และไม่สนใจมองดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ

เพียงครู่เดียว

คนผู้หนึ่งเดินไปสู่แสงตะวันสุดท้ายจนลับขอบฟ้า

ครั้นจะเรียกว่าเดิน ไม่สู้เรียกว่ากระโดดเสียดีกว่า

ร่างกายของเขาห่อด้วยผ้าห่มนวมตั้งแต่รักแร้จนถึงข้อเท้าเพื่อจำกัดการย่างก้าว

ใช้แขนขวาหนีบส่วนปลายผ้านวมที่ไขว้กันไว้ไม่ให้คลี่ออก

เหตุใดจึงไม่ใช้แขนซ้ายหนีบไว้น่ะหรือ

เพราะเขาเหลือแขนขวาเพียงข้างเดียว

มือขวาถือดาบเอาไว้

คมดาบเปรอะเปื้อนเลือดฝังแน่น สกปรกอย่างยิ่ง

ผ้าห่มนวมที่พันร่างกายก็สกปรกอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

เหมือนจะเป็นสีแดงแต่ก็เจือสีเขียวมรกต

บนผ้านวมดูเหมือนจะมีลวดลายปักอยู่สองลาย แต่มองเห็นโครงร่างไม่ชัดนัก

“หลีเอ๋อร์หรือ”

บัณฑิตจางมองเขา เหมือนกับว่าต้องใช้ความกล้าอย่างมาก เอ่ยอย่างขมขื่น

คนผู้นี้ดูเหมือนจะจำบัณฑิตจางไม่ได้ เอียงศีรษะมองครู่หนึ่ง กลับมาสนใจตนเองแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

“นับตั้งแต่ลาจากสำนักปากสอบจนถึงบัดนี้ เจ้าไม่มีความคิดอยากเป็นอาจารย์สักนิดเลยหรือ”

ในปีนั้น บัณฑิตจางหรือก็คือจางอวี่ซู มีศักดิ์เป็นผู้สั่งการสำนักสุดแกร่งของสำนักปากสอบ

ในวันนั้น บัณฑิตจางต้องเลือกบุคคลที่มีพรสวรรค์โดดเด่นและมีความอุตสาหะเหนือมนุษย์จากบรรดาศิษย์รุ่นหลังสำนักปากสอบและอบรมสั่งสอนด้วยตนเองพร้อมแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด

พรสวรรค์ของเสิ่นหลีอาจไม่ได้แกร่งกล้าที่สุด แต่ความซื่อและความพากเพียร ทำให้บัณฑิตจางประทับใจอย่างยิ่ง

เรื่องราวในช่วงเวลานั้นขอไม่กล่าวถึงในตอนนี้

จวบจนกระทั่งบัณฑิตจางเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เสิ่นหลีเอง ให้ตบแต่งกับสตรีผู้มากความสามารถอีกคนในสำนักปากสอบ

บิดามารดาของเสิ่นหลีเสียชีวิตตั้งแต่เขาเยาว์วัย ส่วนบัณฑิตจางเป็นทั้งอาจารย์และบิดา จึงยอมรับตำแหน่งระดับสูงนี้

หลังจากคำนับไหว้สามครั้ง เมื่อเห็นผู้สืบทอดของตนเองบรรลุวิถียุทธ์ เวลานี้ก็มีครอบครัวแสนสุข บัณฑิตจางอดผ่อนคลายโล่งใจและดื่มสุราอีกหลายจอกไม่ได้

วันนั้น ทั่วทั้งสำนักปากสอบเต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง ผู้คนต่างดื่มด่ำไปกับงานแห่งความสุขเปรมปรีดิ์ของคู่สรวงสวรรค์

เจ้าสาวของเสิ่นหลี เป็นร่างจุดอินหลิงเฉวียน[1]ที่หาได้ยากในรอบหลายพันปี

สตรีที่มีสภาพร่างกายเช่นนี้จำเป็นต้องนำพลังบุรุษเข้าร่างกายหลังจากร่วมหอ แล้วจึงให้ปรมาจารย์อาวุโสกระตุ้นจุดรวมประสาท นำพลังแห่งความชั่วร้ายเข้าสู่จุดตันเถียนจึงจะสามารถฝึกวิถียุทธ์บำเพ็ญเซียนได้ ครั้นถึงเวลาจะไร้อุปสรรคขวางกั้นวิถียุทธ์ ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์อย่างแน่นอน

แต่ว่าร่างจุดอินหลิงเฉวียนก็เป็นยาชูกำลังหายากและยอดเยี่ยมสำหรับเผ่าจิ้งจอกเช่นกัน

สามารถทำให้เผ่าจิ้งจอกที่อยู่ในขั้นเฉิงตัน[2]สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ทะลวงสิ่งขวางกั้นในคราวเดียว กลายเป็นปีศาจระดับเยาตันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าแห่งขุนเขา

เสิ่นหลีและเจ้าสาวของเขาเป็นคู่รักคบหากันตั้งแต่วัยเยาว์

เมื่อโตขึ้นถูกรับเลือกให้เข้าสำนักปากสอบในเวลาเดียวกัน ศึกษาเรียนรู้ฝากตัวเป็นศิษย์ อภิปรายหลักปรัชญาเต๋าบำเพ็ญร่วมกัน

