บทที่ 37 ปลิวตามสายลมวสันต์ฤดูทั่วทั้งรัฐติง-2
เผียวเจิ้งหงทราบแผนการทุกอย่างของตนและมีส่วนร่วมในกระบวนการเกือบทั้งหมด
แม้ไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องใดๆ กับเขา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะไม่สูญเปล่าและกลายเป็นอาภรณ์สมรสให้ผู้อื่นสวมใส่[1]หรอกหรือ
เขาไม่เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีผู้ซื่อสัตย์กล้าหาญอะไรพรรค์นั้น…
เมื่อเทียบกับการเข้าใจความสัมพันธ์ ทังจงซงยอมรับว่าสร้างความประทับใจเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า
คำว่าประโยชน์ มีเจ็ดลำดับขีด เช่นเดียวกับดาวไถที่รู้จักในดาราจักร
มีสิ่งใดในใต้หล้าที่ไม่อาจวัดค่าด้วยราคาหรือไม่
ทังจงซงเชื่อมั่นว่าทุกเรื่องที่ตนทำและทุกคนที่ใช้งานล้วนแล้วแต่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดค้างใดๆ
แม้เจ้าจะเสี่ยงชีวิตเพื่อข้า เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับรางวัลเทียบเท่าความเพียรพยายาม
สำหรับได้รับมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเจ้าพยายามมากเพียงไหนและชีวิตสำคัญมากเพียงใด
แก่นแท้ซื่อสัตย์สองคำนี้ เป็นเพียงคำที่นักบวชใช้พร่ำสอนเทศนาเท่านั้น
เจ้าอ่านตำราเรียนของเจ้าไป ข้าเดินไปตามหนทางยุทธจักรของข้า
หาได้เป็นการดูหมิ่นอีกฝ่ายไม่ เพียงแต่วาสนาบีบบังคับให้กระทำเช่นนั้นโดยไร้ทางเลือก…
ครั้นได้รับการสักการะบนแท่นสูงในอาราม ผู้คนล้วนเติมธูปเพิ่มไฟตะเกียง เจ้าก็จะเป็นนักบวช
แต่ตราบใดที่ยังมีผู้กล้าหาญทำลายแท่นสูงนั้นไปเสีย
นักบวชที่ร่วงลงกับพื้น ความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากคนไร้ความสามารถนัก
ยามนี้ บรรดาผู้ศรัทธาบูชาถวายของเซ่นไหว้ อธิษฐานให้แคล้วคลาดเภทภัยไม่เคยขาดเหล่านั้นล้วนหายไปจนสิ้น
แม้ว่าทังจงซงไม่เคยทำลายแท่นบูชานักบวช และไม่มีผู้ใดสร้างความวุ่นวายแก่สถานที่ประกอบพิธีของนักบวช
แต่อย่างไรก็เข้าใจหลักการนี้มาตั้งแต่ยังเล็กแล้ว
นับตั้งแต่รู้ความ เมื่อใดที่ออกจวนแล้วผ่านอาราม หรือเห็นผู้ใดก็ตามถือรูปปั้นเทพเจ้าโอ้อวดผ่านไป เขาอดถ่มน้ำลายตามหลังถึงสองทีไม่ได้
ถ่มหนึ่งครั้งให้กับความหน้าซื่อใจคดของนักบวชและเทพเจ้าเหล่านั้น
พวกท่านกินของบูชาเซ่นไหว้ไม่เคยขาด แต่กลับไม่เคยเห็นท่านสำแดงฤทธิ์เดชปกปักรักษา
ถ่มสองครั้งให้กับผู้ศรัทธาเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นที่หลงเชื่องมงายไม่ฟังคำ
เต็มใจถวายจนสิ้นเนื้อประดาตัว ยอมโขกศีรษะจนจุดอิ้นถัง[2]หลั่งโลหิต แต่ไม่ยอมลองมุมานะปฏิบัติด้วยตนเอง
ลมและน้ำค้างค่ำคืนนี้ จะเทียบเคียงดวงดาราเมื่อวานได้อย่างไร
ความจริงแสนเรียบง่ายเช่นนี้ แต่กลับมีคนมากมายไม่เข้าใจ
ทังจงซงสงสัยใคร่รู้จึงตามกระแสแบ่งปันกันกินขี้เถ้าหนึ่งกำมือกับบรรดาผู้ศรัทธา
ผลที่ได้ไม่มีสิ่งใดนอกจากท้องเสียอยู่สามวัน
ทั้งยังบริสุทธิ์จนได้รับฉายานามว่า ‘คุณชายตกสวรรค์ชั้นเก้า’
เพื่อพรรณณาถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่เขาอาศัยการเวียนว่ายตายเกิดของพืชพันธุ์ธัญญาหาร[3]ทุกวันราวกับดวงดาราตกสวรรค์ชั้นเก้า
………………………..
สามวันก่อน ในคืนฝนพรำ บนถนนเส้นทางที่ไม่รู้จัก…
เผียวเจิ้งหงมีกระบี่หนักอยู่ในมือแต่ก็ไม่เกรงกลัวศัตรูที่เข้ามา
แต่เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ท่านมีอดีตปัจจุบันอันใด’ กลับอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้
พิจารณาจากรูปลักษณ์การแต่งกาย นี่ไม่ใช่นักเล่าเรื่องประหลาดผู้นั้นที่ทังจงซงพาหลิวรุ่ยอิ่งไปฟังเรื่องเล่าที่โรงเรืองขวัญหรอกหรือ
“เสียงเล่าพิฆาตทางสายเก่า อินหยางพานพบ”
ยามนี้ นักเล่าเรื่องเรียกขานตนเองว่า ‘นักเล่าเสียงพิฆาต’
ไม่มีผู้ใดทราบว่าสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนย่อมมีนักเล่าเรื่องที่มีเรื่องราวในตำนานไม่รู้จบ แท้จริงนั้นเป็นมือสังหารแถวหน้าในอาณาจักรห้าอ๋อง มีระดับฝึกตนขั้นสูงสุดของนักดาบ
หนึ่งดาบปีศาจสวรรค์ ครั้นพินิจพิเคราะห์ ทำให้ผิวหนังมนุษย์ถูกเฉือนออกเป็นวง
หนึ่งเสียงมารทะลวงหทัย ดับสิ้นชิงวิญญาณ ทำให้มนุษย์ถูกแรงสั่นสะเทือนจนเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว
แต่ยอมรับปัจจุบันและขายอดีต กลับมีรสชาติแตกต่างกันออกไป
เขารับเอาชีวิตของท่านวันนี้ แล้วเล่าการเดินทางของท่านเมื่อวาน
ในฐานะนักเล่าเรื่อง สิ่งที่เล่าย่อมไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
ก่อนทุกคนจะเสียชีวิตล้วนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
กล่าวมาอาจจะไม่มีผู้ใดเชื่อ หากท่านสามารถเล่าเรื่องจนสร้างความประทับใจ เช่นนั้นไว้ชีวิตท่านก็ใช่ว่าจะไม่ได้…
เป็นเพราะเหตุนี้ เขาที่มีความสามารถโดดเด่นกลับทำให้ลูกค้ายอมอ่อนข้อให้
ท้ายที่สุดแล้วผู้ใดจะทนไหวจนต้องใช้จ่ายเงินของตนเองมากมาย ทว่าศัตรูกลับใช้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นก็สามารถมีชีวิตกระโดดโลดเต้นต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงบอกลูกค้าไปว่า…
ตนเองเล่าเรื่องเพียงเพราะชอบความสนุกสนาน แต่ตนเองจำต้องเล่าเรื่องเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
มือสังหารระดับฝึกตนขั้นสูงสุดกลับล้มเลิกการลอบสังหารเพราะเรื่องราวในตำนานของเป้าหมายโดยบังเอิญ
ทั้งๆ ที่กระทำเรื่องเลวร้ายที่สุด แต่กลับโปรดปรานความเพลิดเพลินในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ
หลังจากสังหารได้ค่าตอบแทนสูงลิ่ว กลับยังต้องอาศัยเงินเพียงเล็กน้อยเล่าเรื่องเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
นี่เป็นวัฏจักรไม่รู้จบ เมื่อมองกลับกันล้วนเหมือนกันทุกประการ
ในใต้หล้านี้มีผู้ใดย้อนแย้งยิ่งกว่าเขาอีกหรือไม่
ท่านเล่าเรื่อง ก็ต้องเล่าเรื่องให้ดี
ท่านสังหารคน ก็ต้องตั้งใจสังหารคน
แต่ท่านกลับต้องการใช้ทั้งวิธีเล่าเรื่องเพื่อสังหารคนและสังหารคนเพื่อเล่าเรื่องด้วย
เขาสามารถอยู่รอดปลอดภัยจวบจนทุกวันนี้ช่างนับเป็นปาฏิหาริย์แห่งยุทธภพ…
เผียวเจิ้งหงรู้ว่าประสบการณ์ของตนยังตื้นเขิน…คงไม่มีเรื่องราวใดสร้างความประทับใจให้ผู้เฒ่าพเนจรสองสายธรรมะและอธรรมมานานหลายปีได้
ในด้านฝึกตน เขาเพิ่งเข้าขั้นปรมบุคคลเท่านั้น…
หลบหลีกไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามสู้…ลองดูว่าจะสามารถคว้าโอกาสเอาชีวิตรอดได้หรือไม่
เผียวเจิ้งหงจับกระบี่หนักกลับหัว ก้าวเท้าตามวิชาเดินดาราทะยานไปทางนักเล่าเสียงพิฆาต
เห็นเพียงนักเล่าเสียงพิฆาตดึงดาบช้าๆ
คมดาบตวัดโค้งกลางอากาศมุ่งหน้าสังหารเผียวเจิ้งหง
เผียวเจิ้งหงเห็นสถานการณ์ รีบร้อนออกแรง หันปลายกระบี่หนักปักแทงไปข้างหน้าตนเองเพื่อหยุดรั้งร่างกาย
เนื่องจากเร่งความเร็วการทะยานก่อนหน้านี้ กระบี่หนักจึงไถพื้นจนเกิดร่องลึกกว่าสามจั้งจนหยุดพลังการรุกคืบได้
อย่างไรก็ตามด้วยวิธีนี้กลับหลบเลี่ยงปลายดาบพ้น
สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ
ปลายดาบโค้งนี้วนเวียนอยู่รอบกายเผียวเจิ้งหง จากนั้นทิ้งดิ่งลงเล็กน้อยแล้วโจมตีจากด้านหลังอีกครั้ง
‘แกร๊ง!’
ระหว่างสายฟ้าและหินเหล็กไฟ
สองมือเผียวเจิ้งหงจับด้ามกระบี่ไว้แน่น
สองแขนออกแรงใช้ตัวกระบี่แทงทะลุพื้นเป็นจุดศูนย์กลาง
สองเท้าลอยเหนือพื้นหมุนรอบกระบี่หนักแต่กลับหมุนไปเกินครึ่งวงกลม
กระทั่งคมดาบกระทบกับกระบี่หนักเข้าพอดี จนเกิดเสียงเหล็กตัดกัน
เผียวเจิ้งหงรู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาลจากด้ามกระบี่
ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ง่ามระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้แตกอ้า…
ทั้งคนกระเด็นลอยละลิ่วไปไกลหลายจั้ง หงายหน้ากระแทกพื้น
‘พรวด!’
กระอักเลือดพุ่ง ภายในบาดเจ็บสาหัสทีเดียว…
“หึๆ!”
นักเล่าเสียงพิฆาตแค่นหัวเราะเยาะ
“ไม่ดี!”
แม้เผียวเจิ้งหงจะบาดเจ็บภายใน แต่โชคดีที่เมื่อครู่กระอักเลือดออกมา ตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
พลังอินหยางในร่างกายไหลเวียนราบรื่น ลมหายใจในจุดตันเถียนไม่เสียหาย ยังคงมีแรงต่อสู้ได้
แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ย เขากลับอุดหูโดยไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น
คาดไม่ถึง
วิชาคลื่นเสียงของนักเล่าเสียงพิฆาตไม่ได้เข้าสู่หูทั้งสองข้าง
เผียวเจิ้งหงรู้สึกหัวใจสั่นสะท้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
ราวกับมีคนกอบกุมหัวใจไว้ในกำมือแล้วบีบมันแรงๆ
ดังนั้นเขาจึงรีบกระตุ้นอินหยางสองขั้วเพิ่มพลังหมายจะปกป้องหัวใจ
แต่ตามความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวพลังของเขา แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเช่นกัน
ระดับแรงสั่นสะเทือนยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…
เผียวเจิ้งหงไร้ทางเลือก ทำได้เพียงทำในสิ่งที่ผู้กล้าหาญตัดสินใจเด็ดขาดในช่วงวิกฤต
สองมือซ้ายขวา นิ้วดุจมีด
แทงจุดเทียนจง[4]ถัดจากกระดูกไหปลาร้าซ้ายขวาอย่างแรงจนสอดเข้าไปทั้งมือ
จากนั้นใช้แรงของตนเองฝืนถ่ายเทพลังประหลาดที่นักเล่าเสียงพิฆาตอัดวิชาพลังคลื่นเสียงเข้าสู่ร่างกายตนเองออกไปทางรูทะลวงทั้งสอง
“เจ้าไม่เลวเลยนี่ ยังไม่เคยมีผู้ใดคิดวิธีนี้ออก”
นักเล่าเสียงพิฆาตค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพลางพูด แต่ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดอีก
“นั่นเป็นเพราะข้ากลัวตายกว่าพวกเขากระมัง…”
เผียวเจิ้งหงดึงพลังคลื่นเสียงปั่นป่วนในร่างกายออกมาแล้วหยัดกายยืนขึ้นอีกครั้งพลางเอ่ย
เคลื่อนไหวรวดเร็วและตั้งท่าระแวดระวังโดยไร้ช่องโหว่
“สู้กล่าวว่าพวกเขาต่างไม่อยากมีชีวิตรอดเท่าเจ้าเสียดีกว่า”
นักเล่าเสียงพิฆาตส่ายศีรษะพลางกล่าว
ช่วงเวลาขณะนี้
ทังจงซงเร่งความเร็วขึ้น ทะยานย้อนไปตามเส้นทางหวนกลับของเผียวจิ้งหง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนไม่น้อยในหัวเมืองรัฐติงกำลังพูดถึงเขาอยู่…
…………………………
ภายในหัวเมืองรัฐติง
เจ้าหมิงหมิงเหนื่อยแล้วเล็กน้อย แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับยังคึกคัก
เมื่อเทียบกับสิ่งของมากมายละลานตาที่ตลาดในโลกมนุษย์ เจ้าหมิงหมิงกังวลว่ามนุษย์รอบตัวมักจะสังเกตนางมากกว่าไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม…
มีอยู่ครู่หนึ่ง นางถึงขั้นรู้สึกว่าวิชาแปลงกายของตนเองล้มเหลวแล้วหรือ
แต่หากตั้งใจฟังการวิพากษ์วิจารณ์รอบตัว ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับผู้ที่นามว่าทังจงซง
ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นมักจะชอบกระทำเรื่องสกปรกระหว่างชายหญิงจนเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น
แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าต่อต้านเขา เพราะคนผู้นี้ดูเหมือนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่
สิ่งนี้ทำให้เจ้าหมิงหมิงนึกถึงคนบนเขาเรียงรัน…
จึงอดรู้สึกรังเกียจขึ้นมาไม่ได้ จนไม่มีกะจิตกะใจเดินเล่นในตลาดอีกต่อไป
‘คนเสเพลมักมากบ้าตัณหาเช่นนี้…มีไปทั่วทุกหนแห่งจริงๆ! นึกถึงเขาเรียงรันของข้ากลับไม่มีคุณสมบัติอวดอ้างเกียรติต่อหน้ามนุษย์ด้วยซ้ำ’
เจ้าหมิงหมิงกัดฟันและคิดในใจ
แต่ผู้คนที่มุงดูเหล่านั้น ก็เป็นห่วงตนเองเช่นกัน
พวกเขาไม่มีความสามารถทัดเทียมทังจงซงนั่น แต่ในใจกลับรู้ดีว่าสิ่งใดควรกระทำ สิ่งใดไม่ควรกระทำ
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง…
รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้บีบคั้นผู้คน เห็นผลประโยชน์จนลืมคุณธรรม
ตามที่พวกเขาเอ่ยวาจา หากทังจงซงเจ้า ‘คนชั่วช้า’ นั่นได้เห็นสตรีรูปโฉมงดงามเช่นเจ้าหมิงหมิง ไม่แน่ว่าจะย่ำยีหยามเกียรติเช่นไร
หากกล่าวถึงอายุและการฝึกตนแล้ว ตนเองเอาชนะเจ้าจงซงอะไรนั่นขาดลอยแน่นอน…
ทว่าหากสร้างความวุ่นวายตั้งแต่คราแรกที่มายังโลกมนุษย์ ก็จะขัดต่อความตั้งใจเดิมของเจ้าหมิงหมิง
ตอนนั้นจึงเรียกให้เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับมาทันที
พวกนางนายบ่าวทั้งสองพักที่โรงเตี๊ยมพูนโชคในหัวเมืองรัฐติง
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
หลังจากกลับห้อง เกาลัดคั่วน้ำตาลมองออกว่าคุณหนูของตนดูไม่ค่อยมีความสุขนักจึงเอ่ยปากถาม
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปเอาน้ำมาหน่อย วันนี้เดินไปไม่น้อยเลย พายุทรายที่รัฐติงแรงกว่าที่นั่นของเรามากนัก…ข้าจะอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นหน่อย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวเลี่ยง
“หรือว่าคุณหนูจะคิดถึงเรื่อง…”
“ไปเอาน้ำ!”
เจ้าหมิงหมิงขัดคำพูดของนาง ชี้นิ้วไปทางประตูและกล่าวด้วยน้ำเสียงจรังจังเล็กน้อย
“เฮ้อ หากไม่อ่อนโยนต่อนางเช่นนี้จะดีกว่าหรือไม่…”
เจ้าหมิงหมิงถอนหายใจ แต่ก็ทราบดีว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
หลายครั้งหลายครา สภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนสะดวกสบาย ความสัมพันธ์ที่ดูคุ้นเคย แท้จริงแล้วล้วนเป็นจุดเริ่มต้นแสนอันตราย
เมื่อท่านเรียนรู้ความกำเริบเสิบสานต่อหน้าคนผู้หนึ่ง ก็จะนำอารมณ์และพฤติกรรมประเภทนี้มาสู่ทุกคนที่ท่านรู้จัก
เมื่อมีคนหนึ่งยินดียอมทนกับความกำเริบเสิบสานของท่าน ท่านก็จะรู้สึกว่าทุกคนในโลกนี้ก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรืออสูร เหล่าบรรพบุรุษล้วนตระหนักถึงปัญหานี้
ด้วยเหตุนี้จึงสร้างบรรทัดฐานที่แตกต่างกันเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของมนุษย์และตั้งหลักจริยศาสตร์
ในนั้นมีสองระดับที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและยังคงดำเนินมาจวบจนปัจจุบันนี้
อายุและความสามารถ
เด็กต้องเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่
ผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ตระกูลเศรษฐีหรือราชวงศ์ต้องรู้จักสูงต่ำ
เหตุฉะนี้จึงเป็นพื้นฐานวิถีแห่งโลกที่สงบสุข
มิฉะนั้น หากหลักบรรทัดฐานพังทลายลง เช่นนั้นวิถีแห่งโลกจะสูญสลาย
เจ้าหมิงหมิงเปิดหน้าต่าง
ด้านนอกอาทิตย์อัสดงริมน้ำทิศประจิม จันทราขึ้นทางหอทักษิณ
นางมองไปยังบ้านเกิดของตนเอง ทางเขาเรียงรัน
พลันร้องเพลงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
‘เดินเตร่ลำพัง
บุญคุณความแค้นล้วนเป็นอดีต
คนมีคุณธรรมมุ่งมั่น
ถูกพิษเสน่หาลึกซึ้งเพียงใด
พร่ำบ่นพร่ำบอก
โลกมนุษย์โหดร้ายเกินไป
จอมปลอม อ่อนแอน่าสงสาร ทำได้เพียงปกป้องตนเอง
พาลตำหนิคร่ำครวญหนูตัวใหญ่ทั่วพื้นขวางถนน
น่าเสียดายมีปณิธานสูงแต่ความรู้น้อย อวดรู้ทุกสิ่ง
ทิ้งสิ่งสำคัญคว้าสิ่งไร้ค่า ยังสรรเสริญยกตนโง่เขลา
มานะยิ่ง แต่ท้ายที่สุดนำไปคั่วกิ่งอบเชยและต้มกับก้านข้าวโพด
ตกค่ำฝันล้วนเป็นความรื้นเริงในวัยเยาว์
ความคิดอันใกล้ล้วนเป็นครึ่งชีวิตเกินจริง
คำกล่าวตักเตือนล้วนไม่เข้าหู
ฝันอยากจะเป็นจักรพรรดิแม้เพียงครึ่งวัน’
บทเพลงนี้เป็นเพลงกล่อมนอนที่ท่านป้าร้องให้นางฟังตอนเด็กๆ
มารดาของเจ้าหมิงหมิงด่วนจากไป ท่านป้าเลี้ยงดูมาแต่เยาว์วัย
จนกระทั่งเดือนก่อน ท่านป้าสิ้นชีพ…
ด้วยสถานะของนาง เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมฝึกประสบการณ์ในโลกมนุษย์สามปีของเขาเรียงรัน
แต่นางกลับเริ่มร้องขอลงจากเขาเอง
เจ้าหมิงหมิงจำได้ว่ายังมีท่อนหนึ่งอยู่กลางบทเพลงนี้
แต่หลังจากเติบใหญ่แล้วไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที
ครั้นเมื่อท่านป้ายังมีชีวิตอยู่ นางเคยออดอ้อนนับครั้งไม่ถ้วน ขอให้ร้องเพลงให้ตนฟังอีกครั้ง
ทว่าท่านป้ามักจะเอื้อมมือเขี่ยปลายจมูกของนางและพูดด้วยรอยยิ้ม
‘รอหมิงหมิงเติบใหญ่อีกหน่อยก็จะจำได้ หากจำไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็เติมท่อนนั้นเองเลยสิ!’
“คุณหนู น้ำมาแล้ว! ท่านทดสอบอุณหภูมิดูหน่อยเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามขณะถืออ่างน้ำ
เจ้าหมิงหมิงหันกลับมา เกาลัดคั่วน้ำตาลพบว่าใบหน้าของคุณหนูอาบไปด้วยน้ำตา
น้ำตาผสานกับแสงจันทร์
สาดความโศกเศร้าไปทั่ว
เสียงเพลงคลอเคล้าไปกับเสียงลม
แผ่ไปทั่วทั้งรัฐติง
……………………………………………………………..
[1] อาภรณ์สมรสให้ผู้อื่นสวมใส่ หมายถึง ตนเองไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ แต่ช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์
[2] จุดอิ้นถัง อยู่บริเวณหน้าผากอยู่กึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วสองข้าง
[3] การเวียนว่ายตายเกิดของพืชพันธุ์ธัญญาหาร หมายถึง มนุษย์รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วขับถ่ายออกมา
[4] จุดเทียนจง อยู่บริเวณแอ่งสะบักล่าง