บทที่ 36 ปลิวตามสายลมวสันต์ฤดูทั่วทั้งรัฐติง-1
ค่ายทหารทัพอีกาดำ ชานเมืองหัวเมืองรัฐติง
“ติ้งซีอ๋องไม่พบกันนานสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปในกระโจม โค้งคำนับเล็กน้อยไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง นับว่าเป็นการกล่าวทักทาย
“ฮ่าๆ ข้าได้ยินมาว่าผู้แทนการตรวจสอบหลิวเลื่อนขั้นเป็นนายกอง ช่างน่ายินดีจริงๆ! ครั้งก่อนพบกันในจวนผู้ควบคุมรัฐก็รู้สึกว่านายกองหลิวรูปงามไม่ธรรมดา สติปัญญาโดดเด่นปฏิบัติหน้าที่ซื่อตรงทั้งยังคล่องแคล่วว่องไว รู้จักกาลเทศะมีความพอดี หากเปรียบกับบุตรชายของทังหมิงตัดสินได้ทันที นี่เรียกว่าวีรบุรุษหนุ่มอย่างแท้จริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึงว่าฮั่ววั่งจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้…เพิ่งพบหน้าครั้งแรก คำกล่าวค่อนไปทางยกยอปอปั้นเสียอย่างนั้น
ระหว่างทางที่เขามา ในสมองเอาแต่คิดหาวาจาคมคายไม่น้อยกว่าร้อยวิธีมารับมือกับความลำบากใจที่ฮั่ววั่งอาจมอบให้ แต่สถานการณ์ประเภทนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่า
“ติ้งซีอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้ว…ที่กล่าวมาก็เป็นเพราะระยะนี้อาณาจักรติ้งซีอ๋องกำลังเผชิญเหตุเภทภัยไม่รู้จบ ยามนี้คนดีเลวผสมปนเป กระหม่อมเพียงแต่อาศัยบารมีท่านอ๋อง โชคดีเล็กน้อยจึงประสบความสำเร็จโดยบังเอิญ ทว่าคำชมเชยเช่นนี้ของท่านอ๋องกระหม่อมหามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
สติปัญญาของหลิวรุ่ยอิ่งเฉียบแหลมเช่นกัน คิดเพียงชั่วครู่พลันตอบได้อย่างเหมาะสม
ในวาจาก็แอบปรามาสฮั่ววั่งกลายๆ เช่นกัน
ต้องขอบคุณความโกลาหลภายใต้การปกครองของท่าน คนชั่วช้าระยำปรากฏตัว
ไม่เช่นนั้นกระหม่อมจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งสูงได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะท่านขาดความสามารถแต่แรก
หัวหน้าอาคารฉินอยู่ด้านหลังหลิวรุ่ยอิ่งเพียงครึ่งก้าว ได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งกล่าววาจาเช่นนี้พลันรู้สึกว่าเขายังเด็กเกินไปนัก…
แม้เจ้าจะเป็นนายกองกรมสืบสวน แต่ฐานะต่างกับฮั่ววั่งมากโข
อย่างไรก็ไม่ควรกล่าววาจาเช่นนี้กับหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า…
ทว่าได้ยินวาจาก่อนหน้าของฮั่ววั่ง ราวกับว่าทั้งสองเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนและคุ้นเคยกันดี…ทันใดนั้นพลันคิดว่าครั้งก่อนเมื่อทั้งสองพบกันเกิดความตึงเครียดเล็กน้อยขึ้นหรือไม่ ถึงขั้นที่ครั้งนี้เจ้าหนุ่มหลิวรุ่ยอิ่งโกรธจัดจนต้องแข่งความเหนือกว่า ปากไวใจเร็วจนพูดไม่คิด
ฉะนั้น เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กล่าววาจาใดๆ เว้นเสียจะจำเป็นจริงๆ
ประการแรกฟังเกี่ยวกับอดีตระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับติ้งซีอ๋อง ประการที่สองคอยดูว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีค่ามากเพียงไหน
ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเป็นถึงหินฝนทองอันยอดเยี่ยมที่สุด
แน่นอนว่าฮั่ววั่งได้ยินคำพูดเสียดสีในวาจาของหลิวรุ่ยอิ่งแต่ไม่เอามาใส่ใจ ยังคงเอ่ยชวนหลิวรุ่ยอิ่งให้นั่งลงพร้อมถามอย่างสุภาพว่าจะต้มสุราหรือชงชา
แม้ว่าฮั่ววั่งจะควบคุมตนเองได้ดียิ่ง แต่สายตากลับมองกระบี่ดาราในมือหลิวรุ่ยอิ่งไม่วางตา
รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาหัวหน้าอาคารฉิน ทั้งยังมีข้อสงสัยในใจเช่นกัน
เขาไม่ทราบความลับของกระบี่ดารา แต่สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าจากสายตาของฮั่ววั่ง
แม้ว่าเขาจะปิดบังได้ดี แต่คนนอกมองเห็นชัดเจน
ยิ่งกว่านั้นหัวหน้าอาคารฉินก็เป็นผู้มีปัญญาฉลาดหลักแหลม
เขาเพียงรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งนายกองที่เพิ่งได้รับเลื่อนตำแหน่งผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา…ยังมีความลับมากมายซ่อนอยู่ในตัวเขา เบื้องหลังอาจจะมีบางอย่างอยู่นอกเหนือจากที่ตนเองคิดก็เป็นได้
หลิวรุ่ยอิ่งเลือกไม่ดื่มสุรา เขาพยายามทำให้สมองปลอดโปร่งเต็มที่
ยอมเผชิญโฉมหน้าแท้จริงอย่างเปิดเผยดีกว่าเผชิญศัตรูแฝงรอยยิ้มซ่อนมีด
โจมตีเปิดเผยต่อกรง่าย ลอบโจมตีป้องกันยาก
ทว่ารอยยิ้มซ่อนมีดเป็นสิ่งต้านทานได้ยากที่สุด
ไม่มีทางรู้ว่าเมื่อใดที่ใด ปากที่เอ่ยวาจาคมคายกล่าวชมเสมอจะงอกเขี้ยวดุร้ายโจมตีเอาชีวิตเจ้าที่กำลังเพลิดเพลินไปกับคำสรรเสริญเยินยอและแสร้งทำเป็นถ่อมตัว
ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร มีจิตใจสวยงามแบบใดก็ตาม มีรอยยิ้มประดับใบหน้าแต่กลับเศร้าโศกในใจ ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ใช้ความเมตตาจอมปลอมซ่อนความชั่วร้ายสุดขั้วไว้ในใจ เช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเจ้าไม่ใช่คนดีถึงหมื่นเท่า
ประโยชน์หนึ่งเดียวก็คือ เจ้าอาจจะแย้มยิ้มกระทั่งวายชนม์
หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมสติ แม้ว่าตนเองจะก้มศีรษะถือจอกชา แต่ก็ไม่ลืมเฝ้าระวังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเช่นกัน
ฮั่ววั่งสัมผัสได้ว่าจิตของหลิวรุ่ยอิ่งเดินเตร่อยู่นอกกระโจม บ้างก็เฉียดผ่านเขาไปแต่ไม่กล้าหยุดชะงักนาน…
เพียงแต่เพิ่งเฉียดผ่านไป เขาพลันสัมผัสได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งแตกต่างจากครั้งก่อนมาก
ในจิตวิญญาณแผ่ซ่านถึงความเด็ดเดี่ยว แข็งแกร่ง ความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีพลังรุนแรง สังหารและกล้าหาญอีกหนึ่งชั้น
หากกล่าวว่าหลิวรุ่ยอิ่งในครั้งก่อนดุจจันทร์กระจ่างส่องสว่างท่ามกลางเนินป่าสนและน้ำวิสุทธิ์หยดลงบนโขดหิน เช่นนั้นในยามนี้ก็เป็นดั่งสุริยาแผดเผาในที่สูงและน้ำตกเชี่ยวกราก
ฮั่ววั่งรู้สึกว่าวาจาสุภาพที่ตนเองเพิ่งกล่าวไป ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กล่าวเกินจริง…
ในบรรดาคนหนุ่มสาว ผู้มีพรสวรรค์เก่งกาจที่ตนเองเคยพานพบดั่งปลาไนในน้ำ[1]
ทว่าชื่นชมก็ส่วนชื่นชม แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เขาทึ่งในพรสวรรค์ได้
วันนี้ได้พบหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้งกลับทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย…กระทั่งรู้สึกว่าความสงสัยใคร่รู้ที่ไม่ได้สัมผัสมานานถูกเขากระตุ้นเข้าแล้ว
ในขณะที่จิตวิญญาณของหลิวรุ่ยอิ่งสำรวจที่อื่น ฮั่ววั่งก็แผ่รังสีจิตวิญญาณสำรวจเขา
น่าเสียดาย…ฮั่ววั่งไม่รู้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของบัณฑิตจาง
ฉะนั้นจิตวิญญาณจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับตนเองและไม่อาจตัดขาดการเชื่อมต่อได้
เขาต้องการค้นหาความจริงก่อนที่จิตวิญญาณของหลิวรุ่ยอิ่งจะวกกลับเข้ากระโจม
คิดไม่ถึงว่า ขณะที่จิตวิญญาณของฮั่ววั่งอยู่ห่างจากร่างหลิวรุ่ยอิ่งประมาณสามชุ่นพลันรู้สึกถึงจิตกระบี่นุ่มนวลรุนแรงสายหนึ่ง
ดุจดั่งมหาสมุทรรวมไว้ซึ่งแม่น้ำร้อยสายและภูผาสูงตั้งตระหง่าน…
จิตกระบี่นี้ก่อตัวเป็นชั้นป้องกันบางๆ รอบกายหลิวรุ่ยอิ่ง ยามปกติมักไม่เผยออกมา เพียงแต่ยามนี้ถูกกระตุ้นออกมาเพราะการหยั่งเชิงของฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น แต่กลับฟื้นคืนจิตวิญญาณอย่างเงียบเชียบ
ความสงสัยในใจกลับยิ่งลึกลงไป เพราะเขาไม่เคยพบเจอวิทยายุทธ์ที่ฝึกจนปกป้องร่างกายจิตกระบี่เช่นนี้…
แม้แต่เริ่นหยางที่ฝึกตนดั่งเทพกระบี่สวรรค์ ฮั่ววั่งก็เคยพิสูจน์อย่างละเอียดมาแล้ว ไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้…
‘หรือจะเป็นพลังแห่งกระบี่ดารา’
ฮั่ววั่งไม่คิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะมีเหตุบังเอิญได้รับพลังวิชาแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำได้เพียงนำสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่าเป็นพลังแห่งกระบี่ดาราเท่านั้น
ขณะนี้เอง กลับริษยาหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นอีก
เมื่อคิดว่าตนเองพยายามเข้าใจกระบี่ดารามาตั้งไม่รู้กี่ปี กลับยังไม่อาจใช้พลังแห่งกระบี่ดาราได้…หลิวรุ่ยอิ่งวัยเพียงยี่สิบปี บางทีแม้แต่กระบี่ดาราคือสิ่งใดกลับไม่ทราบด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าจะได้รับการถือหางเช่นนี้
ครั้นความริษยาก่อตัวขึ้นในใจ ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างต่อเนื่องให้แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ด้านหน้าโต๊ะของฮั่ววั่ง ยังคงวางเตาต้มสุราดินแดงเผาอยู่
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าท่าทางต้มสุราไปพลางดื่มไปพลางของฮั่ววั่งช่างดูกล้าหาญสูงส่งพลันจ้องมองด้วยความสนใจ
จวบจนเมื่อครู่ เขาพลันรู้สึกว่ากระบี่หยางแท้อวี้จิงที่คอยรักษาความอบอุ่นตำหนักเหลืองในร่างกายตลอดเวลาหลังจากทะลวงจุดเหม่าในครั้งก่อนยกปลายกระบี่ขึ้นเล็กน้อย
‘หรือว่ามันจะฟื้นตัวดีแล้ว’
หลิวรุ่ยอิ่งโปรดปรานกระบี่หยางแท้อวี้จิงยิ่งนัก อย่างไรเสียก็ช่วยให้ตนเองทะลวงจุดในระบบจนบรรลุบรมภูมิเทียมสำเร็จ
เขาเคยพยายามใช้จิตสื่อสารกับมันหลายครั้ง ล้วนแล้วแต่ได้รับการตอบสนองอย่างแผ่วเบา ราวกับเด็กทารกเข้าใจธรรมชาติมนุษย์
ฮั่ววั่งยกหม้อทองแดงบนเตาต้มสุราดินแดงเผาแล้วดื่ม
“ผู้แทนการตรวจสอบหลิว เชิญ!”
ฮั่ววั่งผายมือขวาให้หลิวรุ่ยอิ่งอย่างมีมารยาทยิ่ง เชิญเขาออกจากกระโจม
หลิวรุ่ยอิ่งเดินออกนอกกระโจมพลันเหลือบมอง นอกเหนือจากกระโจมที่อยู่ข้างหลังเขา กระโจมทหารทั้งหมดที่เหลือล้วนถูกทัพอีกาดำขนย้ายและจัดเก็บอย่างเหมาะสม
กล่าวได้ว่าช่างมีวินัยกวดขัน คล่องแคล่วว่องไว
หลิวรุ่ยอิ่งจงใจตามหลังฮั่ววั่งครึ่งก้าว หมายจะใช้สิ่งนี้เน้นย้ำความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา
ทว่าฮั่ววั่งกลับสรรหาวาจาชวนเขาพูดคุย กระทั่งคนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“นายกองหลิว ที่นี่มีถนนสายเล็กซึ่งเป็นทางลัดไปค่ายทหารแนวหน้าเมืองจี๋อิงได้”
ฮั่ววั่งกล่าวหลังจากควบม้า
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ใส่ใจมากนักว่าจะเลือกเส้นทางไหน แต่ฮั่ววั่งจงใจชี้แนะเช่นนี้กลับทำให้เขาคิดเพิ่มขึ้นอีกสองตลบ
‘หรือว่า เขารีบร้อนจนรอไม่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ก็อาจใช่…มีกบฏอยู่ภายใต้การปกครองของตนเองเช่นนี้…เป็นผู้ใดก็ล้วนเดือดดาลเป็นฟืนไฟ ไม่อาจเสียเวลาแม้เพียงชั่วครู่!’
หลิวรุ่ยอิ่งหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้ฮั่ววั่งในใจ
ความจริงแล้ว ฮั่ววั่งจะเป็นคนกระทำการลวกๆ ไม่ใส่ใจได้อย่างไร
หากเขารีบร้อนมากนัก เช่นนั้นเมื่อครู่คงจะเดินทางทันทีที่หลิวรุ่ยอิ่งมาถึง…จะต้มสุราดื่มชากล่าวทักทายได้อย่างไร
เขาแสดงออกเช่นนี้ ประการแรกเป็นเพราะใช้ถนนสายเล็กสามารถหลีกเลี่ยงหูตาวุ่นวายของผู้คนบนท้องถนนได้
หากตนเองเดินทางร่วมกับคนจากกรมสอบสวนย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
หนักหน่อยก็ทำลายชื่อเสียง เบาหน่อยก็มีแต่เพิ่มความสงสัยเท่านั้น
ประการที่สองคือลักษณะภูมิประเทศเส้นทางสายเล็กเปลี่ยนแปลงบ่อยทั้งรกร้างไร้ผู้คน และสะดวกให้ตนเองหยั่งเชิงระหว่างเดินทางมากขึ้น
ฮั่ววั่งมองว่ากระบี่ดาราในมือหลิวรุ่ยอิ่งเป็นสมบัติไปเสียแล้ว
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ฉะนั้นยิ่งเข้าใจหลิวรุ่ยอิ่งชัดเจนมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากเพียงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จิตกระบี่ลึกลับที่ปกป้องรอบกายหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่ทำให้ฮั่ววั่งสงสัยใคร่รู้ยิ่งขึ้น สำหรับเขาแล้ว สิ่งใดที่ไม่รู้จักล้วนอาจกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นตนเองได้
อย่างไรเสีย ไม่ว่าถั่วงอกจะต้นเล็กเพียงไหนเมื่องอกแล้วล้วนสามารถสั่นคลอนหินก้อนใหญ่ได้ทั้งสิ้น
วิธีกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ก็คือการคั่วถั่วให้สุกและบดขยี้ให้ละเอียด
………………………..
ภายในจวนผู้ควบคุมรัฐติง
ครั้นทังหมิงได้รับราชโองการจึงไม่กล้าเมินเฉย
จัดเก็บสัมภาระอย่างรวดเร็วและง่ายดายพร้อมนับกำลังคน
เหลือผู้ดูแลรัฐอาวุโสไว้ดูแลควบคุมจวนผู้ควบคุมรัฐ
ส่วนตัวเขานำทหารคนสนิทในจวนพร้อมด้วยขันทีจวนอีกสองคนรีบเร่งไปยังชายแดนเมืองจี๋อิง ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทัพกลางของเฮ่อโหย่วเจี้ยน
โจวอวิ๋นอวิ่นน้ำตาอาบทั่วใบหน้ากล่าวอำลาสามีที่ประตูจวน
แม้ว่านิสัยของนางจะเย่อหยิ่ง กระทำการใดโดยขาดความไตร่ตรองและไร้ขอบเขตไปบ้าง
ทว่าเมื่อต้องเผชิญความผิดถูกครั้งใหญ่เช่นนี้ แต่ไรก็ไม่เคยยุ่มย่ามวุ่นวาย
“อีกกี่วันจึงจะกลับมาหรือ”
โจวอวิ๋นอวิ่นกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น
ทังหมิงถือดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบในมือขวา ส่วนมือซ้ายลูบไล้ใบหน้าภรรยาที่รัก
ไม่มีคำกล่าววาจาใด เพียงแค่ระบายรอยยิ้มบางๆ
จากนั้นวางมือบนศีรษะของนางแล้วตบเบาๆ
“รักษาตัวด้วย ดูแลซงเอ๋อร์ให้ดี”
ทังหมิงกล่าวจบก็ควบม้าสะบัดแส้ทะยานคลุกฝุ่นออกไป
โจวอวิ๋นอวิ่นมองดูแผ่นหลังของเขาที่ไกลออกไป ไม่ได้เดินทางนานมากแล้ว
นางพิงเสาที่ตั้งตระหง่านของจวนผู้ควบคุมรัฐ รู้สึกว่าวิญญาณครึ่งหนึ่งของตนตามไปกับทังหมิง ส่วนวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับทังจงซงผู้เป็นบุตรชาย
ส่วนตัวนางเองกลับไม่เหลือสิ่งใดเลย
หลังจากกลับจวน โจวอวิ๋นอวิ่นให้ข้ารับใช้ไปเรียกทังจงซงหมายจะกล่าวเตือน
เพื่อให้เขาอยู่ในจวนดีๆ ในระยะนี้ ห้ามเที่ยวเตร่ไปทั่วหรือสร้างปัญหา
นางคิดตกอย่างชัดเจนแล้ว…
หากถึงยามหัวเลี้ยวหัวต่อบ้านแตกสาแหรกขาดบุตรชายยังดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงละก็ นางก็จะวางยาเขาเสีย แล้วค่อยส่งคนแอบพาหนีออกจากเมือง เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไปขอลี้ภัยกับชาวบ้านที่อื่น
แม้ว่าจะสูญเสียทรัพย์สมบัติ ย่อมดีกว่าศีรษะขาดร่วงพื้นอยู่มากโข
ต่อให้วันข้างหน้าจะเกิดแก่เจ็บตายในอีกไม่กี่ปี เช่นนั้นก็นับว่ารักษาชีวิตได้อย่างปลอดภัย
ครั้นคิดถึงสิ่งนี้ โจวอวิ๋นอวิ่นก็อดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้งไม่ได้
“ว่าอย่างไรนะ! ซงเอ๋อร์ไม่อยู่ในจวนหรือ”
ยาชาของนางยังไม่ทันได้เตรียมพร้อม เจ้าเด็กสารเลวนี่กลับแอบออกไปแล้ว! หรือว่าเขาจะมีความสามารถรู้ล่วงหน้ากันนะ
ในขณะนั้น โจวอวิ๋นอวิ่นไม่มีเวลาให้ร่ำไห้อีกต่อไป
นางทราบดีว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบทั่วกันในยามนี้ ทำได้เพียงรีบตามผู้ดูแลรัฐอาวุโสจัดเตรียมข้ารับใช้ที่คุ้นเคยและเชื่อถือได้แฝงเข้าไปตรวจสอบในเมือง พยายามตามหาเจ้าพ่อคุณทูนหัวให้พบโดยเร็วที่สุด
แท้จริงแล้ว ทังจงซงออกเดินทางก่อนที่ทังหมิงจะออกจากจวนเสียอีก
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ชายแดน เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของเผียวเจิ้งหงยิ่งกว่า จนในที่สุดก็นั่งไม่ติด
อีกทั้งเขาเชื่อว่าด้วยความสามารถบิดาของตนเองประกอบกับทัพทหารหลายแสนนายในมือเฮ่อโหย่วเจี้ยนที่ชายแดน
แม้จะพ่ายแพ้ให้ทัพอีกาดำและฮั่ววั่ง แต่สร้างความวุ่นวายเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา
ตราบใดที่สามารถสร้างช่องโหว่ได้เพียงชั่วครู่ เชื่อว่าบิดาของตนจะสามารถหาวิธีหลบหนีได้
ทว่าทางด้านของตนเองกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
……………………………………………………….
[1] ปลาไนในน้ำ ใช้เปรียบเปรยกับสิ่งที่เป็นที่นิยมและมีจำนวนมาก