ความรู้สึกระหว่างกันไม่อาจประเมินด้วยสามัญสำนึกอีกต่อไป

ในคืนนั้น เสิ่นหลีต้องใช้เวลาร่วมกับเจ้าสาวในห้องหอ

ไม่คาดคิดว่าจะมีอสูรร้ายเผ่าจิ้งจอกแปลงกายปะปนกับแขกแฝงเข้าสู่สำนักปากสอบ

ฉกฉวยโอกาสขณะเจ้าสาวรอคอยเสิ่นหลีในห้องหอ ดูดเลือดพิสุทธิ์ทั้งตัวจนเหือดแห้งแล้วดับแสงเทียนในห้อง รอคอยโอกาสหลบหนีออกจากสำนักปากสอบอย่างเงียบๆ

สงสารก็แต่เสิ่นหลีที่ไม่ทราบความจริง เพียงนึกว่าเจ้าสาวเขินอายจึงดับไฟ

ไม่คิดเลยว่าทันทีที่เขาเปิดประตู อสูรร้ายเผ่าจิ้งจอกพลันกระโจนออกมา

เสิ่นหลีใช้แขนขวางท่ามกลางความตื่นตระหนก สุดท้ายถูกมันกัดขาดสะบั้นในคราเดียว

ส่วนผู้คนที่เหลือยังคงเลี้ยงฉลองรื่นเริง หารู้ไม่ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในสถานที่นี้

หลังจากมีคนสังเกตเห็นก็เร่งรีบเข้ามา เห็นเพียงเสิ่นหลีนั่งนิ่งอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของเจ้าสาวเพียงลำพัง ศพถูกห่อด้วยผ้าห่มลายหงส์มังกรในคืนแรกที่ส่งตัวเข้าหอ แขนซ้ายที่ถูกกัดขาดสะบั้นยังคงมีเลือดไหล

บัณฑิตจางรู้ดีว่าในเวลานี้เสิ่นหลีตกอยู่ในห้วงชีพจรหัวใจจะขาดสะบั้น

หลังจากถอยห่างจากทุกคนแล้วจึงรีบใช้วิทยายุทธ์ปกป้องอินหยางสองขั้วในร่างกาย จากนั้นตนเองก็ถอยกลับไปก่อน หมายจะให้เวลาเสิ่นหลีให้เขาได้สงบสติอารมณ์เพียงลำพัง

วันรุ่งขึ้น บัณฑิตจางกลับพบว่าเสิ่นหลีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เนื่องจากสถานะพิเศษของเสิ่นหลีกอบกุมความลับมากมาย ด้วยเหตุนี้สำนักปากสอบจึงจัดว่าเสิ่นหลีเป็นคนทรยศสามารถไล่ล่าฆ่าฟัน พร้อมสาบานว่าจะสังหารเขาให้ตกตาย

แต่บัณฑิตจางจะทนมองลูกศิษย์ที่รักสูญเสียภรรยาและชีวิตไปได้อย่างไร

หลังจากเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล ภายใต้ความโมโหตนเองก็ออกจากสำนักปากสอบ สาบานว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะไล่ตามกลับมาได้

ไหนเลยจะรู้ว่าการตามหาครั้งนี้จะประหนึ่งงมเข็มในมหาสมุทร

เมื่อเขาทราบว่าอสูรร้ายเผ่าจิ้งจอกที่ดูดเลือดพิสุทธิ์ของภรรยาเสิ่นหลีบรรลุระดับเยาตัน หลังจากกลายเป็นเจ้าแห่งเขาเรียงรัน เขาก็มาเฝ้าตอรอกระต่าย[3]ถึงเขตติ้งซีอ๋อง

เวลานี้ พบเจออสูรร้ายเขาเรียงรันท่องเมืองมนุษย์โดยบังเอิญ เสิ่นหลีไม่พลาดโอกาสแก้แค้นยอดเยี่ยมเช่นนี้เด็ดขาด

เขารู้จักนิสัยใจคอลูกศิษย์เป็นอย่างดี

เขาเข้าใจดีว่าหากตนเองไม่มาขวางหยุดไว้ เช่นนั้นเมืองติ้งซีอ๋องจะเป็นที่ฝังศพของเสิ่นหลี

ฉะนั้นตนเองขอยอมติดบ่วงกรรมสวรรค์ในเส้นทางที่แตกต่างระหว่างมนุษย์และปีศาจ และจะต้องนำเขากลับสำนักปากสอบให้ได้ เขาไม่อาจทนเห็นลูกศิษย์คิดแค้นจนแทบล้มประดาตายกลายเป็นอาหารแก่ฝูงอสูรร้าย

“เสิ่นหลีตายไปกับเสี่ยวจูในคืนนั้นแล้ว ไม่มีอาจารย์อีกต่อไปแล้ว เพราะเสิ่นหลีตายไปแล้ว ส่วนตัวข้ามีนามว่าผู้ตัดสัมพันธ์”

ฝีเท้าของเสิ่นหลีไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย

แต่บัณฑิตจางมองเห็นหยดน้ำตาใสไหลอาบแก้มของเขา

………………………………………………………

[1] จุดอินหลิงเฉวียน หรือการสนธิพลังแห่งเส้นเอ็น มีหน้าที่หลักในการระบายเส้นเอ็น ไขข้อลื่นไหล และช่วยระบายตับและถุงน้ำดี

[2] ขั้นเฉิงตัน เป็นการบำเพ็ญเซียนบรรลุขั้นดื่มน้ำอมฤตจนเป็นอมตะ

[3] เฝ้าตอรอกระต่าย หมายถึง เฝ้ารอคอยผลประโยชน์เมื่อมีโอกาส โดยไม่คิดลงทุนทำอะไร

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท